เหยาเฟิ่งเกอยิ้มบางๆ “อืม เท่าที่ข้าดูๆ แล้ว เจ้าก็สร้างคุณงามความดีไว้ไม่น้อยเลย ทว่าเจ้าก็หวังดีกับนางจากใจจริง ไหนๆ เจ้าอยากจะชวนมิตรสหายของเจ้าไปรวมตัวกันที่บ้านนามู่เย่ว์ เช่นนั้นข้าก็คงต้องกล่าวคำขอบคุณแทนเยี่ยนอวี่สำหรับความตั้งใจอันดีของเจ้า เจ้าเป็นฝ่ายไปเชิญพร้อมนัดหมายผู้อื่น ส่วนข้าจะมอบหมายให้คนไปจัดเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ทำให้งานที่จะจัดขาดตกบกพร่องอะไร ซึ่งจะกลายเป็นความไม่สะดวกอย่างยิ่ง”
“เช่นนี้ ข้าต้องขอบคุณพี่สะใภ้สามแล้ว!” ซูอวี้เหิงเหยียดกายลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินไปย่อตัวทำความเคารพเหยาเฟิ่งเกอ
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ขอบคุณซูอวี้เหิงจากใจจริง “เยี่ยนอวี่เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยไปสุงสิงกับใคร ตอนนี้ข้าเองก็ตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ หากมีเจ้าคอยนึกคิดถึงนางเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกวางใจไปมากแล้ว”
ดังนั้นในช่วงเช้าของวันถัดมา เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่ไล่คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากเรือน ก็รีบปิดประตูห้อง นางถอดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวให้ชุ่ยเวยฝังเข็มอีกครั้ง ทว่าเสียงของชุ่ยผิงก็ดังมาจากนอกประตู ทำให้ชุ่ยเวยสะดุ้งตกใจจนมือสั่น แล้วเกือบฝังเข็มผิดจุด
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!” ชุ่ยผิงเคาะหน้าต่าง “คุณหนูซูมาเจ้าค่ะ! รีบเก็บของพวกนั้นเร็วเข้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจพลางขมวดคิ้วขึ้น “เด็กคนนี้มาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน!”
ชุ่ยผิงพลันเก็บเข็มเงินอย่างลุกลี้ลุกลน เฝิงหมัวมัวรีบสวมใส่เสื้อผ้าให้เหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็ให้นางไปนอนอยู่บนตั่งไม้ แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างของนางเอาไว้
“พี่เหยา? พี่เหยา?!” ซูอวี้เหิงเดินเข้ามาในเรือนแล้วชะงักเป็นอันดับแรก ในเรือนเงียบสงัดไร้ผู้คนจริงๆ!
“คุณหนูซูมาแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยผิงรีบเข้าไปต้อนรับ
“พี่เหยาล่ะ เหตุใดในเรือนถึงมีแต่เจ้า” ซูอวี้เหิงมองซ้ายแลขวาอย่างสงสัย
ชุ่ยผิงรีบอธิบายขึ้น “คุณหนูกำลังพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ กลัวว่าจะมีเสียงดังเป็นการรบกวน ดังนั้นจึงให้บ่าวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เหิงขมวดคิ้ว “อาการของพี่เหยาเป็นอย่างไรแล้ว ข้าได้ยินพี่สะใภ้สามบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแล้วนี่? เหตุใดเวลานี้ถึงยังนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ล่ะ”
“คุณหนูดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ แค่ว่าหลายวันมานี้รู้สึกเกียจคร้านเล็กน้อยก็เท่านั้น” ชุ่ยผิงพยายามสวนคำพูดของซูอวี้เหิง เพื่อถ่วงเวลาไว้ จนกระทั่งชุ่ยเวยเปิดประตูออกมาจากห้อง เมื่อนางเห็นซูอวี้เหิงจึงยิ้มด้วยความแปลกใจ “คุณหนูซู?! ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
“พี่เหยาเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ข้ามาเยี่ยมเยียนนาง” ซูอวี้เหิงกล่าวไปด้วยและเดินเข้าประตูไปด้วย
