บทที่ 56: พบผู้ปกครอง

โรเอลได้รับดาบสั้นซึ่งเป็นสมบัติสำคัญระดับชาติมาจากนอร่า น่าเสียดายที่มันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตในปัจจุบันของเขาไปเลยสักนิด

สิ่งเดียวที่ดูเปลี่ยนไปก็คือแอนนา หลังจากที่นอร่ากลับไปแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ จู่ ๆ เธอก็พาอลิเซียมาหาเขาที่ห้องในทันที และบอกว่าทั้งคู่ควรใช้เวลาร่วมกัน

ด้วยคำเตือนจากอาร์เว่นและนอร่า ตลอดจนการเทศนาอันยาวเหยียดจากมาร์ควิสคาร์เตอร์ ทำให้โรเอลเชื่ออย่างสนิทใจว่า เขาไม่ควรออกไปเดินเตร่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ โรเอลจึงใช้เวลาทุก ๆ วันอย่างสงบสุขอยู่ในคฤหาสน์เขาวงกต

เพื่อปกป้องโรเอล ตระกูลแอสคาร์ดได้เรียกกองทหารองครักษ์พิเศษจากเขตการปกครองแอสคาร์ดมาที่คฤหาสน์เขาวงกต

องครักษ์เหล่านี้ล้วนสวมชุดเกราะสีเงินมันวาว พวกได้รับการกล่าวขานว่าเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่ดีที่สุดของคาร์เตอร์ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าทหารทั่ว ๆ ไปมาก ภายใต้การปกป้องของพวกเขา โรเอลจึงแทบจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเลย

นอกจากนี้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานเบื้องหลังคฤหาสน์เขาวงกต ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้จากทั้งรูปแบบการออกแบบภายใน หรืองานศิลปะต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ในคฤหาสน์

ผู้นำตระกูล แต่ละรุ่นนั้นได้สะสมหนังสือเอาไว้ที่นี่เป็นจำนวนมากตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา ส่งผลให้ห้องสมุดของคฤหาสน์แห่งนี้มีการขยับขยายอย่างต่อเนื่อง สวนด้านหน้าและด้านหลังของคฤหาสน์เองก็ค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้โรเอลสามารถเดินไปมาได้โดยไม่รู้สึกติดขัดหรือเบื่ออะไร

กล่าวได้ว่านี่เป็นหนึ่งในสถานที่อันเงียบสงบเพียงไม่กี่แห่งในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ …แน่นอนว่าชื่อเสียงอันน่าสะพรึงกลัวของมันมีส่วนค่อนข้างมากในประเด็นนี้

ทุกเช้าหลังจากตื่นนอน โรเอลจะมุ่งหน้าไปที่สวนหลังบ้านเพื่อออกกำลังกายตอนเช้า ก่อนจะกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อรับประทานอาหารเช้ากับคาร์เตอร์และอลิเซียแล้วก็รับแต้มความสนใจ

หลังจากนั้นโรเอลก็จะเข้าห้องสมุดไปอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ออกไปฝึกฝนร่างกายของเขาต่อ ในช่วงเวลาพักเขาจะคว้าผ้าผืนหนึ่งมาเช็ดใบมีดอันมันวาวของเอสเซนด์วิงเพื่อชื่นชมในความมั่งคั่งของตัวเอง

ตารางเดียวกันนี้ใช้สำหรับช่วงการพักดื่มชาในช่วงบ่ายและมื้อค่ำ เนื่องจากอลิเซียกำลังยุ่งกับบทเรียน ‘คหกรรม’ ระยะเวลาที่เธอใช้ร่วมกับโรเอลจึงลดน้อยลง นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แต้มความสนใจที่เขาได้รับในช่วงป้อนอาหารให้กับเธอตามเวลารับประทานอาหารสูงกว่าปกติ

อันที่จริงแล้วหลังจากที่อลิเซียเอาชนะความกลัวของเธอแล้วหยิบมีดขึ้นมาแทงบรอนเพื่อช่วยโรเอลได้สำเร็จ ความกลัวที่มีต่อของมีคมของอลิเซียก็ลดลงไปมาก เมื่ออดทนฝืนพยายามระดับหนึ่ง ในที่สุดเธอก็สามารถฝืนตัวเองหยิบมีดและส้อมขึ้นมาได้

แต่เมื่อโรเอลสังเกตเห็นว่าอลิเซียกำลังฝืนอยู่ในช่วงเวลารับประทานอาหาร เขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยเธอ นอกจากนี้ถ้าหากอลิเซียรับประทานอาหารได้ด้วยตัวเองเมื่อไหร่ล่ะก็ มีหวังเขาได้ตกงานในฐานะคนป้อนอาหารกันพอดี

นั่นจะทำให้แต้มความสนใจประจำวันของโรเอลลดลงไปมาก! ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้!

