ตอนที่ 54 มีแขกมาเยี่ยมเยียนกะทันหัน

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิด โดยไม่พูดสิ่งใดออกมา

หลี่หมัวมัวถอนหายใจอีกครั้ง “ตามหลักแล้ว พวกบ่าวที่เป็นบ่าวไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องของเจ้านาย ทว่าคุณหนูก็รู้ ท่านโหวมีบุตรชายสามคน ท่านซื่อจื่อก็มีบุตรี เวลานี้ฮูหยินของท่านซื่อจื่อก็ตั้งครรภ์ ส่วนทางด้านคุณชายรองก็มีบุตรชายแล้ว เหลือเพียงคุณชายสามที่ยังไม่มีบุตร เหตุเพราะคุณหนูใหญ่ป่วยไข้มาโดยตลอด จึงทำให้เป็นการยากที่จะมีบุตรยิ่งนัก ดังนั้นการตั้งครรภ์ในครั้งนี้จึงสำคัญต่อการเป็นฮูหยินน้อยสามเป็นอย่างมาก พวกเราจำต้องระมัดระวังให้มากที่สุด! “

เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “แต่ข้าไม่เคยรักษาผู้ใดอย่างจริงจังมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยจ่ายยาให้กับใคร หมัวมัวเองก็กล่าวว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนี้สำคัญกับพี่สาวอย่างมาก ข้าผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จะกล้าจ่ายยาพร่ำเพรื่อได้อย่างไร! “

“หมอหลวงในสำนักหมอหลวงเป็นเช่นไร บ่าวไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย ทว่าตอนที่คุณหนูใหญ่ของพวกบ่าวล้มป่วยจนเกือบสิ้นใจไปในน้ำมือของพวกเขา ใครจะกล้าเชื่อใจพวกเขาอีกล่ะเจ้าคะ องค์หญิงต้าจั่งก็มีพระชันษามากแล้ว จึงไม่ได้มาสนใจเรื่องเหลนเสียเท่าใด ลู่ฮูหยินท่านเองก็มีการงานมากมายที่ต้องสะสาง หากพวกบ่าวไม่คอยระวังให้มาก เรื่องนี้จะสำเร็จได้อย่างไรเจ้าคะ” หลี่หมัวมัวถอนหายใจพลางพูด

“สิ่งที่หมัวมัวกล่าวมานั้นมีเหตุผล แต่ในความคิดของข้า วิธีที่ดีที่สุดในการบำรุงครรภ์ของสตรีก็คือไม่ควรจะดื่มยาใดๆ ตามที่โบราณกล่าวเอาไว้ ยานั้นมีพิษถึงสามส่วน หากไม่จำเป็นต้องกินก็อย่าได้กินเลย หมัวมัวควรที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารของพี่สาวมากกว่า โดยให้ความสำคัญเรื่องการบำรุงร่างกาย หากสุขภาพร่างกายของพี่สาวแข็งแรง เช่นนั้นทารกในครรภ์ก็จะแข็งแรงไปด้วย ข้าสามารถเขียนสูตรอาหารที่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์ให้หมัวมัว หมัวมัวนำกลับไปทำตาม จากนั้นก็ดูว่าพี่สาวโปรดปรานในอาหาร(รับ-ตัดออก)จานใด หมัวมัวก็ทำสิ่งนั้นให้นางกินดีหรือไม่”

“คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก!” หลังจากนั้นก็ได้ยินหลี่หมัวมัวตำหนิตนเองซ้ำๆ “บ่าวแก่จนสมองเลอะเลือนแล้วเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะอักษร นางหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็เขียนสูตรอาหารที่บำรุงร่างกายสตรีครรภ์อ่อนมากถึงหกอย่าง หลังจากรอให้หมึกแห้งแล้วถึงจะยื่นให้กับหลี่หมัวมัว

ความรู้เกี่ยวกับสูตินรีเวช เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ใช่ผู้ชำนาญจริงๆ นางอยู่มาถึงสองภพ ไม่เคยที่จะศึกษาค้นคว้าด้านนี้อย่างลึกซึ้งมาก่อน อีกทั้งไม่ได้มีการตรวจชีพจรแล้วเขียนใบจ่ายยาเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่หมอหลวงในสำนักหมอหลวงก็คงไม่กล้ากระมัง เหยาเยี่ยนอวี่ถามใจตนเองแล้วก็ไม่มีความกล้ามากถึงเพียงนั้น แม้จะเป็นตำรับยาที่มีฤทธิ์อ่อนเพียงใด หากรักษาไม่ถูกอาการก็อาจจะเกิดเรื่องได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอกำลังตั้งครรภ์อยู่!

