เพราะเรื่องในห้องหนังสือวันนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวน ตอนอาหารเย็น เธอจึงทานเพียงเล็กน้อย เพราะกลุ้มใจ เสี่ยวมู่จื่อตกใจคิดว่าเธอยังไม่หายดี จึงอดกำชับเธออย่างเป็นห่วงไม่ได้
เล่อเหยาเหยาไม่อยากให้เสี่ยวมู่จื่อกังวล จึงเพียงเอ่ยว่ามื้อเช้ากินมากเกินไป หลังเอ่ยจบพลันกลับไปที่เรือนหย่าเฟิงทันที
เมื่อครู่ท่านอ๋องให้คนส่งข่าวมาแล้ว เอ่ยว่าคืนนี้กลับดึก ดังนั้นห้องครัวจึงไม่ต้องเตรียมอาหารเยนของเขา น่าจะกินจากในวังหลวง
ไม่รู้เขาจะกลับมาเวลาใด และเพราะเรื่องในวันนี้ แทบทำลายความกล้าของเล่อเหยาเหยาลง ดังนั้นหลังกินอาหารเย็นเสร็จ เล่อเหยาเหยาอดที่จะนั่งอยู่หน้าประตูตำหนัดหย่าเฟิงไม่ได้
เดิมทีคิดจะเดิมชมดอกไม้ใบหญ้าสงบอารมณ์ที่ยุ่งเหยิ่งลง คิดไม่ถึงว่าพอนั่งลงได้กลิ่นหอมจางจากด้านในสวนดอกไม้ กลับหลับไปโดยไม่รู้เนื้อเนื้อตัว
ไม่รู้หลับไปนานเพียงใด ระหว่างสะลืมสะลือ คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุย ทำให้เล่อเหยาเหยาที่หลับตื่นขึ้นมา
หลังขยี้ตาไล่ความง่วงงุน เล่อเหยาเหยาตกใจเมื่อรู้ว่าตนเองหลับไปโดยไม่รู้ตัว
มองบรรยากาศรอบด้าน ท้องฟ้ามืดมิดโดยไม่รู้ตัว
เพียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดวงดาวที่สดใส ราวกับเพชรที่เปล่งประกายงดงาม ระยิบระยับ งดงามยิ่งนัก!
ดวงจันทร์เฉิดฉายเหนือกิ่งหลิว แสงจันทร์ในต้นฤดูร้อน มักจะแจ่มชัดและกระจ่างใส
แสงจันทร์กระจ่างใส ราวกับผ้าแพรบาง อ่อนนุ่ม ตกลงมาปกคลุมทั่วผืนดิน ทำให้พื้นดินดูลึกลับมากขึ้น
แสงไฟยามค่ำคืนในวังอ๋อง เสียงจอแจที่น้อยกว่าตอนกลางวัน ทำให้ดูสดใสยิ่งขึ้น
ตึกเรียงรายกระจายในวังอ๋อง แกะสลักงดงาม ผืนน้ำระยิบระยับ ลมเย็นเอื่อยๆ ยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก
ทว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันได้เสพสุขกับความสุขเวลานี้ สายตาที่กวาดไปโดยไร้จุดหมาย เห็นเงาคนเดินเข้าอย่างช้าๆ เข้ามาใกล้ เธอจึงสะดุ้งตกใจ กระโดดขึ้นจากพื้นทันที
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยการเสพสุขและง่วงงุน ปรากฏความลนลานและสับสนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะที่เดินมาทางเธออย่างช้าๆ หากไม่ใช่พญายมจะเป็นใครได้อีก!?
อาจเพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋สังเกตเห็นสายตาของเล่อเหยาเหยา จึงเดินเข้าไปพลางถกบางอย่างกับเหม่ย สายตาเย็นชากวาดมองแวบหนึ่ง ก่อนจะมองยังเล่อเหยาเหยา ก่อนสายตาจะเป็นประกายขึ้น
ทว่าเขาหลุบตาอย่างรวดเร็ว คุยบางอย่างกับคนด้านหลังราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลานี้เล่อเหยาเหยาจึงเห็นว่า ด้านหลังพญายมยังมีคนยืนอยู่อีกสองคน และสองคนนี้ดูแล้วอายุไม่มาก ราวสิบเก้ายี่สิบปี หน้าตาถือว่าไม่แย่
สวมเสื้อคลุมยาวสีดำเหมือนกัน แต่สีหน้าของสองคนด้านหลังพญายมกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
คนหนึ่งเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งเหมือนกับพญายม อีกคนกลับยิ้มแย้ม คล้ายไม่เกิดเรื่องใหญ่ใด บนใบหน้าเขายังมีรอยยิ้ม
สำหรับสองคนนี้ เล่อเหยาเหยาไม่คุ้นหน้า แต่คาดเดาออก สองคนนี้น่าจะเป็นสองจากสี่องครักษ์ลับที่สำคัญของพญายม
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังคิดในใจ ทั้งสามคนเดินเข้ามา เล่อเหยาเหยาแม้ในใจจะยังหวาดกลัวพญายม แต่เธอยังเข้าไปทำความเคารพพญายม ศีรษะก้มต่ำลง
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“อืม ไปเตรียมอาหารมื้อดึกแล้วยกไปที่ห้องหนังสือ!”
เห็นเล่อเหยาเหยาถวายบังคม เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่แม้ชายตามอง หลังเอ่ยประโยคนี้จบ นำสองคนด้านหลังเดินไปที่ห้องหนังสือ เล่อเหยาเหยาที่อยู่หลังได้ยินประโยคนั้นของเขา มีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“อะไรนะ!? ไปทำอาหารมื้อเย็นมา!? แต่เรื่องทำอาหาร ไม่ใช่หน้าที่ของห้องครัวหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงสั่งให้ฉันไปทำ!?”
แม้ในใจจะมึนงง แต่เล่อเหยาเหยาก็ไม่กล้าต่อต้านคำสั่งของพญายม รีบวิ่งมุ่งตรงไปที่ห้องครัว
กลางดึก ห้องครัวกว้างใหญ่จึงเงียบสนิท ไร้ผู้คน แตกต่างกับตอนกลางวันที่ยุ่งเป็นมือระวิง
เพราะในวังอ๋องมีกฎระเบียบ นอกจากคำสั่งของท่านอ๋อง คนอื่นหลังผ่านเวลามื้ออาหาร มีกฎว่าไม่อนุญาตให้มากินอาหารที่ห้องครัวอีก
หากท่านอ๋องทรงหิว รับสั่งบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้ไปบอกกล่าวคนในห้องครัวให้ออกไปจัดเตรียม
ทว่าเมื่อครู่ความหมายของพญายม คล้ายให้เธอไปจัดเตรียมเอง เล่อเหยาเหยาจึงเกรงใจไม่กล้าเรียกคนอื่นมาช่วยจัดเตรียมอีก
เพราะดึกดื่นเช่นนี้ ทุกคนทำงานยุ่งมาทั้งวัน พรุ่งนี้ยังมีงานมากมายให้ทำ!
อีกอย่างปริมาณสามคน สำหรับเธอแล้ว เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนเย็นเธอก็กินได้ไม่มาก ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เธอจะเตรียมให้ตัวเองด้วย กินให้อิ่มหน่ำไปเลย!
หลังตัดสินใจได้ เล่อเหยาเหยาพลันดึงชายเสื้อขึ้น เดินวนอยู่ภายในห้องครัว หลังได้วัตถุดิบครบตามที่ตนต้องการ นำไปล้างให้สะอาด
ตบมือ เล่อเหยาเหยาเตรียมลงครัวแล้ว!
แต่หลังจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เล่อเหยาเหยาจึงพบปัญหาหนังอย่างหนึ่ง นั่นคือ…
เธอติดไฟไม่เป็น!ซวยแล้ว!
แม้ฝีมือทำอาหารของเธอจะยอดเยี่ยม แต่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้านล้วนใช้เตาแก๊สทั้งหมด จำเป็นต้องติดไฟที่ไหน
ครั้งก่อนที่ทำอาหารที่นี่ ก็เป็นเสี่ยวมู่จื่อที่ลงมือจุดไฟ เธอรับผิดชอบเพียงทำอาหาร แต่ตอนนี้…
มองยังฟืนกองใหญ่ที่ผ่าวางไว้อย่างเรียบร้อน เล่อเหยาเหยายกยิ้มที่มุมปาก
ทว่าเธอไม่สนอะไรทั้งนั้น เพียงจุดไฟเท่านั้น เธอไม่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ที่สง่างามข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเช่นเธอ จะทำเรื่องเล็กน้อยนี้ไม่ได้
หลังคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาชูกำปั้นเล็กขึ้น ตะโกนให้กำลังในตัวเองในใจแล้ว คุกเข่าลงหยิบฟืนเพื่อจุดไปขึ้นมา
แต่ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า เรื่องการจุดไฟนี้ ไม่มีทุกคนจะเหมาะสมที่จะทำ
อย่างเช่น เล่อเหยาเหยาเป็นต้น!
หลังหินไฟไหม้ฟืนพวกนั้น เล่อเหยาเหยากลัวตนจะทั้งทำอาหารทั้งเติมฟืนไม่ไหว ดังนั้นจึงยัดหญ้าเข้าไปด้านในไม่หยุด
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ควันหนาสีดำกลุ่มนั้นพลันคล้ายถูกพ่นออกมา ผ่านไปไม่นาน ทั่วห้องครัวเต็มไปด้วยควัน
แม้เล่อเหยาเหยาจะให้มือปิดจมูก แต่ยังถูกควันสีดำทำให้สำลักจนน้ำตาไหลออกมา ในที่สุดเธออดทนไม่ไหว วิ่งออกจากห้องครัวทันที คิดจะพักหายใจก่อน รอให้ควันพวกนั้นลดลง จากนั้นกลับเข้าไปทำงานที่ค้างคาอยู่
คิดไม่ถึงว่า เธอออกมาได้ไม่นาน ห้องครัวด้านหลังเธอถูกไฟไหม้จนสว่างจ้าทันที เล่อเหยาเหยาที่เห็นอดตาเบิกกว้าง สมองขาวโพลนทันที
หลังได้สติกลับมา เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างมาก
จบกันๆ ไฟไหม้แล้ว!
“อา น่าตายนัก!”
เล่อเหยาเหยาย่ำเท้ากับพื้นไปมา มองเปลวไฟที่ไม่ใหญ่ด้านใน รีบพุ่งเข้าไปทันที คิดใช้น้ำเพื่อดับไฟ
ทว่ามีประโยคหนึ่งที่ว่า ยิ่งทำก็ยิ่งยุ่ง เวลานี้ใช้กับเล่อเหยาเหยาได้อย่างไม่มีผิด
เธอเพียงอยากใช้น้ำดับไฟ ทว่ากลับไม่ระวังหยิบผิดเป็นเหล้า
เมื่อเห็นไฟที่เดิมทีขนาดไม่ใหญ่ หลังเธอรดเหล้าในมือลงไป เกิดเสียง ‘ตูม’ขึ้น เปลวไฟพุ่งสูงขึ้น!
เล่อเหยาเหยาตกในจนกระโดถอยหลังไป ราวกลัวเปลวไฟจะไหม้โดนร่างกายตน
ทว่าเธอหนีรอดจากเปลวไหม้นั้นได้ แต่ไม่ระวังเซถูกตะกร้าไม้ไผ่ด้านหลังเข้า
เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงเท้าเจ็บปวดอย่างรุนแรง ราวกับได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ดังขึ้นมาจากเท้าของเธอ
“น่าตายนัก เจ็บจัง!”
ล้มลงบนพื้น รวมทั้งเจ็บที่ขา ทำให้เล่อเหยาเหยากัดฟันอย่างเจ็บปวด สีหน้าซีดขาว
สิ่งสำคัญที่สุดคือเปลวไฟตรงหน้าเธอกลับเริ่มลุกลามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อันที่จริงภายในห้องครัวมีฟืนและหญ้าแห้งมากมาย ยังมีเหล้าและน้ำมัน โต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้ ทั้งหมดล้วนสามารถติดไฟได้
เห็นไฟลุกลามใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เล่อเหยาเหยาตกใจจนโง่ เท้าที่เจ็บขยับไม่ได้ ดวงตาเบิกกว้าง ปากเล็กอ้าค้าง ก่อนพลันร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ เสียงดังก้องอื้ออึง
“ช่วยด้วย ไฟไหม้…”
…
ขณะเล่อเหยาเหยากำลังตกอยู่ในอันตราย สามคนในห้องหนังสือ กำลังปรึกษาหารือบางอย่างอยู่
ทว่าซิงที่นั่งอยู่ข้างเตียง หลับตาลง หลังมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ใบหน้างดงามพลันตกตะลึง
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่พูดบางอย่างอยู่ด้านข้าง หลังสังเกตเห็นซิงเหม่อลอย ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น สายตาปรากฎความไม่พอใจ
อันที่จริง เขาเกลียดที่สุดคือขณะที่เขาพูด คนอื่นกลับเหม่อลอย เห็นชัดว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
เหม่ยที่รับรู้ถึงความไม่พอใจของเจ้านาย ตกใจทันที ยื่นมือใหญ่เขย่าซิงที่อยู่ด้านข้างทันที ก่อนเอ่ยตักเตือนขึ้น
“ซิง!”
“เอ้อ? เหม่ย มีอันใด?”
ซิงมีสีหน้าสงสัยกับน้ำเสียงเชิ่งตักเตือนของเหม่ย
แต่เหม่ยกลับมีสีหน้าไร้คำพูด ก่อนเอ่ยถาม
“เจ้ามองอันใด นายท่านโมโหแล้ว”
เมื่อได้ยินเหม่ยตักเตือน ซิงจึงมองยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่หน้าตน
เห็นชัดว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีใบหน้าไม่พอใจ
“เรื่องอันใด เจ้าถึงสนใจเช่นนี้!”
เมื่อฟังออกว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่น้ำเสียงไม่พอใจ ซิงจึงนำความสงสัยในใจเอ่ยพูดออกมาตามจริง
“นายท่าน ท่านดู ทางนั้นคล้ายเกิดเรื่องขึ้น สว่างราวกับไฟไหม้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซิงกระพริบตากลมโตสุกใส มือชี้ออกไปที่หน้าต่าง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำพูดของซิง เพียงกวาดสายตามองตามไป
ทว่าเมื่อมองไปยังตำแหน่งที่ซิงชี้มือไป เห็นท้องฟ้าสีแดงนั้นทันที ดวงตาแคบยาวพลันเบิกกว้าง เพราะนั่นคือ…
ตำแหน่งของห้องครัว
……………………………………..