บทที่ 59 กลับเมืองหลวง

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 59

กลับเมืองหลวง

ทันทีที่หมอหลวงเห็นผื่น เขาก็รู้สึกตกใจ และพร่ำพูดแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วมองไปที่ผู้คนที่โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ หมอหลวงจึงได้รีบสงบอารมณ์แล้วกล่าว “ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนรนไป หมอหลวงจะต้องรักษาทุกคนให้ได้อย่างแน่นอน”

“จะให้พวกเราเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นไม่ได้เชื่อใจง่ายอย่างที่เขาคิดนัก

หมอหลวงก็ได้ถูกบังคับอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่สัญญาไปว่าพวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนมืด จากนั้นพวกเขาก็ได้กลับไปที่ว่าการเมือง

“ไปตามเจ้าเมืองมาที่นี่เร็วเข้า” ทันทีที่หมอหลวงกลับมาถึงที่ห้อง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือหารือกับเจ้าเมือง

หลินซีเหยียนกับอันอี้ก็ได้นั่งอยู่เงียบๆบนหลังคาแอบฟังหมากัดกัน

“ท่านหมอหลวง พวกท่านหยิบยามาผิดหรือเปล่า?” เจ้าเมืองหลี่เจิ้นฮุยเองก็ผื่นสีแดงขึ้นเต็มตัวในเวลานี้ ก็ได้พูดกับหมอหลวงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี

เมื่อหมอหลวงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เย็นชาขึ้นมา “ท่านหลี่ ท่านอย่าได้ปัดความรับผิดชอบมาให้พวกข้า ถ้าคราวนี้พวกเราไม่แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีชีวิตรอดแน่”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะทำกันอย่างไรดี?” หลี่เจิ้นฮุยรู้สึกกลัวขึ้นมา

แล้วหมอหลวงก็รู้สึกกล้าหาญขึ้นมานิดหน่อย สายตาของเขาก็แน่วแน่และกล่าว “ในเวลานี้พวกเราเหมือนกับตั๊กแตนสองตัวที่กำลังไต่เชือก ข้าจะออกไปรักษาผู้คน และค้นหาวิธีการรักษาโรคก่อน ทุกสิ่งอาจจะยังแก้ไขได้ แต่ถ้าไม่ได้ผล เมื่อถึงเวลานั้น…..”

“ท่านต้องการอะไร?” หลี่เจิ้นฮุยถามอย่างเร่งรีบ

“คงมีเพียงหลบหนีไปพร้อมกับสัมภาระ ที่จะทำให้มีโอกาสรอดขึ้นมาบ้าง” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่นหนัก

หลี่เจิ้นฮุยได้ฟังแผนการก็คิดอยู่นาน แล้วในที่สุดก็ผงกหัว “ข้าจะไปเตรียมเงินให้พวกท่านเอาไว้ใช้หลบหนี”

หมอหลวงก็ได้ผงกหัวและพากันออกจากห้อง เมื่อเขาออกไปก็ยังไม่ได้ออกไปพบกับผู้คนก่อน แต่กลับไปพบกับ สวีเฉินจู๋ก่อน

“มีอะไรเหรอขอรับท่านหมอหลวงถึงได้มาหาข้าเฉินจู๋?” สวีเฉินจู๋ก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่สุภาพเช่นเคย และไม่ได้ประจบประแจงเพราะตัวตนของเขา

“ข้าได้ยินมาว่าท่านหมอสวี่เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์อย่างมาก ข้าจึงได้มาเชิญท่านออกไปตรวจอาการด้วยกัน” หมอหลวงได้พูดอย่างกันเองและสุภาพมาก ซึ่งทำให้ผู้คนยากที่จะปฏิเสธ

สวีเฉินจู๋ก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที เขามองไปที่เหล่าหมอที่รออยู่ที่นี่นานแล้วกล่าว “ข้าเกรงว่าลำพังกำลังของข้าและท่านคงไม่อาจทำอะไรได้ในระยะเวลาสั้นๆแน่ พวกเราควรที่จะออกไปร่วมงานกันทั้งหมด”

“ใช่แล้ว, พวกเรายินดีที่จะไปร่วมกับท่านหมอหลวง” เมื่อถูกกล่าวถึง เหล่าหมอเอาแต่ใจเหล่านั้นก็ได้รีบพากันมายืนด้านหน้าและกล่าว

