ตอนที่ 56 จดหมายตระกูลข้าหลวงใหญ่

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเยี่ยนอวี่หวนนึกถึงคำพูดที่ซูอวี้เหิงกล่าว ภายในใจของนางรู้สึกเศร้าหมอง และรู้สึกอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

นางและซูอวี้เหิงไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแม้แต่น้อย และไม่ได้สนิทสนมจนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน

ตั้งแต่ที่ทั้งสองรู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ ก็เพียงครึ่งปีเท่านั้น อีกทั้งในครึ่งปีที่ผ่านมา พวกนางอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็แค่สามถึงห้าวันเท่านั้น

ทว่าซูอวี้เหิงกลับทำเพื่อเหยาเยี่ยนอวี่ได้โดยไม่กลัวจะติดโรคร้าย นางไปเชิญหมอมายังวัดฉือซิน อีกทั้งยังเป็นห่วงอาการป่วยของตนจากใจจริง

ความรู้สึกที่นางมอบให้ มากกว่าที่เหยาเฟิ่งเกอ พี่สาวทางสายเลือดมอบให้เสียอีก

เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดมาโดยตลอด แม้ว่าซูอวี้เหิงจะไม่เคยผ่านทุกข์หรือสุขมาด้วยกัน ทว่านับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย

ในสังคมเช่นนี้ ตนเองที่เป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา ซึ่งจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ก็ได้ ยามที่ล้มป่วย เกรงว่าแม้แต่ความคาดหวังก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้รับความเป็นห่วงจากบิดามารดา

ดังนั้นนับประสาอะไรกับแค่งานสังสรรค์เล็กๆ ร่วมกันเลย แม้ว่าเวลานี้ซูอวี้เหิงจะป่วยหนักแล้วต้องการให้ตนไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยนั้น ตนเองก็ยินดีที่จะไปอยู่เป็นเพื่อนนางโดยไม่ลังเล

เวลานี้ ทั้งสองเดินจูงมือกันออกไปนอกเรือนหลังเล็ก เหยาเยี่ยนอวี่พาซูอวี้เหิงเที่ยวเล่นรอบบ้านนามู่เย่ว์หนึ่งรอบ

นี่เป็นบ้านนาหลังเล็กที่สร้างติดกับหุบเขา เรือนตรงกลางที่สามารถเข้าออกได้ถึงสามทางคือเรือนหลัก ส่วนเรือนที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวานั้นคือเรือนข้าง กำแพงรั้วด้านหน้าของเรือนมีเหมินฝัง[1]ซึ่งเป็นเรือนอาศัยของบ่าวรับใช้ ทางด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาของเรือนหลักมีเรือนหลังเล็กที่สร้างเอาไว้ให้บ่าวรับใช้ที่เป็นเพศชายและองครักษ์ที่คอยคุ้มกันนาง ส่วนบ้านนาที่อยู่ไกลออกไปนั้นให้ชาวนาที่คอยดูแลดอกไม้ใบหญ้าในเรือนหลักได้อยู่อาศัย

เหยาเฟิ่งเกอไม่ได้ขาดเหลืออาหารการกิน ด้วยเหตุนี้ที่ดินของบ้านนามู่เย่ว์ส่วนใหญ่จึงใช้เพื่อปลูกดอกไม้และต้นไม้ต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ในยามที่เหยาเฟิ่งเกอต้องการ มีเพียงพื้นที่แห้งแล้งโดยรอบที่นาเท่านั้นที่ใช้ในการปลูกธัญพืชต่างๆ ให้คนในบ้านนามีกินเพียงพอสามารถพึ่งพาตนเองได้

ฤดูนี้ ผิงกั่ว[2]และสาลี่ต่างๆ ซึ่งเป็นผลไม้ของเมืองเหนือได้ทำการเก็บเกี่ยวหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ลูกพลับ ผลซังจา เหอเถา[3]และเกาลัดเท่านั้นที่ยังอยู่บนต้นไม้

เหยาเยี่ยนอวี่พาซูอวี้เหิงไปยังสวนต้นพลับที่นางชื่นชอบเป็นอันดับแรก สวนลูกพลับนี้อยู่ทางเหนือของหุบเขาและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก บนต้นลูกพลับแก่นับสิบต้นเต็มไปด้วยผลลูกพลับสีส้มแกมแดง คล้ายกับปุยเมฆสีแดงปกคลุมเอาไว้ ช่างงดงามยิ่งนัก

“ที่นี่ดีมากเลย! จัดที่นี่แหละ” ซูอวี้เหิงหมุนตัวรอบต้นพลับ นางหัวเราะแล้วพูดขึ้น “พอข้าได้มาที่นี่แล้วก็ไม่อยากกลับไปเลย! คืนนี้ข้าจะค้างแรมที่นี่ ว้าว…เป็นจริงตามคำที่ว่า ‘ป่าพลับในหุบเขา ปกคลุมหุ้มด้วยสีเขียวขจี’ พี่เหยา! ข้าชื่นชอบที่แห่งนี้ยิ่งนัก!”

“ช่างเป็นสตรีที่มากความสามารถ เพียงแค่คำพูดก็ทำให้กลายเป็นคำกลอนได้! เจ้าอยากจะรังแกที่ข้าไม่ได้ร่ำเรียนมามากใช่หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่เองก็มีความสุขเช่นกัน ดูเหมือนว่าความสุขที่เรียบง่ายเช่นนี้จะหาได้ยากมากที่นี่ นางเกือบจะลืมไปแล้ว นางในตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกปี สิ่งที่ควรกระทำที่สุดคือการดื่มด่ำกับความงดงามของชีวิต

คืนนั้น ซูอวี้เหิงก็ได้ค้างแรมที่บ้านนาจริงๆ

เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้โรงครัวนำผลหมากรากไม้ตากแห้งมาทำเป็นฟืนเพื่อตุ๋นไก่ป่า โดยไก่ป่านี้ ผู้เช่าที่นาใช้กับดักเหล็กในการจับมา เหตุเพราะเป็นช่วงสารทฤดู บนหุบเขาจึงมีพวกหนอน แมลง และเมล็ดพันธุ์พืชที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ทำให้ไก่ป่าที่จับมาอ้วนพีนัก น้ำแกงไก่เข้มข้นเมื่อนำเห็ดป่าที่เก็บจากบนภูเขาใส่ลงไปนั้น ก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นมาแต่ไกลจนทำให้น้ำลายไหล

“ซู๊ด…ช่างอร่อยยิ่งนัก!” ซุอวี้เหิงสูดปากไปพลางแทะเนื้อไก่อย่างเอร็ดอร่อย

เหยาเยี่ยนอวี่มองดูท่าทางที่ไม่เป็นกุลสตรีของนาง ทำได้เพียงคลี่ยิ้มแล้วตักผัดขึ้นฉ่ายให้นาง พร้อมกล่าวว่า “กินช้าๆ เถอะ ไม่มีใครมาแย่งเจ้า ไก่ป่านี้ยังมีอีกสองตัว ประเดี๋ยวตอนกลับไปเจ้านำไปให้องค์หญิงต้าจั่งและฮูหยินคนละหนึ่งตัว รวมถึงเห็ดป่าที่ข้าสั่งให้คนเก็บมาเจ้าก็เอากลับไปด้วย เมื่อกลับไปถึงใคร่กินเมื่อใดก็ให้โรงครัวตุ๋นให้เจ้ากิน”

ซุอวี้เหิงได้ยินก็ส่ายหน้าไปมา “ในจวนมีไก่ป่าและเห็ดป่า ทว่าที่โรงครัวกลับตุ๋นได้ไม่อร่อยเท่ากับที่บ้านนาของพี่สาว”

