ตลอดการเดินทางนี้ เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าถ้าจะมีใครสักคนในกลุ่มเป็นผู้มีพลังพิเศษ ก็คงไม่พ้นเป็นหยางเสียวจิ่น

แต่เขาก็ต้องแปลกใจไป ผู้มีพลังพิเศษกลับกลายเป็นสูเสี่ยนฉู่ผู้ไม่โดดเด่นอะไร

สำหรับหยางเสียวจิ่น อย่างน้อยเริ่นเสี่ยนซู่ก็พอรู้ข้อมูลเธอบ้าง และก็รู้ว่าเธอเป็นตัวอันตรายคนหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ระวังอะไรสูเสี่ยนฉู่นัก

แต่นี่ก็เป็นเพราะว่าพลังของสูเสี่ยนฉู่นั้นเก็บซ่อนได้ง่ายด้วย ถึงเงาสีเทาจะแข็งแกร่งมาก แต่สูเสี่ยนฉู่ยังเป็นเพียงทหารธรรมดา ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ผิดสังเกตอะไรเขาเลย

น่าเสียดายชะมัด! ถ้าเขามีคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์นะ ได้ใช้กับสูเสี่ยนฉู่แล้ว!

ถ้าเกิดเขาโชคดีสุ่มได้ทักษะของสูเสี่ยนฉู่มาละก็ การเดินทางนี้เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมมีไพ่ตายเก็บซ่อนไว้อีกใบ

ทว่าตั้งแต่พระราชวังเริ่มทำงาน เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่เคยจะได้แลคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์เลย มันน่าจะโผล่มายากมากทีเดียว

ทันใดนั้นสูเสี่ยนฉู่ก็ถอนหายใจ “ฉันแค่อยากพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร”

เริ่นเสี่ยวซู่ที่ลอบสังเกตอยู่ด้านข้างไม่อาจบอกได้ว่าสูเสี่ยนฉู่พูดตามสัตย์จริงหรือเปล่า

ว่าตามตรงเขาไม่ได้มองสูเสี่ยนฉู่แบบย่ำแย่ ก่อนหน้านี้ขณะที่หลิวปู้กับคนอื่นๆ ต่างอัปเปหิเริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่กลับไม่สนใจร่วมวงกับพวกเขา แต่ก็แน่ละ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้มองเขาแบบแง่ดีด้วยเช่นกัน

ถ้าทหารที่ทะเลาะด้วยนายนั้นไม่ชักปืนออกมา สูเสี่ยนฉู่ก็คงไม่ลงมือ

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหยางเสียวจิ่น เขาเห็นว่าเธอกลับไปสงบนิ่งดั่งเดิมแล้ว ราวกับว่าไม่สนใจอะไรเรื่องผู้มีพลังพิเศษนี้เลย

“ไม่สนใจหน่อยเหรอ” เริ่นเสี่ยนซู่ถาม

“สนใจสิ” หยางเสียวจิ่นว่าเสียงนิ่ง

เริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออกเลย ความอยากรู้อยากเห็นของเธอนี่ช่างแบบโคตรขอไปที

ทันใดนั้นสูเสี่ยนฉู่ก็หันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วพูด “นายเป็นหมอใช่ไหม ดูอาการของพวกเขาให้ทีสิ ก่อนที่จะมาร่วมกลุ่ม หวังฉงหยางเล่าเรื่องนายให้ฉันฟังแล้ว ไม่ต้องแสดงละครหรอก”

“อ่าฮะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้นแล้วเดินไปนั่งยองดูทหารนายที่ถูกแทง จากนั้นก็หันไปมองสูเสี่ยนฉู่ “อาการบาดเจ็บค่อนข้างร้ายแรง และในแดนรกร้างแบบนี้ก็หายาไม่ได้ด้วย”

ทหารนายนั้นถามพร้อมหน้าซีดขาว “ฉันอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วว่า “สิบ…”

