เมื่อบอกลาเจิ้งหงยี่ที่เป็นมิตรอย่างยิ่งแล้ว พวกอันหลินก็เข้าไปในห้องเพรสซิเด้นท์สวีท

ในห้องรับแขกของห้องสวีท เต็มไปด้วยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ล่าสุดหลากหลายประเภท

อันหลินมองสินค้าเหล่านี้แวบหนึ่ง คิดว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ สอนเซวียนหยวนเฉิงกับสวีเสี่ยวหลานใช้มือถือ

ในแดนมนุษย์ แค่มือถือเครื่องเดียว สามารถจัดการได้เกือบจะทุกปัญหา ไม่ว่าจะติดต่อสื่อสาร ช้อปปิ้งหรือค้นหาข้อมูล ต่างก็สามารถทำได้ด้วยมือถือ

พวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่ค่อนข้างฉลาด เรียนรู้ได้ไวมาก

อันหลินสอนแค่ครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็สามารถบังคับมือถือขั้นพื้นฐานได้แล้ว แม้แต่การใช้แอปพลิเคชันที่จำเป็น ก็เริ่มคล่องแคล่วแล้ว

จากนั้น อันหลินก็ผละออกมา ให้พวกเขาเล่นกันเอง

การเดินทางไปเทือกเขาคุนหลุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการพันธนาการหอมาร ถูกกำหนดไว้ในสิบวันให้หลัง

พวกเขายังพอมีเวลา สามารถทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำในแดนมนุษย์

วันต่อมา อันหลินสวมชุดวอร์มไปเดินช้อปปิ้ง เริ่มต้นชีวิตรับหิ้วของเขา

ส่วนสวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิง พวกเขาก็มีกิจกรรมของตัวเอง แยกย้ายกันไปทำในเรื่องที่ตัวเองสนใจ

ภารกิจรับหิ้วของหินวิญญาณสามหมื่นก้อนไม่ใช่งานที่ง่ายดายเลย มันมีสินค้ารับหิ้วที่ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก ค่อยว่ากันทีหลัง อันหลินตั้งใจว่าจะเริ่มจากของง่ายๆ ก่อน

เขาเดินอาดๆ เข้าไปในคลังเครื่องใช้ไฟฟ้า จากนั้นก็ซื้อเครื่องปรับอากาศสิบกว่าเครื่อง ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ยี่สิบกว่าเครื่อง คอมพิวเตอร์สเปคสูงร่วมร้อยเครื่อง โทรศัพท์มือถือร้อยเครื่องและกล้องถ่ายรูปเอสแอลอาร์สองร้อยกว่าเครื่อง…

การกระทำของเขา ทำให้พนักงานขายงงเป็นไก่ตาแตก สุดท้ายยังทำให้ผู้จัดการของคลังเครื่องใช้ไฟฟ้าแตกตื่น สงสัยว่ามีคนมาสร้างปัญหา

แต่สุดท้าย อันหลินก็เดินออกจากคลังเครื่องใช้ไฟฟ้า ท่ามกลางใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่ประจบสอพลอของผู้จัดการ

ของที่เขาจะซื้อให้คนช่วยส่งไปที่สถานที่พิเศษแล้ว

หลังซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเสร็จแล้ว ก็เป็นการซื้อเพชรพลอย

ความต้องการของเพชรค่อนข้างหลากหลาย มีทุกชนิดทุกประเภท

อันหลินถือใบรายการยาวเป็นหางว่าว แม้แต่เขาเองก็มองจนรำคาญใจ

ขณะที่เขากำลังเดินอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงไพเราะเสนาะหูแว่วมา

“อันหลิน”

เสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู เขาจึงอดเงยหน้าแล้วมองตามเสียงไปไม่ได้

จากนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงผมยาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งกำลังมองตัวเอง ใบหน้ามีอาการตกใจ

“หลินอู่หัว!”

เมื่ออันหลินเห็นผู้หญิงหน้าตางดงามสดใสตรงหน้า ก็อดชะงักไม่ได้

หลินอู่หัวเป็นแฟนสาวที่อันหลินรู้จักสมัยเรียนมหาวิทยาลัย อันที่พวกเขาคบกันได้ไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องกับครอบครัวอันหลิน

หลังรู้ว่าเขาติดหนี้หลายล้านแล้ว หลินอู่หัวก็ทิ้งเขาไป

สำหรับเรื่องนี้ ที่จริงแล้วอันหลินไม่ได้มีอคติอะไรมากนัก

ระหว่างพวกเขาคบหากันไม่นาน ความรู้สึกเบาบางมากอยู่แล้ว ใครจะยอมใช้ชีวิตเป็นหนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดกับคนที่ติดหนี้หลายล้านกันล่ะ

ด้วยเหตุนี้ อันหลินจึงปล่อยวางกับเรื่องในอดีตนานแล้ว ยิ้มให้หลินอู่หัวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

เขาสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายแต่งตัวหรูยืนข้างหลินอู่หัว

ผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นแฟนคนปัจจุบันของหลินอู่หัวสินะ เหมือนว่าสายตาที่มองตัวเอง ดูไม่ค่อยเป็นมิตร

หลินอู่หัวขานรับในลำคอเบาๆ เธอจ้องอันหลิน รู้สึกว่าลักษณะของอันหลินดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “ที่จริงนายหายไปจากมหาลัยกะทันหัน ฉันเป็นห่วงนายมากเลย นายสบายดีหรือเปล่า”

อันหลินยิ้มให้กับคำทักทายของเธอ ขณะที่กำลังจะตอบ ผู้ชายข้างเธอก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “อู่หัว เธอจะคุยกับคนที่ติดหนี้หลายล้านแบบนี้ทำไม คนอย่างเขาคงเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิต”

ผู้ชายคนนั้นสังเกตเห็นสีหน้าที่หลินอู่หัวมองอันหลิน รู้สึกไม่สบอารมณ์เอามาก

เขารู้ว่าอันหลินเป็นแฟนเก่าของหลินอู่หัว เพราะความสัมพันธ์นี้ ทำให้เขาเกิดความคิดอย่างอื่น

ชายคนอื่นยิ้มหยันใส่อันหลิน “ไม่รู้จริงๆ ว่าคนอย่างแก ทำไมถึงยังกล้ามายืนอยู่ตรงนี้ อู่หัวเกรงใจแก แกก็คิดว่าแกสำคัญจริงๆ งั้นเหรอ”

อันหลินได้ฟังก็ชะงัก คิดในใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าเหรอ

โจมตีตั้งแต่เห็นหน้ากันครั้งแรก สมองของคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

สุดท้าย เขาก็มองหลินอู่หัวอย่างเห็นอกเห็นใจ พูดว่า “ยังไงเธอก็เป็นถึงนักศึกษาของมหาลัยชิงหัว ต่อให้ขาดแฟน ก็คงไม่ถึงกับต้องไปคบกับคนอย่างเขาหรอกมั้ง…”

หลินอู่หัวได้ฟังหน้าก็แดงก่ำ ไม่รู้ว่าอับอายหรือโกรธ

“แกพูดอะไรของแก!” พอชายคนนั้นได้ยินประโยคนี้ก็โมโห

“แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ตอนนี้ฉันเป็นประธานบริษัทที่มีมูลค่านับสิบล้านแล้ว! คนที่ไม่มีทางได้ดีไปชั่วชีวิตอย่างแก มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน”

ชายคนนั้นมองอันหลินตาขวางพร้อมกับตวาดเสียงดัง

อันหลินยังคงไม่พูดอะไร สายตาที่มองหลินอู่หัวมีความเห็นใจมากขึ้น

“พอได้แล้ว เกาเผิง!” หลินอู่หัวทำหน้าถมึงทึง ตะโกนห้าม

วันนี้เกาเผิงเหมือนกินรังแตนมา โจมตีอันหลินทุกทาง ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเช่นกัน

แต่ทว่า เสียงตะโกนของหลินอู่หัวไม่ได้ผล เกาเผิงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด คล้ายจะเพลิดเพลินกับการโจมตีอันหลินมาก กำลังจะอ้าปากด่าต่อ

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเบรกเอี๊ยดดังขึ้นใกล้ๆ อันหลิน

เห็นรถเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งจอดข้างเขาพอดี

ภายใต้แสงอาทิตย์ รถถูกแสงแวววับบางๆ ชั้นหนึ่งฉาบทับ เป็นเหมือนดอกไม้แห่งเปลวเพลิงที่ลุกโชน

รูปแบบของเฟอร์รารี่คันนี้เจ๋งสุดๆ ดึงดูดสายตาของผู้คนบนท้องถนนในพริบตา

ต่อมา ประตูเปิดออก มีผู้หญิงสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนขาสั้นลงมาจากรถ

เผยให้เห็นเรียวขาได้สัดส่วนของผู้หญิงคนนั้น สะดุดตายิ่งนัก

สิ่งที่รับกับรูปร่างสูงระหง เป็นโฉมหน้าที่ขาวเกลี้ยงเกลา เรียกได้ว่างดงามล่มเมือง

ความงามของเธอเปี่ยมด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา และแลดูสูงศักดิ์โดดเด่น เมื่อปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาของทุกคนบนท้องถนน แม้แต่ความโดดเด่นของเฟอร์รารี่ก็ถูกเธอช่วงชิงไป

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มกริ่มเดินเข้ามาหาอันหลิน พูดด้วยเสียงไพเราะว่า “เฮ้ อันหลิน หานายเจอแล้ว!”

ผู้หญิงที่โผล่มากะทันหันคนนี้ คือสวีเสี่ยวหลานนั่นเอง!