แต่หมอหลวงก็ไม่ได้หันไปมองที่พวกเขา กลับกันเขากล่าวกับสวีเฉินจู๋แทน “ก็ได้ท่านหมอสวี่”

สวี่เฉินจู๋ก็ผงกหัวแล้วออกไปพร้อมกับท่านหมอจาง แล้วตามไปด้วยหมอคนอื่นๆ

อันอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินซีเหยียน ที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ก็พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “พระชายา คิดว่าพวกเขาหาทางแก้พิษได้ไหม?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างเปิดเผย “อันอี้ ข้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอผีได้อย่างไร หากว่าเจ้ายานี่มันหาทางแก้ได้ง่ายๆน่ะ”

อันอี้ก็ผงกหัว เขาเชื่อมั่นในพระชายา

ด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเหล่าหมอตลอดทั้งบ่าย พวกเขาได้พยายามรักษาอาการผื่นแดงกันจนพระอาทิตย์ตกร่วมกัน

“ท่านหมอหลวงได้อะไรบ้างไหม?” สวี่เฉินจู๋ถาม

หมอหลวงในเวลานี้ราวกับว่าเขาอายุ 10 ขวบ “ข้าไม่เคยเห็นผื่นแดงที่แปลกประหลาดมากเช่นนี้มาก่อนเลย ข้าหาหนทางไม่พบเลย”

“พวกเราจะทำกันอย่างไรดี? ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้เริ่มมารวมกันแล้ว” สวี่เฉินจู๋ก็ได้มองไปที่หมอหลวงด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ความโกรธของผู้คนไม่ใช่ที่ท่านหมอหลวงจะต้องแบกรับได้

สวี่เฉินจู๋กล่าวโดยที่ไม่รู้อะไร แต่เขาก็ไม่อยากให้หมอหลวงต้องแบกรับภาระเช่นนี้ “มีเพียงใช้เหตุผลกับผู้คนเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเขาจะรอกันได้

ในตอนพระอาทิตย์ตกดิน มีผู้คนมากมายมายืนรอยอยู่ที่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองชิงโจว พวกเขาล้วนแต่ขุ่นเคือง “หมอหลวงรีบออกมาอธิบายให้พวกเราฟังเดี๋ยวนี้”

“ท่านหมอหลวงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว พวกเจ้าช่วยให้เวลาเขาอีกหน่อยจะได้ไหม?” สวี่เฉินจู๋ยืนอยู่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองแล้วกล่าวออกมา

“อย่ามาขวางทางน่า เจ้าหมอหลวงไร้ความสามารถไม่สามารถรักษาโรคของพวกเรา แล้วตอนนี้ก็ไม่มีหน้าออกมาพบกับพวกข้าอีก แล้วจะให้พวกข้าเชื่อใจเขาได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นต่างก็ตั้งมั่นที่จะไปพบกับหมอหลวง

ไม่ว่าสวี่เฉินจู๋จะพยายามอย่างมากเพียงใด ร่างกายที่บอบบางของเขาก็ไม่อาจต้านทานความโกรธของผู้คนได้

แล้วในขณะที่ผู้คนได้บุกเข้าไปในที่ว่าการเมืองนั้นเอง ก็พบคนหนุ่มที่มีใบหน้าคงแก่เรียนสวมชุดสีฟ้าขาวปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา

“เจ้าเป็นใครกัน?”

ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่เกรี้ยวกราด แต่นักปราชญ์ในชุดสีฟ้านั้นหาได้สนใจไม่ เขาได้สะบัดพัดในมือแล้วกล่าวด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม “ข้าคือหมอผี”

“อย่างเจ้าน่ะเหรอหมอผี? เป็นแค่เด็กไร้หนวดแท้ๆ?” ชายคนหนึ่งที่กล่าวด้วยวาจาที่ดูถูก

“นี่คือท่าทีของพวกเจ้าอย่างงั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนคิ้วขมวดแล้วกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าองค์ชายเย่ ข้าหมอผีคนนี้คงไม่มารักษาพวกเจ้าหรอก”

“เจ้าสามารถรักษาพวกเราได้จริงๆเหรอ?” มีคนถามขึ้นมา

หลินซีเหยียนก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างประชดประชัน “โรคเช่นนี้น่ะ หมอผีอย่างข้าไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ”

หลังจากที่กล่าวจบ หลินซีเหยียนก็ได้สะบัดแขนเสื้อของนาง แล้วก็มีม้วนคัมภีร์เส้นไหมทองคำปรากฏในมือของนาง หลินซีเหยียนก็ได้โยนม้วนคัมภีร์นั้นให้สวี่เฉินจู๋ “ลองครี่อ่านดู”

ถึงแม้ว่าสวี่เฉินจู๋จะยังสงสัย แต่เขาก็ยังทำตาม

จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้แกะม้วนคัมภีร์ออกมาอ่าน แล้วจากนั้นก็พูดชื่อของสมุนไพรออกมา แล้วสวี่เฉินจู๋ก็ได้ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้ก้มหัวให้หลินซีเหยียนอย่างเคารพ “ความสามารถด้านการแพทย์ของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“จำไว้ว่ายาตัวนี้สามารถเตรียมได้อย่างง่ายดาย!” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

หลังจากที่สวี่เฉินจู๋ได้จากไป หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ผู้คนที่เชื่อในตัวเขาแล้วกล่าวอย่างเป็นนัยๆ “ตัวเรานี้เป็นหนี้บุญคุณขององค์ชายเย่ เขาไม่ต้องการให้ข้ามาช่วยเหลือเขา แต่เขาให้ข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้าก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรอดหรือไม่?”

ปราศจากการตอบสนองจากผู้คน หลินซีเหยียนก็ได้จากไปอย่างไร้ร่องรอย

วันต่อมา, ผู้คนในเมื่อชิงโจวต่างก็หายจากโรคระบาด และผื่นสีแดงก็ได้หายไป ส่วนเมืองชิงโจวยังคงกลายเป็นซากอยู่เพราะเหตุการณ์กบฏที่เกิดก่อนหน้า แต่ทุกสิ่งจะฟื้นคืนได้โดยอาศัยเวลา

เจียงหวายเย่ก็ได้ถูกพาตัวกลับไปยังเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่เขากำลังจะออกจากเมืองชิงโจว ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้พากันมาพบกับเขา “พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณขององค์ชายเย่”

หลินซีเหยียนและเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้คนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา “ในเวลานี้ฮ่องเต้เก็บเกี่ยวอะไรใส่ตะกร้าไม่ได้เลย เจ้ารู้สึกพอใจบ้างไหมเจียงหวายเย่?”

เจียงหวายเย่นั้นยังคงหมดสติอยู่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ได้ตอบอะไรหลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่สีหน้าซีดเซียว แล้วเริ่มคิดถึงวิธีการที่จะเข้าไปเอายาในพระราชวังหลวง มันเป็นเพราะว่าทุกคนรู้ว่าเจียงหวายเย่นั้นรักษาไม่ได้แล้ว การเดินทางกลับเมืองหลวงนั้นจึงเรียกได้ว่าปลอดภัยมาก

หลังจากที่ผ่านชายหาดผีเสื้อนี้ไป พวกเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่ถึงชายหาดผีเสื้อนั้นหลินซีเหยียนก็ได้เปิดผ้าม่านออกมาเพื่อมองดูทิวทัศน์ระหว่างทาง จากตำนานได้กล่าวไว้ว่าจะมีผีเสื้อสีม่วงตัวหนึ่งอยู่ในหาดผีเสื้อแห่งนี้ ซึ่งจะปล่อยแสงสีขาวออกมาในยามค่ำคืนและจะกลายร่างเป็นนางฟ้าได้ จึงได้มีชื่อเสียงมากในประเทศนี้ และมีคนผู้คนมากมายที่มายังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลนั้น

หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างเสียใจ นางไม่รู้ว่าจะมีนางฟ้าอยู่ที่นี่จริงๆไหม? เพราะว่ามีผีเสื้ออยู่ที่นี่เต็มไปหมด

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังมองดูรอบๆอยู่นั้น ก็มีเสียงที่ดุดันดังเข้ามาในหูของเธอ “เสี่ยวอันจื่อเตรียมตัวให้พร้อม องค์ชายจะเข้าพักที่นี่คืนนี้”