“นั่นเป็นเพราะพวกเขาใส่เครื่องปรุงรสไม่ถูก” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “เมื่อคราที่แล้ว ตอนที่ข้าอยู่ในจวนติ้งโหวก็ได้กินไก่ตุ๋นที่พวกเขาทำแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาใส่วัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆ มากจนเกินไป จึงทำให้ไปกลบรสชาติของเห็ดป่า ยามที่กินน้ำแกงไก่เข้าไปนั้น ในปากจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ”

“อื้ม เป็นจริงตามนั้น!” ซูอวี้เหิงพยักหน้าไม่หยุด แล้วพูดขึ้น “พี่เหยา ไก่ป่าเหล่านั้นข้าไม่เอากลับไปแล้ว ประเดี๋ยวไว้รอวันที่ข้าได้เป็นเจ้าภาพ พี่สาวสั่งให้คนตุ๋นไก่ให้แขกเหรื่อของข้าได้หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าขานรับ “อืม ได้สิ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนเอาไว้ หากขาดเหลือสิ่งใดจะได้ให้พวกเขาเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่กระทบต่องานของเจ้า”

“พี่สาว ท่านช่างใจดียิ่งนัก ท่านคือพี่สาวของข้าจริงๆ!” ซูอวี้เหิงกินไปด้วยและหัวเราะไปด้วย

ขณะที่เหยาเยี่ยนอวี่พูดคุยนั้น นางก็คีบผัดขึ้นฉ่ายไปวางไว้ในถ้วยของซูอวี้เหิง “พอได้แล้ว! ไม่ใช่เพราะข้าหวงอาหารเหล่านี้ เจ้าควรกินให้น้อยลง ในตอนกลางคืนเช่นนี้หากกินอิ่มเกินไป จะทำให้ไม่สบายตัว ข้ายังไม่อยากออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีกรอบ”

ซูอวี้เหิงตักข้าวกินอีกหนึ่งคำ นางยิ้มแล้วถามกลับ “พี่สาวไม่อยากให้ข้ากินเยอะ แล้วเหตุใดยังจะตักอาหารมาให้ข้าอีก”

“ข้าอยากให้เจ้ากินผักให้มากขึ้น”

“อื้ม ปกติแล้วข้าไม่ชอบกินขึ้นฉ่ายที่สุด ทว่าผัดขึ้นฉ่ายของพี่สาวเลิศรสยิ่งนัก ไม่มีกลิ่นเหม็นของสมุนไพรเลย”

“ทั้งที่เป็นขึ้นฉ่ายเหมือนกัน วิธีทำก็เหมือนกัน เจ้าล้วนคิดไปเอง”

เหยาเยี่ยนอวี่มีความรู้ในด้านการรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปแล้ว ในมื้อค่ำนางไม่กินอาหาร วันนี้นางก็แค่กินผักเล็กๆ น้อยๆ และข้าวต้มลูกเดือยกับซูอวี้เหิงเท่านั้น

ทว่าคุณหนูสามตระกูลซูกลับกินข้าวถึงหนึ่งถ้วย หมั่นโถวอีกสองลูก ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นไปหนึ่งถ้วย และยังกินไก่ป่าไปครึ่งตัว

แน่นอนว่านางกินจนพุงกาง ด้วยเหตุนี้หลังจากกินสำรับค่ำเสร็จ ก็ให้เหยาเยี่ยนอวี่พาไปเดินเล่น

อากาศยามค่ำคืนของเดือนสิบนั้นหนาวเย็นแล้ว พระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่บนท้องฟ้า อากาศเย็นสดชื่น ทว่าซูอวี้เหิงกลับยังคงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น นางพูดคุยกับเหยาเยี่ยนอวี่ คล้ายกับว่ามีคำพูดมากมายที่พูดคุยอย่างไรก็ไม่หมด

ซูอวี้เหิงพักที่บ้านนามู่เย่ว์หนึ่งคืน กว่านางจะกลับเข้าเมืองก็วันที่สองตอนบ่ายแล้ว แน่นอนว่าเมื่อนางกลับไปก็ไปเข้าเฝ้าองค์หญิงต้าจั่ง องค์หญิงต้าจั่งจึงได้เอ่ยถามนางขึ้น “ดูเจ้าสิ ช่างดูมีความสุขยิ่งนัก บ้านนาหลังเล็กนั่นมีอะไรสนุกกระนั้นหรือ”

