การที่หยางเสียวจิ่นตัดสินใจจะตามสูเสี่ยนฉู่เข้าไปในเขาจิ้งซานทำให้ทุกคนประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าผู้แรกที่เอ่ยปากกลับเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
แต่ที่หยางเสียวจิ่นว่าก็ฟังขึ้นไม่น้อย รอบกายแฝงด้วยอันตราย การมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ด้วย ย่อมทำให้สบายใจขึ้นมา
ถ้าไม่มีการคุ้มกันจากผู้มีพลังพิเศษ ต่อให้ไม่เข้าไปในเขาจิ้งซาน ก็ใช่ว่าจะสามารถกลับไปป้อมปราการ 112 โดยครบสามสิบสอง
หลังจากเงียบกริบกันไปพักหนึ่ง ก็มีคนกล่าว “งั้นฉันไปด้วย”
“ฉันก็จะตามไป”
ฉับพลันทันใดทุกคนก็พร้อมใจกันจะตามสูเสี่ยนฉู่ขึ้นเขาจิ้งซาน ดูแล้วทุกคนใช่ว่าจะโง่งมไปเสียหมด
จู่ๆ ลั่วซินอวี่ก็กระซิบใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “นายจะไปด้วยหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะเฮือก “ถามฉันทำไม”
“ถ้านายไป ฉันก็จะไป” ลั่วซินอวี่ว่า
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอะไรไม่ออกพักหนึ่ง เจ๊ พวกเราไม่ได้สนิทกันสักหน่อยนะ ไหงทำท่าราวกับว่าสนิทกันมากงั้นล่ะ
เขาทำเป็นไม่สนใจเธอ จากนั้นก็หันไปหาสูเสี่ยนฉู่แทน “ฉันก็จะไปด้วย”
อรุโณทัยไขแสง ณ ขอบฟ้า สูเสี่ยนฉู่เงยหน้าขึ้นพลางกล่าว “พักกันสักหน่อยเถอะ ไหนๆ พวกนายก็ตัดสินใจจะตามฉันไปกันแล้ว เดี๋ยวพอฟ้าสว่างพวกเราจะออกเดินทางกัน แล้วก็ต้องจำไว้ด้วยว่านับแต่นี้ไปทุกคนก็ทำตามคำสั่งของฉัน ถ้ามีคนไม่ทำตาม จะว่าฉันไม่ได้ล่ะ”
จากนั้นเขาก็นำทหารไปหากิ่งไม้มาทำเป็นเปลหาม ทหารที่โดนเตะกระเด็นไปนั้นสามารถเดินได้ด้วยตนเองได้ แต่คนที่ถูกแทงยังคงไม่สามารถ
สูเสี่ยนฉู่คิดจะพาคนเจ็บไปด้วย ตอนนี้ป่าไม้แน่นหนาทึบจึงจำเป็นต้องสละรถทั้งหมดไป ถ้าพวกเขาคิดจะพาคนเจ็บไปด้วยคนจะลำบากไม่น้อยแน่
น่าจะไม่มีคนคิดจะอาสาหามเปลแน่ มนุษย์เพศชายวัยผู้ใหญ่ทั่วไปนั้นมีน้ำหนักมากจริงๆ ขนาดผู้หญิงบางคนยังตัวหนักเลย ผู้ชายยิ่งไม่ต้องคิด
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังงุนงงอยู่บ้าง เป็นเพราะสูเสี่ยนฉู่เต็มไปด้วยพลังงานบวก หรือเป็นเพราะคิดจะชนะใจผู้อื่นกันแน่
หวังเหลยที่บาดเจ็บน้ำตาซึม กล่าว “ขอบคุณครับ” กับสูเสี่ยนฉู่ไม่หยุด
พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินคำขอบคุณ ก็เกิดความคิดแผลงๆ ขึ้นมาได้
หลังจากทำเปลหามเสร็จ สูเสี่ยนฉู่ก็ถาม “มีใครจะช่วยฉันหามเขาไหม”
“ฉันช่วยเอง!” เริ่นเสี่ยวซู่เสนอตัวก่อนใครเพื่อน
ทุกคนมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาสับสน เขาเป็นคนดีขนาดนี้เลย?