ชุ่ยเวยยิ้มพลางพูดขึ้น “คุณหนูตื่นมากินอาหารแต่เช้า จากนั้นก็เกียจคร้านที่ขยับตัว จึงกลับไปนอนพัก เวลานี้เพิ่งจะตื่นนอน คุณหนูซูเชิญเข้าไปด้านในได้เลยเจ้าค่ะ”
“ได้” ซูอวี้เหิงพูด จากนั้นก็หันไปสั่งการสาวใช้ของตนเอง “เอาของที่ข้าขนมาให้ชุ่ยเวยเถอะ” ขณะที่พูด ก็ส่งยิ้มพลางพูดกับชุ่ยเวย “เป็นของบำรุงร่างกายทั่วไป เจ้ารับไว้แทนพี่เหยาเถอะ”
ชุ่ยเวยรีบย่อตัวทำความเคารพ “เช่นนั้นบ่าวก็ต้องกล่าวขอบคุณแทนคุณหนูของพวกบ่าวสำหรับสินน้ำใจของคุณหนูสามแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังจะพูดเช่นนี้กับข้าอีก?!” ซูอวี้เหิงยิ้มพลางเดินเข้าประตูไป
เหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดคลุมพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน ผมยาวสลวยยังคงปล่อยพาดไว้ด้านหลัง ผ้าห่มสีแดงลายลูกซิ่ง[1]ยังคงกระจัดกระจายอยู่บนเตียงนอน ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางเพิ่งตื่น และยังไม่ทันจัดที่นอนให้เป็นระเบียบ
“น้องเหิง” เหยาเยี่ยนอวี่เห็นซูอวี้เหิงก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก นางเดินเข้ามาจับมือซูอวี้เหิงพร้อมกับกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าดูดีจริงๆ”
“พี่เหยา” ซูอวี้เหิงขยับเข้าไปใกล้เหยาเยี่ยนอวี่พร้อมกับตั้งใจมองใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง ซูอวี้เหิงยิ้มพลางพูดขึ้น “โชคดีที่ไม่ได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าใบหน้าของพี่เหยาขึ้นตุ่มแดง ข้ายังกังวลใจแทนพี่เหยา” พูดไป นางก็หันข้างให้เหยาเยี่ยนอวี่ดู “พี่ดูข้าสิ นี่เป็นรอยแผลเป็นที่ทิ้งไว้ตอนขึ้นตุ่มแดง ตามเรือนร่างก็มีเช่นกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ขยับไปมองใกล้ๆ ก็เห็นผิวพรรณที่ขาวผุดผ่องดั่งหิมะมีแผลเป็นที่ใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเขียวอยู่ จึงยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น “นี่มองเห็นไม่ชัดเจนเลย ไม่เป็นไรหรอก คงไม่เป็นอุปสรรคให้เจ้าตามหาบุรุษในฝันที่มีรูปร่างหน้าตางามสง่า มีความกล้าหาญชาญชัยและเก่งกาจด้านการต่อสู้หรอก”
“พี่เหยา!” ซูอวี้เหิงผลักเหยาเยี่ยนอวี่หนึ่งที “พี่พูดอะไรอยู่!”
“เขินหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางเอนตัวเข้าไปใกล้ “วันนั้นตอนอยู่ที่โรงน้ำชาเพื่อดูกองทัพที่นำชัยชนะกลับมาจากสนามรบ ใครเป็นคนบอกข้าด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายว่าบุรุษที่แท้จริงของราชวงศ์ต้าอวิ๋นล้วนมาจากค่ายทหาร? หรือว่าบุรุษเลือดเหล็กเหล่านั้นไม่มีใครที่อยู่ในใจเจ้าเลย”
“อา…พี่เหยาช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ ! ท่านกำลังล้อเลียนคำพูดของข้าอยู่หรือ!” สตรีที่มีบุคลิกไม่ใส่ใจสิ่งใดกลับรู้สึกเขินอายเป็น และหันหลังเพื่อหลบสายตาของเหยาเยี่ยนอวี่
ชุ่ยเวยยกกะละมังล้างหน้าเข้ามา เฝิงหมัวมัวยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ ล้างหน้าก่อนค่อยหวีผมเถอะเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขานรับพลางนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ชุ่ยผิงเลิกมุ้งในเรือนขึ้นเป็นชั้นๆ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออก เหลือเพียงม่านตาข่ายที่ยังไม่ได้เก็บ
