ตอนที่ 61 มิน่าเชื่อ
เพียงเวลาแค่ 1 ก้านธูป
แสงจากหินหุนหยวนก้อนนั้นที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเย่ฉางชิงก็จางลง คลื่นพลังงานอันน่ากลัวเมื่อครู่ก็เริ่มลดลง จนแสงที่เปล่งประกายในตอนแรกค่อย ๆ จางหายไป
เห็นได้ชัดว่าเย่ฉางชิงกำลังจะซึมซับจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในหินหุนหยวนจนเกือบหมดแล้ว
ราชันทมิฬเบิกตาโพลง จดจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่เช่นนั้น
หลังผ่านไป 1 ชั่วก้านธูป มันก็ได้เห็นภาพตามที่คาดการณ์เอาไว้
‘นายท่านเก่งกาจถึงเพียงไหนกันนะ ? ’
‘ข้าบำเพ็ญเพียรอยู่ข้างกายนายท่านมานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นนายท่านฝึกตน แต่มิรู้ว่านายท่านบรรลุถึงขั้นไหนแล้ว ถึงได้สามารถกลั่นพลังงานอันน่ากลัวที่แฝงเอาไว้ในของวิเศษออกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้’
‘หลายปีมานี้นายท่านมิเคยบำเพ็ญเพียรมาก่อน หรือว่าเป็นเพราะปราณวิญญาณฟ้าดินมิเพียงพอต่อการบำเพ็ญเพียรของเขา จึงจำเป็นต้องกลั่นพลังจากของวิเศษจึงสามารถบำเพ็ญเพียรได้’
ราชันทมิฬคิดได้ดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ดวงตาของราชันทมิฬก็เป็นประกาย ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้
‘หนึ่งปีก่อนตอนที่มันท่องอยู่ในเทือกเขาแดนใต้ ได้เคยบุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณโดยบังเอิญ ดูเหมือนส่วนลึกของเขตหวงห้ามจะมีของวิเศษเช่นนี้อยู่ด้วย’
‘เพราะความเมตตาจากนายท่านจึงทำให้มีข้าในวันนี้ การที่ผู้แข็งแกร่งเช่นนายท่านมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บภายใน อีกทั้งปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่มิเพียงพอต่อการบำเพ็ญเพียรของนายท่านเป็นแน่’
‘บัดนี้อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ทั้งจากการตระหนักรู้ภาพราชันทมิฬ ยังทำให้การบำเพ็ญเพียรของข้าก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย แม้ข้าจะมีศัตรูมากมายที่เทือกเขาแดนใต้ แต่ขอเพียงข้ามิเปิดเผยตัวตนออกมา พวกปีศาจตัวเล็ก ๆ ก็มิอาจรู้ว่าเป็นข้าได้’
‘เช่นนั้นครานี้ข้าจะบุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ เพื่อนำของวิเศษชิ้นนั้นมาให้นายท่านเป็นการตอบแทนให้จงได้’
ราชันทมิฬจ้องมองเย่ฉางชิงที่ยังคงหลับตาสนิทด้วยท่าทางแน่วแน่ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปอย่างมิลังเล
มินานหลังราชันทมิฬเดินออกมาจนพ้นเขตเมืองเสี่ยวฉือแล้ว เพียงพริบตาก็ได้จำแลงเป็นลำแสงสีดำพุ่งไปยังทิศใต้ราวกับสายรุ้งทันที
……………………………
ขณะเดียวกัน
ถานไถชิง เสวี่ยที่กำลังเดินทางไปรวมตัวกับคนในสำนักที่เขาไท่เสวียน ขณะมาได้ครึ่งทางก็รับรู้ได้ถึงปราณวิญญาณฟ้าดินที่จู่ ๆ ก็ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
นางจึงหันไปมองตามทิศที่ปราณวิญญาณฟ้าดินไหลผ่าน ก็พบว่าเป็นตำแหน่งของเมืองเสี่ยวฉือพอดี
ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของถานไถชิง เสวี่ยปรากฏรอยยิ้ม พลางพึมพำว่า ‘มิน่าเล่าหลายวันมานี่จึงมิเห็นท่านเย่บำเพ็ญเพียร คาดมิถึงว่ายามที่เขาบำเพ็ญเพียรจะทำให้เกิดฟ้าดินแปรปรวนได้รุนแรงเพียงนี้’
‘หากข้าเดามิผิดท่านเย่คงเป็นห่วงกลัวว่าพลังที่เกิดขึ้นในยามที่เขาบำเพ็ญเพียรจะเกิดเป็นแรงมากดดันข้าเป็นแน่ ? ’