สูเสี่ยนฉู่คิด ก่อนจะว่า “นายเป็นคนมีประสบการณ์กับแดนรกร้างมากที่สุดแล้ว นายควรเป็นคนนำทางข้างหน้ามากกว่า แถมนายยังเด็กอีก เกรงว่าจะหามน้ำหนักผู้ชายโตเต็มวัยไม่ไหวหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มร้อนรน “ไม่ได้ ยังไงวันนี้ฉันก็จะหามเขา ถ้าใครแย่งนะ จะแทงไส้ไหลให้หมด!”
ทุกคน “…”
ผู้คนเดี๋ยวนี้นี่ต้องขู่คนอื่นเพื่อจะทำดีแล้วเหรอ…
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่กับสูเสี่ยนฉู่หามแปลไปด้วยกัน แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้สึกหนักอะไรแม้แต่น้อย อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งมากทีเดียว
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ทายาให้หวังเหลย เขาก็ขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่คำรบหนึ่ง [ได้รับเหรียญคำขอบคุณ +1] ตอนที่หามหวังเหลย เขาก็ขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่อีกครั้ง [ได้รับเหรียญคำขอบคุณ +1] ระหว่างทางเริ่นเสี่ยวซู่แสดงความห่วงใยแก่หวังเหลย คอยดูว่าเขาหิวน้ำหรือหิวข้าวไหม หวังเหลยจึงขอบคุณเขาอีกครั้ง [ได้รับเหรียญคำขอบคุณ +1]
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าตนจะได้ ‘อาวุธเทพ’ ที่คอยปั๊มเหรียญคำขอบคุณแบบถี่รัวแบบนี้!
แค่ครึ่งชั่วโมง เริ่นเสี่ยวซู่ก็มีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมดรวมเป็นแปดสิบสองเหรียญแล้ว!
สูเสี่ยนฉู่รู้สึกพิกลๆ อยู่บ้าง จากที่เขามอง เริ่นเสี่ยวซู่น่าจะเป็นคนห่วงแต่ตนเอง ไม่ห่วงผู้อื่นไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ๆ ก็กลายมาอยู่คนดีกะทันหันล่ะ!
เขาไม่เชื่อหรอก!
สูเสี่ยนฉู่คิดมาตลอดทาง ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่คิดวางแผนอะไรบางอย่าง มันน่าจะเป็นอะไรกันนะ
ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งคิดไม่ออก
ป่าหนาทึบยากเดินทาง เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่เคยเดินผ่าป่าที่รกชัฏขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน
เมื่อปีที่แล้วเขาก็เคยมาเยือนที่นี่ แต่พอมองสำรวจป่ารอบกาย มันราวกับว่าเขาไม่ได้มาเยือนนับสิบๆ ปีอย่างไรอย่างนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปแบบกลับตาลปัตร
ปากเริ่นเสี่ยวซู่คุยกับหวังเหลย แต่ดวงตากวาดมองสภาพแวดล้อมอยู่ตลอด ระหว่างที่ออกเดินทาง เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองจุดที่ตนโยนซากหนูใส่ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ซากหนูก็เหลือแต่เพียงกระดูกแล้ว
แสดงว่าแถวนี้น่าจะมีพวกแมลงกินซากอย่างพวกมดอยู่
ระหว่างนี้ ลั่วซินอวี่อยู่ใกล้สูเสี่ยนฉู่ตลอด ราวกับเธอสนใจในตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นลั่วซินอวี่แทบเอาตัวแนบสนิทเข้ากับสูเสี่ยนฉู่อยู่หลายครั้ง แต่สูเสี่ยนฉู่ก็พยายามรักษาระยะห่างอยู่เสมอ