เมื่อหลินอู่หัวเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึง ในใจสงสัยว่าทำไมอันหลินถึงได้รู้จักผู้หญิงคนนี้

เธอหันไปมองเกาเผิง พบว่าเขากำลังจ้องผู้หญิงคนนั้นอย่างตะลึงงัน

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เรื่อง หลินอู่หัวก็อดโมโหไม่ได้

สวีเสี่ยวหลานมองสองคนตรงหน้าอันหลิน ถามอย่างสงสัยว่า “สองคนนี้เป็นเพื่อนของนายเหรอ”

อันหลินยิ้มบางๆ แนะนำว่า “คนนี้คือหลินอู่หัว แฟนเก่าของฉัน ส่วนคนข้างๆ นั่น เป็นแฟนคนปัจจุบันของเธอ เป็นประธานใหญ่!”

“หา!” สวีเสี่ยวหลานได้ฟังก็ตกใจ

แต่ไม่นานนางก็ได้สติ เห็นแสงสีเขียวบนหัวของอันหลินอยู่รำไร

ท่ามกลางสายตาตะลึงของผู้คน นางส่งยิ้มหวานเยิ้ม คล้องแขนขาวสะอาดของตัวเองกับแขนของอันหลิน

จากนั้น นางก็ประเมินหลินอู่หัวอย่างนึกสนุก พูดยิ้มๆ ว่า “พี่อัน อดพูดไม่ได้เลยว่า…เมื่อก่อนพี่ตาบอดเหรอ ถึงได้มาชอบผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ แบบนี้”

“แก…แกว่าอะไรนะ!” หลินอู่หัวถูกคนอื่นพูดว่าหน้าตาบ้านๆ ครั้งแรก พลันโกรธควันออกหู จ้องสวีเสี่ยวหลานตาเขียว

อันที่จริงหลินอู่หัวนับว่าเป็นผู้หญิงสวย แต่เมื่อเทียบกับสวีเสี่ยวหลานที่งดงามเพริศพริ้ง นั้นกลับสู้ไม่ค่อยได้ หากเปรียบเทียบทั้งคู่ แตกต่างราวกับหิ่งห้อยกับดวงจันทรา

ด้วยเหตุนี้ แม้เธอจะโกรธ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นทันใด

“สวัสดีครับ ผมชื่อเกาเผิง ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงชื่ออะไร” เกาเผิงตื่นจากภวังค์ของความตะลึง เป็นฝ่ายยื่นมือขวาออกมา พูดพลางยิ้มร่า ท่าทางอยากรู้จัก

เมื่อหลินอู่หัวเห็นฉากนี้ก็เกือบจะเป็นลม นายไม่เห็นเหรอว่าแฟนของนายต่างหากที่ถูกเธอรังแก! นายทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร!

สวีเสี่ยวหลานนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสดใสยิ่งขึ้น เมินมือที่ยื่นออกมาของเกาเผิง พูดอย่างชอบใจว่า “ฮ่าๆ พี่อัน ไม่คิดว่าแฟนเก่าของพี่จะตาบอดยิ่งกว่า!”

หลินอู่หัวผงะ โมโหจนแทบทรงตัวไม่อยู่

นี่มันน็อคเอาท์ชัดๆ!

และเกาเผิงเองก็ได้สติกลับมา ชักมือกลับด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง

“พี่อัน พี่ยังจะเล่นพ่อแม่ลูกกับสองคนนี้อีกเหรอ อย่าลืมทำภารกิจล่ะ!” สวีเสี่ยวหลานยังคงคล้องแขนอันหลินต่อ พูดเสียงออดอ้อน ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

ฉากนี้อยู่ในสายตาของผู้คนมากมาย สายตาที่จ้องอันหลิน มีทั้งความอิจฉาและริษยา

อันหลินได้ฟังก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ “ไปกันเถอะ ฉันก็แค่ผ่านมาที่นี่ ไม่คิดว่าจะมีตัวตลกโผล่มา เอาแต่แสดงตลกอยู่ตรงนั้น…”

เมื่อหลินอู่หัวได้ยินประโยคนี้ก็หน้าแดงก่ำ เกาเผิงตัวสั่นสะท้าน แต่กลับตอบโต้ไม่ได้อีก

แค่เฟอร์รารี่เอ็นโซคันนั้นที่ผู้หญิงคนนั้นขับ ก็มีมูลค่าสามร้อยล้านแล้ว สามารถซื้อบริษัทของเขาได้สามบริษัทเลย!

เหมือนว่าอันหลินจะเป็นแฟนของเธอ จะเป็นคนที่ติดหนี้หลายล้านเหรอ

ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า คำพูดและการกระทำเมื่อครู่ของเขา มันน่าตลกสิ้นดี

บวกกับอากัปกิริยานิ่งเฉยก่อนหน้านี้ของอันหลิน อีกฝ่ายก็มองเขาเป็นตัวตลกจริงๆ ด้วย…

ตอนนี้เกาเผิงอยากขุดหลุมแล้วมุดลงไป น่าอายเหลือเกิน!

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานขึ้นรถเฟอร์รารี่ไป ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนบนถนน ภายใต้แสงแดดสาดส่อง มันเป็นดุจเปลวไฟสีแดงเพลิงโลดแล่นบนถนน…

 ………………………………..