ถานไถชิง เสวี่ยคิดถึงตรงนี้ ก็ถอดถอนใจออกมาเบา ๆ ‘ท่านเย่ช่างเป็นคนมีเมตตาจริง ๆ หากมิใช่เพราะข้าคำนับเข้าเป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงแล้วล่ะก็ ข้าจะยอมติดตามข้างกายท่านเย่ไปชั่วชีวิต แม้จะเป็นเพียงคนรับใช้ ข้าก็จะมิเสียใจเลย’
ถานไถชิง เสวี่ยคิดเช่นนั้น จึงโค้งคารวะลงเล็กน้อย ‘ท่านเย่ วันหน้าเราคงจะได้พบกันอีก’
………………………………….
ณ เขาไท่เสวียน
ขณะที่ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง อินฉางเฟิง และลู่อู๋ซวงกำลังประลองกระบี่กันอย่างดุเดือด และคนของทั้งสองสำนักที่กำลังนั่งชมอยู่ต่างมีสีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมนั้น
จู่ ๆ เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คล้ายกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
พวกเขาสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะหายตัวไปจากแท่นนั่งชมแทบจะพร้อมเพรียงกัน
วินาทีต่อมาทุกคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นยังค่ายกลป้องกันภูผาของเขาไท่เสวียน
สวีฉิงเทียนที่รู้สึกถึงปราณวิญญาณฟ้าดินที่ไหลผ่านอย่างรุนแรงถึงกับขมวดคิ้วแน่น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด “นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดจึงเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ได้ ? ”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าไปมาด้วยความมิเข้าใจ
แต่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลับเพียงแค่สบตากัน จากนั้นก็เหลือบมองไปทางนักพรตฉางเสวียนอยู่เป็นระยะ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เดาได้ว่า ทั้งหมดเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับท่านบรรพจารย์เย่ที่เร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ
“พี่เหอ ท่านคิดว่าเยี่ยงไร”
สวีฉิงเทียนถอนสายตากลับมามองใบหน้าที่เรียบนิ่งของนักพรตฉางเสวียน
นักพรตฉางเสวียนได้สติอีกครั้ง เหลือบมองสวีฉิงเทียนครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “บางทีอาจเป็นสหายท่านใดผ่านมาทางนี้ แล้วบังเอิญตระหนักรู้และบรรลุกระมัง”
“พี่เหอ ต่อให้ข้าจะมิได้ไร้เทียมทานแต่ก็บรรลุถึงขั้นเทวา หากมีคนบรรลุจริง ข้าจะมิรู้ได้เยี่ยงไร ? ”
สวีฉิงเทียนจ้องนักพรตฉางเสวียน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น อีกทั้งยังเกิดปรากฏการณ์ที่มีพลานุภาพรุนแรงเพียงนี้ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด หากมิใช่มีแดนลับถือกำเนิดขึ้น ก็ต้องมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างปรากฏขึ้นเป็นแน่
หากเป็นดังเช่นที่นักพรตฉางเสวียนกล่าวไว้ เกรงว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นแดนเทวาก็คงมิมีทางทำให้เกิดฟ้าดินแปรปรวนน่ากลัวเช่นนี้ได้
มุมปากของนักพรตฉางเสวียนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่หาได้พูดสิ่งใดออกมาไม่
ขณะนั้นเองราวกับสวีฉิงเทียนนึกบางอย่างขึ้นมาได้พอดี
เพียงพริบตาดวงตาที่เขามองนักพรตฉางเสวียนจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
‘หากมีคนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่มีพลานุภาพรุนแรงเช่นนี้ได้จริง เช่นนั้นก็คงมีเพียงผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นเป็นแน่’
‘แต่อาวุโสลึกลับท่านนี้บรรลุถึงขั้นไหนกันนะ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้’
ขณะนั้นเองก็มีร่างงดงามของสตรีนางหนึ่งเหาะมาพอดี
นางก็คือถานไถชิง เสวี่ย
สวีฉิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงไอพลังบนร่างของถานไถชิง เสวี่ยก็ผงะเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมา “เด็กน้อย หรือว่าเจ้าบรรลุขั้นก่อกำเนิดแล้วงั้นหรือ ? ”
ถานไถชิง เสวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มสดใส
ใบหน้าของสวีฉิงเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี ก่อนจะรีบเอ่ยถามว่า “เด็กน้อย บอกมาเร็วว่าหลายวันมานี้เจ้าได้ไปเจอโอกาสและโชคอันใดมา ? ”
ถานไถชิง เสวี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก ชิงเสวี่ยได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือท่านหนึ่งมาเจ้าค่ะ”
“ยอดฝีมือหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนมีสีหน้าสงสัยขึ้นมาอย่างอดมิได้
ขณะเดียวกันเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที
…………………………………..
มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
เมื่อเย่ฉางชิงรู้สึกได้ว่าความร้อนที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างค่อย ๆ เบาบางลง แม้กระทั่งคลื่นความเย็นเล็กน้อยที่มีในตอนแรกก็จางหายไปด้วย
สุดท้ายเขาจึงหยุดท่องเคล็ดวิชา แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ที่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือก็ได้มลายหายไปด้วย
จวบจนหมู่เมฆที่เกาะกลุ่มอยู่นั้นมลายหายไป ดวงตะวันคล้อยต่ำแสงสีส้มอมแดงฉาบทั่วแผ่นฟ้า
“คาดมิถึงว่าจะเย็นป่านนี้แล้ว ความรู้สึกเวลาบำเพ็ญเพียรช่างดีจริง ๆ ”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ พลางพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นจึงบิดตัวไล่ความขบเมื่อย
แต่ขณะที่มือของเขาทั้งสองข้างสัมผัสกัน ก็ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจก็มิปาน
โดยปกติในการบำเพ็ญเพียรนั้น การที่เขานั่งบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกด้วย พลังในร่างกายย่อมจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แต่สุดท้ายขณะที่มือของเขาประสานกันนั้น เขากลับพบว่าร่างกายของตนราวกับมิมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น และหาได้มีพลังเพิ่มขึ้นเยี่ยงคิดไว้ไม่
‘หรือว่าที่นั่งบำเพ็ญเพียรมานานสองนาน กลับไร้ประโยชน์เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ในโลกเซียนแห่งนี้ผู้ที่ภายในไร้ซึ่งรากวิญญาณจะมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘มิน่าเชื่อ ! ’
‘แล้วความรู้สึกเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันแน่ ? ’
ชั่วขณะหนึ่งสมองของเย่ฉางชิงกลับเต็มไปด้วยคำถาม
รู้สึกราวกับร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาในพริบตา
‘เป็นไปมิได้ ข้าเป็นผู้ทะลุมิติ ข้ามิใช่คนไร้ประโยชน์’
‘ข้ามิมีทางอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ข้ามิมีทางใช้ชีวิตเยี่ยงคนกระจอกในโลกเซียนแห่งนี้เป็นอันขาด ! ’
เย่ฉางชิงทรุดตัวลงกับพื้น พลางพึมพำกับตัวเองมิหยุดด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า