ตอนนี้นั้น เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยมาจากลั่วซินอวี่ ความรู้สึกนี้ทำให้เขานึกไปถึงผู้หญิงบางคนในเมือง ผู้หญิงจากป้อมปราการเองถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมอันไม่ปลอดภัยก็คิดเกาะผู้อื่นไม่ต่างกันสินะ
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปสำรวจมองหยางเสียวจิ่นอีกครา แต่เห็นเพียงแค่ว่าเธอใช้ปืนพกสองกระบอกนั่นชี้ใส่คนอื่นๆ อยู่ตลอด
ลั่วซินอวี่ หยางเสียวจิ่นเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนเที่ยง สูเสี่ยนฉู่ถามเรี่นเสี่ยวซู่ “นายหาอาหารให้ทุกคนได้หรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดนู่นคิดนี่ ปากโพล่งออก “ฉันไม่ใช่เทพเจ้านะ คิดว่าอยากได้อาหารตอนไหนก็ได้มาเหรอ อย่างกับว่าถ้าฉันพูดว่ามีหมูป่าวิ่งชนต้นไม้ แล้วหมูป่าจะวิ่งชนไม้จริงๆ งั้นแหละ”
พอพูดจบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังตึงห่างออกไปหลายร้อยเมตรข้างหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักโค่น ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งชนใส่ต้นไม้อย่างนั้นแหละ!
ทุกคนหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยดวงตาประหลาดพิกล ส่วนสูเสี่ยนฉู่ก็นำขบวนเข้าใกล้เสียงนั้นอย่างระมัดระวัง พอเห็นแหล่งกำเนิดเสียงก็ต้องประหลาดใจไป พวกเขาเห็นว่ามีหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งชนใส่ต้นไม้จริงๆ ตอนนี้เจ้าหมูป่าที่อยู่ข้างต้นไม้กำลังกระเสือกกระสนยันตัวขึ้น ทว่าตัวมันหลังชนต้นไม้ก็กำลังเกิดมึนงงจนยืนไม่ขึ้น
เงาสีเทาแยกตัวออกจากสูเสี่ยนฉู่และกระโจนร่างขึ้นหลายเมตร พอถึงพื้น ก็ส่งหมัดออกกระแทกใส่ศีรษะของเจ้าหมูป่าอย่างดุร้ายจนมันนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นไป!
ไม่มีใครสนใจในเงาสีเทานั้น เพียงแต่กำลังเหม่อมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างตกตะลึง
หลิวปู้หัวเราะ “พวกเรามีเนื้อให้กินตอนเที่ยงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ ทำดีมาก! พูดอะไรก็ได้อย่างนั้นของจริง!”
ทุกคนยิ้มกันยกใหญ่ มีอะไรให้กินย่อมดีเสมอแหละ มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่ที่หน้านิ่วคิ้วขมวด มองไปทิศที่ตัวเมืองตั้งอยู่ด้วยความเป็นห่วงเหยียนลิ่วหยวน
เริ่นเสี่ยวซู่ตระหนักได้ว่าเป็นเหยียนลิ่วหยวนที่ขอพรให้เขาอีกแล้วแน่ ตอนนี้คงกำลังนอนซมจากผลกระทบที่ได้รับจากการใช้พลัง หวังว่าพี่เสี่ยวอวี้กับจางจิ่งหลินจะดูแลเขาอย่างดี
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งเงียบไป ตัดสินใจแล้วว่านับแน่นี้จะเก็บงำคำพูดจาเกี่ยวกับการทำนายทายทักไว้ เพราะยิ่งเขาโชคดีมากเพียงใด เหยียนลิ่วหยวนยิ่งเป็นอันตรายมากเท่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจ เจ้าเด็กโง่!
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่อยากกลับเมืองนัก อยากทราบว่าเหยียนลิ่วหยวนเป็นอะไรมากหรือเปล่า