ดังนั้นแม้ว่าเหตุผลสำคัญจะเป็นแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของโรเอล แต่กิจกรรมการป้อนอาหารให้อลิเซียก็ยังคงดำเนินต่อไป

เด็กชายไม่กังวลเลยว่าเขาจะเผลอเอาใจอลิเซียมากเกินไปจนทำให้เธอใช้ช้อนส้อมไม่เป็นรึเปล่าด้วยซ้ำ อลิเซียนั้นมีความเป็นตัวของตัวเอง เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะพึ่งพาใครมากจนเกินไป

ตอนนี้การป้อนอาหารจึงเป็นเพียงแค่กิจกรรมใช้เวลาสานสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างพี่น้องเท่านั้น มันเป็นวิธีสื่อสารความรู้สึกของพวกเขาที่ทั้งสองฝ่ายให้เห็นตรงกัน

“หืม? พวกเราจะฉลองปีใหม่กันที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เหรอครับท่านพ่อ? พวกเราจะไม่กลับไปฉลองที่เขตปกครองแอสคาร์ดของพวกเรางั้นเหรอ?”

ระหว่างที่กำลังป้อนอาหารให้กับอลิเซียบนโต๊ะอาหาร โรเอลก็ถามบิดาของเขาด้วยความประหลาดใจ ซึ่งหลังจากที่คาร์เตอร์ตักอาหารอย่างสง่างามแล้วกลืนมันลงไป เขาก็พยักหน้าตอบรับ

“ใช่แล้วล่ะ ในช่วงสองวันที่ผ่านมามีพายุหิมะผ่านมาพอดี ทำให้การเดินทางของเราน่าจะยาวนานขึ้นมาก มันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่พวกเราจะค้างคืนข้างนอกภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อลูกเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน”

“ผมเหรอ? ผมไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นเพราะสภาพอากาศไม่ดีเท่าไหร่สินะ พวกเราถึงต้องพักอยู่ที่นี่กันต่อ?”

“นั่นก็แค่เหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลก็คือ ข้าเกรงว่าเส้นทางขากลับอาจเต็มไปด้วยอันตรายก็ได้”

“…”

คำพูดของคาร์เตอร์ทำให้โรเอลนิ่งเงียบไปทันที เขาไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงสิ่งที่คาร์เตอร์กังวลออกมา

แน่นอนว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์ไม่ได้หมายถึงการปรากฏตัวของโจรหรือสัตว์ป่า แต่เนื่องจากคาร์เตอร์ไม่ได้ต้องการจะอธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้ โรเอลจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถามไปมากกว่านี้ด้วยเช่นกัน

เนื่องจากบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ คาร์เตอร์จึงเปลี่ยนบทสนทนาเป็นหัวข้อที่เบาลง

“อ่า ใช่ ข้ามีข่าวดีมาบอกพวกเจ้าทั้งสองคน การเฉลิมฉลองปีใหม่ของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์น่ะ อลังการมีชีวิตชีวามากกว่าในเขตการปกครองแอสคาร์ดของเราหลายเท่า สมัยที่พ่อยังเด็ก มักจะขอให้ปู่ของเจ้าพามาที่นี่ในช่วงปีใหม่ตลอดเลยล่ะ”

“โอ้? ช่วงปีใหม่มีเทศกาลพิเศษด้วยเหรอครับ?”

“แน่นอนสิ มีงานเลี้ยงปีใหม่ที่พระราชวัง การสวดมนต์ปีใหม่ที่โบสถ์เซนต์ฟารอน จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มแจกขนมศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันประสานเสียงอันเลื่องชื่อของจักรวรรดิเซนต์เมซิทอีกด้วย โดยผลการแข่งขันจะตัดสินกันจากคะแนนความนิยม ดังนั้นมันจึงคึกคักมากเป็นพิเศษ”

มาร์ควิสคาร์เตอร์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนในช่วงวันหยุดปีใหม่ ซึ่งโรเอลและอลิเซียก็ดูจะให้ความสนใจกับพวกมันพอสมควร

ตระกูลเซไซต์นั้นเป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมถึงสองงาน

กิจกรรมแรกก็คืองานเลี้ยงปีใหม่ในพระราชวังสำหรับเหล่าขุนนาง มันไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากงานเลี้ยงปีใหม่ที่เหล่าขุนนางจัดขึ้นในเขตการปกครองของพวกเขาเท่าไหร่ เพียงแต่สถานที่นั้นคือพระราชวัง มันจึงดูยิ่งใหญ่กว่ามาก

อีกกิจกรรมหนึ่งก็คือการสวดมนต์ปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมเฉพาะสำหรับลัทธิบูชาเทพีผู้สร้างโดยสถานที่จัดงานก็คือโบสถ์เซนต์ฟารอน

โบสถ์เซนต์ฟารอนนั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อน ตั้งแต่นั้นมามันก็ถูกใช้เป็นสถานที่หลักในการจัดงานนี้ เนื่องจากในทุก ๆ ปีจะมีฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์อธิษฐานในวันปีใหม่อยู่เสมอ มันจึงเป็นสถานที่เดียวที่มีพื้นที่กว้างขวางพอ

หลังจากการสวดมนต์จบลง กิจกรรมต่อไปก็คือการแข่งขันประสานเสียงรอบชิงชนะเลิศ มันเป็นตารางกิจกรรมที่ค่อนข้างคล้ายกับงานเลี้ยงปีใหม่ที่จัดขึ้นบนโลกในชาติก่อนของโรเอล

ผู้เข้าร่วมทุกคนจะสามารถลงคะแนนโหวตได้ เพื่อใช้ในการสนับสนุนทีมโปรดของพวกเขา เพราะเมื่อการแสดงจบลง ผลการจัดอันดับจะถูกกำหนดโดยผลโหวตความนิยมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ในช่วงบ่ายจะมีรถม้าเดินทางแล่นมาตามถนนหน้าพระราชวังและโบสถ์ เพื่อแจกจ่ายขนมที่เรียกกันว่าขนมศักดิ์สิทธิ์ ขนมนั้นค่อนข้างราคาสูงในยุคนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นกิจกรรมประจำปีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ฝูงชนจำนวนมากจะมายืนเรียงรายรออยู่ที่ริมถนนในทุก ๆ ปีเพื่อรอรถม้าแล่นมาถึง

เนื่องจากมีการจัดเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ ไว้มากมาย มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่การเฉลิมฉลองปีใหม่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะไม่คึกคัก นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาในลัทธิเทพีเซียจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเวลานี้เพื่อเข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองหรือการสวดมนต์

“ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายอันชัดเจนของคาร์เตอร์ โรเอลและอลิเซียต่างก็หันไปมองหน้ากัน บรรยากาศอันเศร้าหมองระหว่างพวกเขาทั้งสามได้จางหายไปในทันที เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะสนุกกับวันหยุดที่นี่

โรเอลยังไม่เคยได้เพลิดเพลินไปกับความมีชีวิตชีวาของฝูงชนเลยตั้งแต่ที่เขากลับชาติมาเกิดบนโลกนี้ เนื่องจากจำนวนประชากรบนโลกนี้ต่ำกว่าชาติก่อนของเขามาก นี่จึงเป็นโอกาสที่หายากสำหรับเขาที่จะได้สนุกสนานและปล่อยวางจากเรื่องต่าง ๆ เพื่อตั้งใจที่จะสนุกกับมันให้เต็มที่

นับตั้งแต่วันนั้นที่นอร่าแวะเข้ามาเพื่อส่งมอบดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก เธอก็ไม่ได้แวะเข้ามายังคฤหาสน์เขาวงกตอีกเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอต้องเตรียมตัวสำหรับงานเฉลิมฉลองปีใหม่

โรเอลยินดีกับสถานการณ์นี้อย่างสุดหัวใจ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับเธอไปได้ แต่โรเอลก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอยู่ดี

เพื่อที่เขาจะได้หลุดออกจากเนื้อเรื่องหลักแล้วมุ่งสู่วิถีชีวิตอันสงบสุข

โรเอลได้กลับมาศึกษาเล่าเรียนอีกครั้งหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะจ้างอาจารย์ดี ๆ ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์หลายท่านเดินทางเข้ามาหยุดพักช่วงสิ้นปี พวกเขาจึงเต็มใจที่จะหารายได้พิเศษจากตระกูลแอสคาร์ค