ลมหนาวของเดือนสิบที่พัดเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผลไม้กลางสวน
ซูอวี้เหิงสูดดมเบาๆ ไปสองครา แล้วถามด้วยความแปลกใจ “นี่มันกลิ่นหอมอะไร ช่างพิเศษยิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “ลูกพลับที่อยู่ทางโน้นเริ่มแดงแล้ว ทั้งยังมีผลไม้นานาชนิด เดิมทีทางด้านทิศใต้คือทุ่งข้าวโพด แต่ว่าเก็บเกี่ยวมานานแล้ว ตอนนี้ผู้เช่าที่ดินกำลังเตรียมปลูกข้าวสาลีอยู่”
ซูอวี้เหิงเพิ่งนึกถึงจุดประสงค์ที่สองที่นางมาเยือนในวันนี้ นางจึงคุกเข่านั่งลงข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกับคลี่ยิ้มแล้วพูด “พี่เหยา กลางเดือนนี้กลุ่มของพวกเรามีการจัดการประลองกู่เจิง ซึ่งข้าเป็นเจ้าภาพ ข้าไม่มีสถานที่ดีๆ ให้ไปจัดงาน สวนหย่อมในจวนก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ดังนั้นข้าจึงอยากจะมารบกวนท่านหนึ่งวัน พี่เหยาเห็นด้วยหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง พอนึกถึงเรื่องวันนั้นที่ไปร่วมงานประลองหมากล้อมของคุณหนูรองหันที่จวนเจิ้นกั๋วกง เหล่าสตรีชั้นสูงแต่ละจวนต่างก็มาเยือนคนแล้วคนเล่า และเมื่อรวมบ่าวรับใช้ที่ติดตามเหล่านายหญิงมาด้วยก็ราวๆ ห้าหกสิบคน นางถึงกับลอบถอนหายใจเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
ซูอวี้เหิงมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ๆ เงียบงันไป จึงถามขึ้นอย่างผิดหวัง “พี่เหยาไม่ยินยอมหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบยิ้มพลางเอ่ยพูด “เหตุใดถึงไม่ยินยอมล่ะ ข้ากำลังคิดว่าบ้านนาแห่งนี้มีสถานที่ใดบ้างที่สามารถรองรับสตรีราวๆ ห้าหกสิบคน อีกทั้งถ้าอยากจะเล่นกู่เจิงให้ไพเราะเสนาะหู ก็ควรที่จะเล่นข้างสระน้ำ ในบ้านนาแห่งนี้ไม่มีสระน้ำ… ข้าจึงไม่รู้ว่าที่แห่งใดเหมาะกับการจัดงานเช่นนี้”
“นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ประเดี๋ยวพี่เหยาก็พาข้าไปเดินรอบบ้านนาหนึ่งรอบ พวกเราสองคนปรึกษาหารือกันก่อนก็พอแล้วมิใช่หรือ อีกอย่าง เมื่อครู่พี่เหยายังบอกว่าที่นี่มีผลไม้นานาพันธุ์ แล้วยังมีสวนต้นพลับ แท้จริงแล้วการเล่นกู่เจิงไม่จำเป็นต้องเล่นข้างสระน้ำ ดั่งที่เขาว่ากันว่า ‘ภูเขาสูงสายน้ำไหล’ การเล่นกู่เจิงสามารถพึ่งพาสายลมที่พัดผ่านมาจากกลางหุบเขา ไม่แน่เสียงดนตรีอาจจะไพเราะและอัศจรรย์กว่าก็ว่าได้”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดูสถานที่รอบๆ บ้านนา”
นางจะไม่ยินยอมได้อย่างไร แม้นนางจะเกลียดการรวมตัวกันของบรรดาสตรีชั้นสูงพวกนี้ แต่ผู้ที่เป็นเจ้าภาพคือซูอวี้เหิง
ตอนนั้นซูอวี้เหิงได้ยินว่าตนเองป่วยไข้ และอาจจะป่วยเป็นไข้ทรพิษ นางรีบไปเยือนที่หอยาตระกูลไป๋ตามลำพัง แล้วพาหมอประจำการของหอยามุ่งหน้ามายังวัดฉือซิน ทว่ากลับถูกติ้งโหวซื่อจื่อพาคนมาดักไว้ตรงหน้าประตูเมืองหลวง ทุกๆ คำพูดที่สาวน้อยผู้นี้กล่าวขึ้นนั้น เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจากปากของเฝิงหมัวมัว นางแทบจะร่ำไห้ออกมา
“พี่เหยาป่วย อีกทั้งยังอาจจะป่วยเป็นไข้ทรพิษ! ข้าเคยป่วยเป็นไข้ทรพิษ ข้ารู้ความรู้สึกเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงอยากจะไปเยี่ยมนาง…”
“บ่าวไพร่กับคนในครอบครัวจะเหมือนกันได้อย่างไร พี่เหยาอยู่ในวัดตามลำพัง ข้างกายก็มีเพียงบ่าวไพร่…”
[1]ลูกซิ่ง คือแอปปริคอท