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ หลี่หมัวมัวก็พาคนนั่งรถม้ากลับไปที่จวน แล้วอาศัยช่วงที่ไม่มีใครอยู่ ทวนคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ให้เหยาเฟิ่งเกอฟังอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ

หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอได้ฟังจนจบแล้วนั้น ก็ยิ้มหยันให้กับตนเอง “เมื่อกล่าวเช่นนี้ น้องสาวบุตรีอนุคนนี้ไม่ได้มีจิตใจคับแคบเพื่อผลประโยชน์ของตนเองจริงๆ”

“คุณหนูรองดีจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่ใช่คนประเภทที่ทำคุณงามความดีเอาหน้าแล้วลำพองตน บ่าวสั่งให้คนลอบถามคนในบ้านนา พวกเขากล่าวว่า คุณหนูรองจะออกไปเดินเล่นทุกวัน ทว่ากลับให้ความสนใจเพียงต้นไม้ใบหญ้า พืชผักและแม้แต่ดิน รวมถึงพวกแมลงเท่านั้น นางมักจะสวมเสื้อผ้าหยาบเหมือนหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ยามที่ออกไปไหนมาไหนก็สวมผ้าปิดปากเอาไว้ตลอด แม้ว่าท่าทางของนางจะดูแผลงๆ ไปบ้าง ทว่ากลับไม่ได้สร้างเรื่องแต่อย่างใด”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “หากนางคิดแค่จะทำเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ เวลานี้ใจของข้าแค่จดจ่อกับเจ้าตัวน้อยในครรภ์เท่านั้น จึงมิอาจไปสนใจนางชั่วคราว วันนี้เมื่อคิดดูแล้ว การที่นางไปอยู่ที่บ้านนาข้าเองก็วางใจขึ้นมาบ้าง เวลานี้สิ่งต่างๆ ในจวนพี่สะใภ้รองเป็นคนรับผิดชอบดูแลงานส่วนใหญ่ ข้าดูแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ช่างเยือกเย็นจริงๆ”

หลี่หมัวมัวกล่าวด้วยเสียงเบา “หากฮูหยินซื่อจื่ออดทนต่อไปไม่ได้ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่อไม่มีบุตรชาย วันข้างหน้าก็ไม่มีที่พึ่งพิง ในมุมมองของบ่าวนั้น เวลานี้ ฮูหยินซื่อจื่อคงคิดได้แล้วเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เวลานี้ข้าเองก็คิดได้แล้ว ไม่ว่าจะเก่งกาจมากเพียงใด ทว่าหากไม่มีบุตรชาย ท้ายที่สุดก็สูญเปล่า ดังนั้น…หากพี่สะใภ้รองมีความสามารถก็ปล่อยให้นางทำเถอะ ผู้ที่มีความสามารถย่อมเหน็ดเหนื่อยกว่าอยู่แล้ว ข้าเพียงจำต้องดูแลทารกในครรภ์ด้วยใจที่สงบแล้วคลอดบุตรออกมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น”

หลี่หมัวมัวยิ้มพลันเปรยขึ้น “อมิตาพุทธ! ในที่สุดนายหญิงก็คิดได้แล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอแย้มยิ้ม ขณะที่นางกำลังจะพูดบางอย่างออกมา ก็ได้ยินเสียงใสของสาวใช้ดังขึ้นจากด้านนอก “คุณหนูสามมาแล้วหรือเจ้าคะ! น้อมคำนับคุณหนูสามเจ้าค่ะ”

“พี่สะใภ้สามเล่า นางกำลังนอนพักอยู่หรือไม่ ข้ามาผิดเวลาหรือเปล่า” ซูอวี้เหิงที่เข้ามาในเรือนแล้ว ทว่ากลับไม่ได้เดินเข้ามาด้านใน นางยิ้มแล้วเอ่ยถามสาวใช้

หลี่หมัวมัวเดินออกไปต้อนรับจากด้านใน นางย่อตัวลงเล็กน้อย “คุณหนูสาม ฮูหยินของพวกบ่าวไม่ได้นอนพักเจ้าค่ะ และกำลังเอ่ยถึงคุณหนูอยู่พอดีเลย”

เมื่อซูอวี้เหิงเห็นหลี่หมัวมัวก็รั้งนางเอาไว้ในทันที จากนั้นเอ่ยถาม “หมัวมัว! ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าไปเยี่ยมพี่เหยาหรือ อาการของนางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ แล้ว นางยังไม่หายอีกหรือ”

“ไอ้หยา! ที่แท้เจ้ามาถึงที่นี่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมข้า แต่กลับมาเยี่ยมพี่เหยาของเจ้ากระนั้นหรือ” เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแล้วเดินออกมาจากด้านในห้อง