ก่อนหน้านี้องค์หญิงต้าจั่งมีบุตรีคนเล็กถัดจากบุตรชายทั้งสอง ซึ่งติ้งกั๋วกงและองค์หญิงต้าจั่งเลี้ยงดูนางดั่งแก้วตาดวงใจ เมื่อนางคลอดออกมาองค์หญิงต้าจั่งก็กราบทูลฮ่องเต้ขอแต่งตั้งนางเป็นหลิงหลานจวิ้นจู่ ทว่าตอนที่นางอายุสิบสามปี เหตุเพราะล้มป่วยด้วยไข้ทรพิษไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ องค์หญิงต้าจั่งในตอนนั้นเศร้าโศกเสียใจจนถึงขั้นล้มป่วย นางรักษาตัวอยู่นานกว่าจะกลับมาแข็งแรง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อครั้งที่ซูอวี้เหิงอายุเก้าขวบ นางก็ล้มป่วยด้วยไข้ทรพิษ ซึ่งประจวบกับเวลาที่บิดาของนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจิ้งไห่ปั๋วจากฮ่องเต้พอดี เพื่อไปตรวจการที่แถบชายฝั่งทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ องค์หญิงต้าจั่งเป็นห่วงนางอย่างมาก จึงให้นางอยู่รักษาตัวข้างกาย ซึ่งกล่าวได้ว่าซูอวี้เหิงเป็นผู้มีบุญวาสนา ไข้ทรพิษที่ยากจะรักษาหาย เก้าในสิบของผู้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ล้วนไม่อาจมีชีวิตรอด ทว่านางกลับรักษาจนหายเป็นปลิดทิ้งได้

องค์หญิงต้าจั่งจึงมั่นใจว่าหลานสาวคนนี้คือคนที่สวรรค์ส่งมาชดเชยให้กับตน จึงเลี้ยงนางดุจตัวแทนของบุตรี คอยเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมอยู่ข้างกาย ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนตามใจนาง

เพราะเรื่องนี้ ลู่ฮูหยินรู้สึกปวดใจไม่น้อย นางแอบอิจฉาแอบบ่นในใจว่า องค์หญิงต้าจั่งช่างไม่รักใคร่เอ็นดูหลานสาวทั้งสองที่เป็นบุตรีภรรยาเอกอย่างลูกสาวของตน ทว่ากลับไปรักใคร่เอ็นดูยายหนูสามที่เป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยาในครอบครัวของน้องรอง

มีความแตกต่างของความหมายระหว่างบุตรภรรยาเอกและบุตรอนุภรรยาไม่มากก็น้อย ทว่าโชคดีที่นางเป็นเพียงหลานสาว อย่างมากสุดก็ตอนที่นางออกเรือนเท่านั้นที่จะต้องไตร่ตรองดีๆ นั่นก็คงไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ทว่าหากเป็นหลานชาย เกรงว่าในจวนแห่งนี้คงไม่สงบสุขแล้ว

องค์หญิงต้าจั่งคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมลูบผมหลานสาวที่กำลังนอนหนุนตักของนาง จากนั้นหันไปรับสั่งกับนางกำนัลจือเซียง “นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินส่งไปให้คุณหนูเหยาที่บ้านนามู่เย่ว์ จากนั้นนำสุราผลไม้ที่หมักเองของจวนไปสิบไห นำขาห่านและลิ้นเป็ดชั้นดีรวมถึงขนมหวานและผลไม้ต่างๆ ส่งไปด้วย บอกไปว่าเป็นรับสั่งขององค์หญิงต้าจั่ง เรื่องของเหิงเอ๋อร์ ทำให้นางลำบากแล้ว”

[1] เหมินฝัง เรือนนอนของบ่าวรับใช้

[2] ผิงกั่ว คือ แอบเปิล

[3] เหอเถา คือ วอลนัท