“สิบนาที?” ทหารนายนั้นนิ่งไป

เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาอย่างเคร่งเครียด “เก้า…แปด…เจ็ด…”

ทหารนายนั้นขวัญหนีดีฝ่อในบัดดล

“ฉันเลี่ยงจุดตายกับอวัยวะสำคัญแล้ว อย่าไปขู่เขาแบบนี้สิ” สูเสี่ยนฉู่ว่าต่อ “ฉันได้ยินมาจากหวังฉงหยางว่านายมียาดีมากสำหรับใช้กับพวกบาดแผลโดยเฉพาะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายมาแดนรกร้างโดยไม่พกมา”

เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่พอใจ “ยาฉันแพงมาก นายจะเป็นคนจ่ายให้ไหมล่ะ ฉันมาเป็นคนนำทางนะ ไม่ใช่แพทย์ประจำกลุ่ม ถ้าอยากให้ฉันเป็นก็จ่ายมา”

ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ เริ่นเสี่ยวซู่มียาดำอีกสองขวดจริงๆ

สูเสี่ยนฉู่ผงะ “ระหว่างทางมาทำหายหมดแล้ว”

เขาหันไปมองจ้องใส่คนอื่นๆ สื่อเป็นนัยให้ทุกคนเทเงินมาลงเป็นกองกลางเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนร่วมกลุ่ม ความจริงแล้วสูเสี่ยนฉู่ก็ไม่อยากฆ่าใคร เขาเพียงแต่หวังจะขัดขวางไม่ให้คนอื่นทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยก็เท่านั้น

ทว่าคนอื่นๆ กลับหันหน้าหนีไม่สนใจจะช่วยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะลั่วซินอวี่ เธอยิ่งไม่สนใจเลย เจ้าทหารที่บาดเจ็บคือคนที่มองเธอด้วยสายตามุ่งร้ายก่อนหน้านี้

พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจจะเค้นกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินออก เริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำท่าจะพูดว่าช่างมันเถอะ แต่ว่าเสียงอ่อนแรงกลับดังขึ้นมาจากพื้นข้างๆ เริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันพกเงินมาด้วย…”

เริ่นเสี่ยวซู่อดสงสัยในพลังใจอยากเอาชีวิตรอดของคนผู้นี้ไม่ได้

เขาถาม “นายเก็บเงินไว้ที่ไหน กระเป๋าซ้ายหรือขวา แต่บอกก่อนนะว่าฉันเย็บแผลไม่เป็น อยู่ที่โชคชะตาแล้วแหละว่าทายาไปแล้วจะรอดหรือไม่รอด”

คนที่เหลือนิ่งไป ทาแค่ยาโดยไม่เย็บแผลมันจะไหวเหรอ ลั่วซินอวี่พูด “ฉันมีอุปกรณ์เย็บผ้าอยู่ แต่ฉันเห็นเลือดแล้วจะเป็นลม”

“งั้นฉันเย็บเอง” สูเสี่ยนฉู่กล่าว

เริ่นเสี่ยวซู่หยิบเงินฟ่อนหนึ่งมาจากกระเป๋าของทหาร “ฉันไม่คิดเกินราคา ขอพันสองร้อยหยวนพอ”

“ตกลง” พอรู้ว่าตนเองไม่ต้องตายแล้วอารมณ์ก็ดีขึ้นทันตา จากนั้นจึงกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ขอบคุณ”

[ได้รับคำขอบคุณจากหวังเหลย +1]

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าได้เหรียญคำขอบคุณแล้ว ตาก็ทอประกาย หลังจากคำขอบคุณของหวังเหลย เขาก็มีเหรียญทั้งหมดเจ็บสิบเจ็ดเหรียญแล้ว เข้าใกล้การปลดล็อกอาวุธไปอีกขั้น

ความเคร่งเครียดในแคมป์คลายลงไประดับหนึ่ง การแสดงออกตลกๆ ของเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้บรรยากาศกดดันคลายลงไปเล็กน้อย ทุกคนพบว่าแม้สูเสี่ยนฉู่จะลงมืออย่างรุนแรง แต่เขาไม่ได้เป็นคนโหดร้ายทารุณอะไร

ขณะที่กำลังเย็บแผลให้หวังเหลย สูเสี่ยนฉู่กล่าว “ฉันคงไม่ต้องซ่อนอะไรแล้ว คนในป้อมพบว่ามีซากอารยะธรรมจากยุคก่อนภัยพิบัติอยู่ภายในเขาจิ้งซาน พวกเขาส่งกองกำลังมาที่นี่เพื่อวาดแผนที่ จะได้หาเส้นทางที่เหมาะสมในการสำรวจให้กองทัพหลังที่จะตามมาที่หลังได้น่ะ จริงๆ แล้วก่อนจะมาถึงที่นี่ พวกเราเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน…

…หลังจากฉันมาถึง ก็พบว่าในเขาจิ้งซานมีอะไรไม่ชอบมาพากล ฉันกำลังคิดอยู่ว่า ถ้าความลับของเขาจิ้งซานทำให้พวกสัตว์ป่าพัฒนาได้ แบบนี้มันจะช่วยมนุษย์กับพวกผู้มีพลังพิเศษด้วยหรือเปล่า ฉันถึงยืนกรานจะมาให้ได้ยังไงล่ะ”

“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้บอกว่ายอมล้มเลิกแผนแล้วหรอกเหรอ” หลิวปู้ถาม

“ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเริ่มอันตรายเกินไปแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะล้มแผนดีกว่า ตัวตนผู้มีพลังพิเศษของฉันจะได้ไม่ถูกเปิดเผยด้วย เดี๋ยวค่อยตามทัพหลักของป้อมปราการมาที่หลังเอาก็ได้ แบบนั้นน่าจะปลอดภัยกว่าเยอะ” สูเสี่ยนฉู่ตอบ

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตอนนั้นสูเสี่ยนฉู่น่าจะคิดล้มเลิกภารกิจจริง

พูดจบ สูเสี่ยนฉู่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันกลับไปที่ป้อมไม่ได้แล้วแหละ พวกนายก็น่าจะรู้ว่าคนในป้อมปฏิบัติกับผู้มีพลังพิเศษยังไง ถ้ากลับไปก็คงไม่รอดหรอก ดังนั้นฉันจะเข้าไปในเขาจิ้งซานต่อ ถ้าพวกนายอยากกลับป้อม 112 พวกเราจะแยกกันตรงนี้ ฉันจะไม่ห้าม”

เข้าไปในเขาจิ้งซานกับป้อมปราการ 112 นั้นถือว่าไปคนละทางกันเลย ทางหนึ่งไปตะวันออกเฉียงเหนือ ทางหนึ่งไปตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกคนต้องเลือกหนึ่งในสองทางนี้ จะปล่อยให้สูเสี่ยนฉู่แยกตัวไป หรือเข้าร่วมกลุ่มกับเขา

ไม่มีใครในแคมป์พูดอะไรเลย ราวกับว่ากำลังรอให้ผู้อื่นตัดสินใจก่อนอย่างไรอย่างนั้น

“ฉันจะตามนายไป” หยางเสียวจิ่นว่าเสียงนิ่ง “ที่นี่อันตรายเกินไป ทางรอดที่ปลอดภัยที่สุดคือการตามผู้มีพลังพิเศษอย่างนายไปนี่แหละ”

เริ่นเสี่ยวซู่ลองค้นความจำดู ก็รู้ได้ทันทีว่าตลอดการเดินทางมานี้ ประโยคเมื่อครู่คือเธอพูดยาวสุดแล้ว

แต่เขารู้สึกว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะโกหก เป้าหมายของเธอก็น่าจะเป็นการเข้าไปในเขาจิ้งซานเหมือนกัน!

ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งสงสัยในตัวหยางเสียวจิ่น เขามีความรู้สึกว่าเธอเองก็น่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง