คืนก่อนไม่มีใครกล้าเข้าไปในป่ารกชัฏนี่เพราะรู้สึกว่ามันน่าขนลุกมาก แต่พอมาเดินจริงตอนเช้าแล้ว ก็ยังไม่พบอันตรายใด

สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นภัยอันตรายได้ก็คงเป็นเจ้าหมูป่านี่ แต่ว่ามันกลับเอาตัวพุ่งชนต้นไม้ไปเสียฉิบแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่มองหาร่องรอยสัตว์ใหญ่ตลอดการเดินทาง แต่ไม่พบอะไรเลย

แต่ถึงกระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ลดความระมัดระวังตัวลง เพราะยังหาเหตุผลที่ว่าทำไมซากเนื้อกับกระดูกปลาถึงได้หายไปไม่ได้ ไหนยังมีร่างของสูเซี่ยอีก

พวกเขาเจอที่ว่างแห่งหนึ่งในป่า เลยเริ่มเสาะหาฟืนไฟมาเตรียมตั้งแคมป์ที่นี่กัน คืนก่อนทุกคนไม่ได้นอนกันเลย จึงกะจะพักผ่อนกันไวหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คือทนไม่ไหวแล้ว!

สูเสี่ยนฉู่แล่เนื้อหมูป่าด้วยดาบปลายปืน ไม่นานนักกลิ่นคาวเลือดก็ลอยฟุ้งไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวเตือน “ไม่ต้องคิดจะเหลืออาหารไว้กินพรุ่งนี้ ภัยร้ายมากมายในแดนรกร้างเกิดจากกลิ่นคาวเลือดนี่แหละ”

เริ่นเสี่ยวซู่ชี้ไปที่พื้น มีมดดำฝูงหนึ่งรวมตัวกันแล้ว แต่ละตัวมีขนาดเท่าปลายนิ้ว แลดูน่ากลัวยิ่ง “ตอนสว่างพวกมันจะไม่โจมตีนาย คิดแต่จะหาอาหารตามกลิ่นคาวมา แต่ตอนกลางคืน ถ้าเกิดไปนอนหลับตรงที่ที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดละก็ บอกเลยว่านายได้กลายไปเป็นอาหารมันแทนแน่ กรดฟอร์มิกที่หลั่งออกมาตอนกัดคนทำให้นายรู้สึกไม่ต่างจากตายหรอก”

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เตือน”

[ได้รับคำขอบคุณจากสูเสี่ยนฉู่ +1]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ดูเหมือนว่าสูเสี่ยนฉู่จะเป็นคนจริงใจดีไม่น้อยนะนี่

ตอนเที่ยง ทุกคนเขมือบหมูย่างกันยกใหญ่เพราะหิวโซกันหมด ขณะเริ่นเสี่ยวซู่กำลังกิน ลั่วซินอวี่ก็มานั่งข้างเขาเฉยเลย

ลั่วซินอวี่ว่าเสียงใสซื่อ “ฉันว่าใช้ชีวิตในแดนรกร้างก็น่าสนใจไม่น้อยแล้วนะ รู้สึกว่ามันโรแมนติกจัง”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “มันเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดล้วนๆ ไม่มีโรแมนตงโรแมนติกอะไรทั้งนั้น”

ในแดนรกร้าง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘โรแมนติก’ มาก่อนเลย และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนรกร้าง ไม่สามารถสรรหาคำว่า ‘โรแมนติก’ มาบรรยายได้แม้แต่น้อย

บ้างครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า แนวคิดของผู้อพยพกับคนในป้อมปราการนี่ห่างกันเป็นโยชน์

ลั่วซินอวี่ทำเป็นไม่ได้ยินคำแย้งจากเริ่นเสี่ยวซู่ พูดต่อ “รู้ไหมว่านายมีเสน่ห์มากเลยนะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น ยั่วสูเสี่ยนฉู่ไม่ได้ก็เลยมาล่อเขาแทนงั้นสิ

เขาทำเป็นหูทวนลม แต่ลั่วซินอวี่ก็ยังไม่ลุกหนีไปไหน

จริงๆ แล้วลั่วซินอวี่มีแผนการของตัวเองอยู่ แค่ตามเริ่นเสี่ยวซู่ไป อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องทนหิวในที่แบบนี้

คนอื่นอาจจะไม่สังเกต แต่ลั่วซินอวี่พบว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไหนจะลากผู้ใหญ่ไปมาขณะหลบหนีได้กัน ต่อให้เป็นสูเสี่ยนฉู่ก็ทำไม่ได้

เพราะอย่างนั้นลั่วซินอวี่คิดว่าผู้ชายช่วงวัยรุ่นน่าจะเป็นวัยแห่งความพลุ่งพล่าน เด็กในเมืองก็น่าจะไม่ต่างไปจากในป้อมปราการนัก ตอนนี้ที่ต้องทำก็แค่พยายามทำดีกับเจ้าหนุ่มนี้ เขาจะได้ยอมเผชิญความลำบากไปกับเธอ ว่าตามตรง ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะฉวยโอกาสเธอจริง เธอก็ยอมได้

เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในป้อมปราการ? ก็มีไม่บ่อยหรอก

ถ้าให้พูดแบบตรงไปตรงมา ก็คือเธอรู้สึกไม่มั่นคง จนต้องหาคนมาพึ่งพา

ในความเป็นจริง ลั่วซินอวี่น่าจะไปฉอเลาะกับสูเสี่ยนฉู่มากกว่า แต่ก่อนที่การออกเดินทางทำภารกิจนั้น เธอก็เคยเข้าหาสูเสี่ยนฉู่หลายรอบ ทว่าถูกเขาบอกปัดตลอด

ในสายตาของลั่วซินอวี่ สูเสี่ยนฉู่เป็นผู้ชายค่อนข้างหัวแข็งที่มีเป้าหมายชัดเจน ถ้ามีอะไรอันตรายเกิดขึ้นละก็ เขาน่าจะทิ้งเธอไปแบบไม่เหลียวแลแน่นอน

ส่วนหลิวปู้เหรอ ไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่ได้เรื่อง…

ในความคิดของเธอ ผู้อพยพอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังไม่เคยเผชิญโลกจะไปต้านทานเสน่ห์เธอได้อย่างไร

ว่าแล้ว ลั่วซินอวี่กับหลิวปู้ต่างมีการแสดงออกเหมือนกันอย่างหนึ่งเวลาเจอผู้อพยพ คือพวกเขาต่างต่ำศักดิ์กว่าคนในป้อมปราการ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงสิ่งของ

เริ่นเสี่ยวซู่พยายามรักษาน้ำเสียง กล่าวกับลั่วซินอวี่ “พี่สาว ออกห่างผมหน่อยเถอะ”

“…” ลั่วซินอวี่จึงคิดทำให้มันชัดเจนขึ้นอีกหน่อย เธอยิ้มพลางพูด “พวกเราน่าจะมีเรื่องไม่เข้าใจกันนะ คือว่าฉันน่ะ…”

เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป “เรื่องไม่เข้าใจกันกับเธอเนี่ยนะ”

ลั่วซินอวี่เอนตัวเข้าหาเริ่นเสี่ยวซู่ ราวกับคิดจะกระซิบบอกความลับอะไรบางอย่างให้เขาฟัง เธอเข้าใกล้เริ่นเสี่ยวซู่จนร่างเธอจะแตะเข้ากับแขนของเขา พูดออกด้วยลมหายใจหอมราวบุปผา “ฉันชอบนาย”

เริ่นเสี่ยวซู่พลันฉุนเฉียวขึ้นมา “ระวังปากหน่อย!”

ลั่วซินอวี่ “???”

พรวด! หยางเสี่ยวจิ่นที่กำลังดื่มน้ำอยู่ด้านข้างถึงกับพ่นน้ำออกมาหมด เธอพลันนึกได้ว่าตนเองไม่สมควรแสดงอาการเช่นนี้ จึงรีบทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ขณะเดียวกัน ลั่วซินอวี่ก็ผิดคาดอยู่ที่เริ่นเสี่ยวซู่ตอบกลับเธอแบบนี้! คนธรรมดาไม่ควรแสดงอาการแบบนี้หรือเปล่า ใครกันแน่ที่ต้องระวังปากน่ะ!

เจ้าหนูนี่สมองไม่ปกติจริงๆ ด้วยสินะ!

ลั่วซินอวี่กำลังคิดวิเคราะห์ว่าตนทำพลาดอะไรตรงไหน

ที่ลั่วซินอวี่ไม่รู้ก็คือเริ่นเสี่ยวซู่เคยโดน ‘ยั่ว’ มามากมายหลายแบบแล้วตอนอยู่ในเมือง ตั้งแต่เขาออกล่าได้ ก็มีหญิงสาวมากมายมาเสนอตัวถึงที่ เพราะเหตุนี้ด้วยทำให้เหยียนลิ่วหยวนถึงระวังเสี่ยวอวี้ตัวแจ

ลั่วซินอวี่คิดเป็นตุเป็นตะไปว่าเขาไร้ประสบการณ์ แต่ในความเป็นจริงคือ เริ่นเสี่ยวซู่รู้เยอะจัดจนถ้าเธอรู้ต้องขนลุกซู่แน่

เริ่นเสี่ยวซู่ปรามาสในใจ ผู้หญิงอย่างลั่วซินอวี่ ต่อให้มาเสนอตัวให้เขาถึงที่ เขาก็ไม่ต้องการหรอก ต้องคอยป้อนอาหารให้ เสียดายตายชัก!

เมื่อก่อนเขาคิดนะว่าคนในป้อมปราการน่าจะฉลาดกันหมดทุกคนแน่ เพราะว่าคุณจางเคยกล่าวว่าหนังสือส่วนใหญ่ล้วนเก็บไว้ในป้อมปราการ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าคนยิ่งอ่านหนังสือมากเพียงใด ก็ยิ่งฉลาดขึ้นมากเท่านั้น

แต่กลับกลายเป็นว่า ทั้งหลิวปู้และลั่วซินอวี่นั้นทำเอาความคิดเขาสั่นคลอนไปเลย

แน่แหละว่าในป้อมปราการก็มีคนฉลาดอยู่บ้าง เช่นนายทหารทั้งสองอย่างหวังฉงหยางและสูเสี่ยนฉู่

ลั่วซินอวี่ระงับอารมณ์ พูด “ถ้านายช่วยฉันออกไปจากที่นี่ได้ พอกลับไปป้อมปราการ 113 แล้ว ฉันจะเสาะหาที่ว่างสามที่ให้”

เริ่นเสี่ยวซู่ลุกขึ้นเตรียมเดินหนีแล้ว “จะโม้อะไรแถวนี้ ทำอย่างกับว่ามีอำนาจในป้อมมากงั้นแหละ”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนโง่ ถ้าเขาคิดใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานใส่ลั่วซินอวี่ละก็ คงได้คัดลอกทักษะโม้แหลกจากเธอแน่นอน