“ข้าเจอพี่สะใภ้สามอยู่ทุกวี่ทุกวัน จึงรู้ว่าพี่สะใภ้สามสุขสบายดี แต่ข้าไม่ได้เจอพี่เหยาเกือบสองเดือนแล้ว ข้าคิดถึงนางยิ่งนัก” ซูอวี้เหิงยิ้มแล้วเดินมาคล้องแขนเหยาเฟิ่งเกอเอาไว้ จากนั้นยื่นมือไปลูบท้องที่ยังคงเรียบแบนของเหยาเฟิ่งเกอ นางยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น “วันนี้หลานชายของข้าเป็นเด็กดีหรือไม่”

“เจ้าเด็กคนนี้!” เหยาเฟิ่งเกอบีบแก้มของซูอวี้เหิงเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดื้อดึง ระวังวันข้างหน้าจะไม่ได้ออกเรือนล่ะ”

ซูอวี้เหิงเชยคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ แล้วยิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่อยากหาคู่ครองอะไรทั้งสิ้น! การแต่งงานมีอะไรดีกันเล่า”

มือข้างหนึ่งของเหยาเฟิ่งเกอจับมือของหลี่หมัวมัวเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ หันไปนั่งด้านข้าง พลางยิ้มแล้วพูดขึ้น “ดูเข้า! หากองค์หญิงต้าจั่งได้ยินคำพูดนี้ จะต้องจัดการเด็กอย่างเจ้าอีกเป็นแน่”

ซูอวี้เหิงยิ้มแล้วนั่งบนเก้าอี้อีกตัว นางพูดขึ้นด้วยความไม่แยแสแม้แต่น้อย “องค์หญิงต้าจั่งไม่ดุด่าข้าเพราะคำพูดเช่นนี้อยู่แล้ว” กล่าวจบ นางก็เอ่ยถามหลี่หมัวมัว “หมัวมัว อาการป่วยของพี่เหยาเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเองก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนนางยิ่งนัก”

หลี่หมัวมัวยิ้มแล้วตอบกลับ “เวลานี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ วันนี้บ่าวเพิ่งไปเยี่ยมคุณหนูมา คุณหนูบอกว่าได้หยุดกินยาแล้ว ตุ่มแดงตามเรือนร่างก็หายหมดแล้วเจ้าค่ะ”

ดวงตาของซูอวี้เหิงเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ควรจะกลับมาได้แล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า “นางอยู่ที่บ้านนาอย่างมีความสุขและเป็นอิสระเช่นนั้น ไม่ว่าจะพูดกับนางอย่างไร นางก็ไม่ยอมกลับมา”

“ดูท่าแล้ว พี่เหยาคงลืมข้าไปเสียแล้ว ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตนางสักหน่อย!” ซูอวี้เหิงเบะปากเล็กน้อย จากนั้นพูดขึ้นด้วยความหยิ่งทะนง

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจะไปสร้างความวุ่นวายอีกหรือ เมื่อคราวที่แล้วยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไร”

“ครั้งนี้ข้าจะไม่สร้างความวุ่นวายแล้ว ข้าจะไปทูลขอกับองค์หญิงต้าจั่งก่อน จากนั้นค่อยไป” ซูอวี้เหิงยิ้มแล้วพูดขึ้น “วันที่สิบหกเดือนนี้ข้าเป็นเจ้าภาพประลองกู่เจิง คุณหนูแต่ละจวนตกลงกันว่าจะมาประลองพิณด้วยกัน ข้าคิดว่าสวนหย่อมของแต่ละจวนก็ไปกันครบแล้ว และไม่มีความหมายใดอีก เช่นนั้นสู้ไปเที่ยวที่บ้านนาหนึ่งวันยังจะดีเสียกว่า ได้ยินมานานแล้วว่าบ้านนามู่เย่ว์ของพี่สะใภ้สามงดงามยิ่งนัก เวลานี้พี่เหยาก็อยู่ที่นั่น ข้าคิดว่า กระนั้นเลือกไปที่นั่นดีกว่า คราวที่แล้ว พี่หญิงหันก็ถามถึงอาการของพี่เหยาจากข้าพอดี ครั้งนี้จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนนาง”

เหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้ จึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนูรองแห่งจวนกั๋วกงก็รู้ว่าเยี่ยนอวี่ป่วยด้วยหรือ”

“ว่าไปก็ต้องยกคุณงามความดีนี้ให้ข้า!” ซูอวี้เหิงกะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “ครั้งที่แล้วตอนที่ข้าสร้างเรื่องวุ่นวายและดึงดันที่จะเดินทางออกนอกเมืองหลวง แล้วถูกพี่ชายใหญ่ขวางไว้ตรงประตูเข้าเมือง เวลานั้นบังเอิญได้พบกับพวกแม่ทัพเว่ยเซ่า สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ บุรุษพวกนั้นจะช่างพูดเกินไป ไม่รู้ว่าผู้ใดคาบข่าวไปบอกกับหันซื่อจื่อ หลังจากนั้นพี่หญิงหันเลยทราบเรื่องนี้ไปด้วย!”