สำหรับใครบางคนที่เคยผ่านหลักสูตรการศึกษาอันเข้มงวดในโลกก่อนมาแล้ว ชั้นเรียนบนโลกนี้นั้นง่ายกว่าเยอะ ปัญหาเดียวที่เขาเผชิญมีเพียงแค่การจดจำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา

อาจารย์ที่ได้รับการว่าจ้างหลายคนต่างตกใจ เมื่อเห็นนายน้อยแห่งตระกูลแอสคาร์ดผู้ซึ่งมีข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ว่าไร้ความสามารถและเพิกเฉยต่อการเรียน กลับสามารถแสดงไหวพริบความเฉลียวฉลาดได้อย่างน่าประหลาดใจ บ่อยครั้งเขาสามารถเข้าใจบทเรียนต่าง ๆ ถึงขั้นอ่านเนื้อหาไปไกลกว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวถึงในชั้นเรียนได้

เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานตามปกติที่พวกเขาจะต้องเจอในการสอนเด็กซน ๆ แล้วนั้น การสอนโรเอลเหมือนดั่งการสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองได้รับการเติมเต็มในฐานะอาจารย์

ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของโรเอลจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ส่วนทางด้านการฝึกฝนในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว โรเอลยังถือว่าเติบโตได้ช้า ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับแก่นแท้ 5 เช่นเขานั้น ยังไม่สามารถรับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมาได้

วิธีเดียวที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาจึงมีเพียงแค่การฝึกฝนร่างกายและคาถาเวท ซึ่งโรเอลก็ไม่ได้ละเลยอย่างใดอย่างหนึ่งเลยแม้แต่น้อย

ด้วยความพยายามมุมานะของเด็กชาย ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจึงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย เมื่อเทียบกับระดับแก่นแท้ 6 คนอื่น ๆ อย่างน้อย ๆ เขาก็น่าจะเหนือกว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน

ทว่าเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับนอร่าที่มีระดับแก่นแท้ 5 แต่โรเอลก็บอกตัวเองว่าไม่จำเป็นจะต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสัตว์ประหลาด เธอเป็นสายเลือดทูตสวรรค์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าเขา

วันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ในขณะที่โรเอลค่อย ๆ พัฒนาความสามารถของตัวเองไปอย่างช้า ๆ

จนกระทั่งเมื่อใกล้จะสิ้นปี มาร์ควิสคาร์เตอร์ก็ได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่โรเอล

“พระสังฆราชต้องการที่จะพบเจ้า”

จิตใจของโรเอลว่างเปล่าไปในทันที ไม่บอกเขาก็รู้ดีว่า ‘พระสังฆราช’ ที่คาร์เตอร์พูดถึงคือใคร

จอห์น เซไซต์ พระสังฆราชของศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้นำตระกูลเซไซต์ ทูตของพระเจ้า สาวกอันดับหนึ่ง …เขามีชื่อเรียกมากเกินไปเสียจนเด็กชายจำไม่ได้ทั้งหมด

อีกนัยหนึ่งหากพูดอย่างเป็นกันเองจากมุมมองของโรเอล เขาคนนั้นก็คือ ‘ปู่ของนอร่า’

มีผู้คนหลายร้อยล้านคนอาศัยอยู่ในทวีปเซีย แต่จำนวนคนที่กล้าต่อต้านเขานั้นมีเพียงหยิบมือ อิทธิพลของเขาได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในทวีปเซีย

การได้รับความสนใจจากเขาจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอหน์ เซไซต์นั้นเป็นถึงวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของมวลมนุษย์

ในช่วงที่เขายังอายุน้อย จอห์น เซไซต์เคยเอาชนะมหาสาวกของพวกกลายพันธุ์ในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์

พวกกลายพันธุ์คืออะไร? มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มุมมองที่โรเอลได้รับมาจากการเล่นเกมอาย ออฟ โครนิเคิล ก็คือ พวกมันเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่สนใจสิ่งใด

พวกมันอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า แดนสาบสูญ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ได้อพยพออกมาในอดีต ร่างกายของพวกมันก็มีการกลายพันธุ์ทางพลังเวทอยู่ในระดับสูง ทว่าปีศาจเหล่านี้นั้นไม่อาจจะสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ และยังเป็นปรปักษ์ด้วยเหตุผลที่ว่า พวกมันกินเนื้อมนุษย์

พวกกลายพันธุ์ มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์มากจนโดดเด่น แต่พวกมันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน กลับกันแล้วพวกมันไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปตะครุบมนุษย์ทุกคนที่พวกมันเจอ จึงทำให้พวกมันกลายเป็นศัตรูอันอัปมงคลของอารยธรรมมนุษย์ ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างนักล่าและเหยื่อตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาเลยแม้แต่น้อย

พวกปีศาจได้เคลื่อนพลบุกมายังทางทิศตะวันตกของทวีปเซียถึงสี่ครั้ง ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วบริเวณในทุก ๆ ครั้ง บางทีอาณาจักรทั้งอาณาจักรก็ต้องถูกทำลายลงด้วยความป่าเถื่อนของพวกมัน

สงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 80 ปีก่อน มนุษยชาติและพวกกลายพันธุ์ ได้ต่อสู้ยืดเยื้อกันมาเป็นเวลายาวนานถึง 22 เดือน ก่อนที่ฝั่งมนุษย์จะพบโอกาสในชัยชนะ

ในสงครามครั้งนั้น จอห์นได้สังหารมหาสาวกของพวกกลายพันธุ์ด้วยตัวคนเดียว แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะเสียชีวิตตามไปเช่นกัน

ต้องขอบคุณการสนับสนุนของภาคีอัศวินเพนเดอร์ ที่ช่วยเหลือเขาออกมาจากเงื้อมมือแห่งความตาย

นี่เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสงครามกับพวกกลายพันธุ์ ชื่อของจอห์น เซไซต์ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกและกลายเป็นที่รักของมวลมนุษยชาติ นั่นจึงทำให้ตำแหน่งของเขาบนบัลลังก์ในฐานะจักรพรรดิยิ่งมั่นคงขึ้นไปอีก

ทุก ๆ ปี ผู้ศรัทธานับไม่ถ้วนจะออกเดินทางมายังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน เพียงเพื่อที่จะพบเขาจากระยะไกล ๆ พวกเขาจะกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นเหมือนแฟนคลับที่ได้พบกับไอดอลของตน และบางคนต่างก็คุกเข่าลงเคารพอย่างตื้นตันใจ

ตอนนี้วีรบุรุษของมวลมนุษยชาติ ผู้ก้าวข้ามความแตกต่างทางพรมแดนคนนั้นต้องการที่จะพบกับโรเอล! ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเขารู้สึกประหม่าแค่ไหน ราวกับว่าวันหนึ่งเขากำลังนั่งอยู่ในบ้าน แล้วจู่ ๆ ก็ได้รับสาย แจ้งว่าผู้นำประเทศต้องการพบเขา ใครเล่าจะไม่งุนงงสับสนกับสถานการณ์นี้!

จอห์น เซไซต์ไม่ใช่ตัวละครที่ปรากฏตัวในเกม ดังนั้นโรเอลจึงไม่คุ้นเคยกับรูปลักษณ์และบุคลิกของเขา เด็กชายนั้นไม่มีความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาก่อนเลย ถ้าเกิดโรเอลเผลอพูดอะไรขัดใจเขาสักคำล่ะก็…

…โอ้ หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ

ทันใดนั้นโรเอลก็ตั้งสติกลับมา เขาเหลือบไปมองยังบิดาของตนที่ยังคงวางท่าทีเป็นปกติดี และสาวใช้อีกสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โต๊ะอาหาร ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวตนของตัวเองในปัจจุบันคืออะไร

แม้ว่าพระสังฆราชนั้นจะน่าเกรงขาม แต่ตระกูลแอสคาร์ดเองก็เป็นผู้มีอิทธิพลเช่นกัน นอกจากนี้ตระกูลของพวกเขายังอยู่ในช่วงที่กำลังสนิทสนมมีความสัมพันธ์อันดีอีกด้วย

นอกจากเรื่องที่โรเอล มักจะปฏิเสธความสัมพันธ์ของตัวเองกับนอร่าแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็ยังถือว่าค่อนข้างดี การที่ตระกูลเซไซต์มอบดาบสั้นเอสเซนด์วิงให้กับเขาเป็นของขวัญเองก็เป็นสัญญาณที่ดีเช่นกัน

ซึ่งมันอาจจะเป็นคำสั่งโดยตรงจากพระสังฆราชก็ได้ หากมองจากมุมมองดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนว่าโรเอลไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไรเลย

เขาก็แค่คุณปู่จากบ้านใกล้เคียง ใช่ แบบนั้นแหละ

ขณะที่โรเอลกำลังพยายามโน้มน้าวตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เวลาก็ได้แล่นผ่านไป

ไม่นานนักยุคศักราชที่สาม ปี 1004 ก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว