ผู้อพยพจะเข้าไปในป้อมปราการได้มันยากขนาดไหนกัน จากที่หวังฟู่กุ้ยว่าไว้ สี่สิบปีที่เขาเกิดมา เคยเห็นแค่ผู้อพยพสี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าไปในป้อมปราการ และพวกเขาทุกคนต่างเป็น ‘ญาติห่างๆ’ ของคนสำคัญในป้อมทั้งนั้นด้วย
มีคนจำพวกมาหาญาติในป้อมปราการไม่น้อยเลย แต่ต่างถูกปิดประตูใส่เสียหมด เลยได้แต่คอยเฝ้าโอกาสอยู่ในเมือง
ขนาดญาติของคนสำคัญในป้อมปราการยังยากเข้าไป ลั่วซินอวี่อ้างว่าสามารถหาที่ได้ถึงสามที่จะเป็นไปได้หรือ ถ้าเธอมีอำนาจมากขนาดนั้นจริง คงไม่ต้องขอความร่วมมือจากทหารเพื่อไปป้อมปราการ 112 ก็ได้มั้ง สั่งไปตรงๆ เลยจบ
คนโง่ย่อมคิดว่าคนอื่นโง่ตาม
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าลั่วซินอวี่ลงทุนลงแรงเกินเหตุไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นผู้อพยพ แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าคนอื่นเป็นคนนำทาง อาจจะเชื่อคำกล่าวอ้างเธอไปแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ยอมรับเงื่อนไขของเธอจริง พอกลับป้อมปราการไปแล้ว เขาจะเข้าไปหาเธออย่างไรและเขาจะกันไม่ให้เธอเทเขากลางคันด้วยวิธีไหน
ถ้าให้พูดกันตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ชอบหน้าลั่วซินอวี่กับหลิวปู้เท่าไรเลย
ทุกคนกินหมูเสร็จก็คอแห้งผาก น้ำกับอาหารทั้งหมดต่างถูกทิ้งอยู่ที่ท้ายกระบะหมด หรือไม่ก็ส่วนใหญ่พวกมันต่างถูกยิงเละหมดแล้วตอนสูเสี่ยนฉู่กับพรรคพวกสาดกระสุน
สูเสี่ยนฉู่หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ พลางถาม “พวกเราจะหาแหล่งน้ำยังไง”
เสียงจากพระราชวังพลันดังขึ้น [ภารกิจ สอนวิธีหาแหล่งน้ำให้กับทุกคน]
“มีแต่ต้องหาแม่น้ำ หรือไม่ก็ต้องเก็บน้ำค้างจากใบไม้เอา” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่หวงวิชา “แต่ฉันไม่แนะนำให้ไปริมแม่น้ำหรอกนะ จากที่ฉันคาดการณ์ไว้ แม่น้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปไม่น้อยเลย ตอนนี้ทนกันไปก่อน ยังไงก็ไม่ขาดน้ำตายหรอก พรุ่งนี้ค่อยเก็บน้ำค้างเอา”
สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า กล่าว “ขอบคุณ”
[ได้รับคำขอบคุณจากสูเสี่ยนฉู่ +1!]
เริ่นเสี่ยวซู่รอพักหนึ่ง ก่อนจะถามในใจ รางวัลฉันอยู่ไหนล่ะ
แต่พระราชวังกลับเมินเขาไปเสียฉิบ เริ่นเสี่ยวซู่กำลังงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นหว่า
ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พระราชวังเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทำภารกิจแบบนอกลู่นอกทาง ดังนั้นนั้นพระราชวังจึงไม่อาจตัดสินผลลัพธ์ได้ในทันที!
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเสียงจากพระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ดังมา [ภารกิจสำเร็จ รางวัล พละกำลัง 1.0 แต้ม]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ถึงเควสจะสำเร็จได้ด้วยดีก็เถอะ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ค่าพละกำลังเพิ่มอีกแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยอยู่ว่าพระราชวังอาจจะเพิ่มค่าพละกำลังกับความคล่องแคล่วของเขาแบบเท่าๆ กัน แต่กลับกลายเป็นว่า สุดท้ายแล้วตอนนี้เขายังมีค่าความคล่องแคล่วอยู่ที่ 4.1 แต้ม ส่วนพลังกำลังปาไป 7.5 แต้มแล้ว
มีอีกสองสามเควส พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ก็น่าจะมากกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปถึงสามเท่า
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มีน้ำอยู่สองขวดที่เอาปลาแลกมา จะหาจุดซ่อนนี่เป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตเขาก็ไม่ใหญ่อะไรเลย
ทันใดนั้นหลิวปู้ก็เข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันขอซื้อน้ำขวดละหนึ่งพันหยวน”
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าเขา “ไม่ขาย”
“สองพันหยวน!” หลิวปู้พูดด้วยแววตาลุกโชน “สองพันขายไหม ฉันหิวน้ำโคตรๆ แล้วเนี่ย!”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าหลิวปู้นี่หัวทึบหน่อยๆ นะ เขามองหลิวปู้พลางว่า “สถานที่แบบนี้เงินมีค่าอะไรที่ไหน น้ำกับอาหารสิที่ล้ำค่า ถ้าอยากดื่มน้ำ ก็ไปหาเองที่ริมแม่น้ำนู่น”
หลิวปู้อยากจะระบายโทสะใส่เริ่นเสี่ยวซู่อยู่หรอก แต่เขาทำไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่สามารถทำตัวยกตนข่มท่านได้เหมือนตอนเริ่มเดินทางแล้ว เขารู้ดีว่าตอนนี้บทบาทของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นยิ่งผ่านไปยิ่งสำคัญ จนตอนนี้เขาไม่อาจเทียบอะไรได้เลย และถ้าดูจากนิสัยของสูเสี่ยนฉู่ เกิดพวกเขาทะเลาะกันหรือมีเรื่องผิดใจกันละก็ หลิวปู้คงเป็นผู้ถูกสลัดทิ้ง ไม่ใช่เริ่นเสี่ยวซู่อย่างแน่นอน
ตอนเขาออกจากป้อมปราการ หลิวปู้เพียงคิดว่าผู้อพยพคือคนรับใช้แห่งป้อมปราการ และคนจากในป้อมนั้นทั้งสูงศักดิ์ทั้งทรงอำนาจ ทว่าตอนนี้เขาฉุกคิดได้แล้วว่าที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ใบไม้ที่ดึงมาจากต้นไม้เช็ดมือให้สะอาด จากนั้นก็ไปหาหวังเหลย ทำท่าเป็นห่วงเป็นใยเขา กะหวังอยากได้เหรียญคำขอบคุณอีก
แต่จะได้เหรียญจากเขาแบบไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างไร หลังจากได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากเริ่นเสี่ยวซู่ หวังเหลยก็รู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ปฏิบัติต่อเขาแบบไม่ชอบมาพากลเท่าไร ท้ายที่สุด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้เหรียญคำขอบคุณจากการขอบคุณของหวังเหลยอีก
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าตนคงหาเหรียญคำขอบคุณจากหวังเหลยไม่ได้ต่อ เขาล้มเลิกแผนไปทันที ตอนนี้มีเหรียญคำขอบคุณทั้งสิ้นแปดสิบสี่เหรียญแล้ว
ตอนบ่าย สูเสี่ยนฉู่เงยหน้ามองฟ้า พูด “ที่นี่ไม่เหมาะกับการตั้งแคมป์เท่าไรนะ พวกเราต้องหาที่ที่ไม่เปิดโล่งนัก กันสัตว์ป่ามาโจมตี ทุกคนทนเดินทางต่ออีกหน่อยเถอะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพ้องกับคำของสูเสี่ยนฉู่ หลังจากหมูป่าถูกฆ่าแล้วย่างกิน ที่แห่งนี้ก็กลับกลายเป็นอันตรายมาก ตอนนี้อาจจะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต แต่ว่าตอนกลางคืนนั้นพวกอสรพิษ แมลง และมด จะออกมากันมากขึ้น ตกดึกแล้วพวกเขาต้องได้เผชิญหายนะแน่นอน
ขนาดซากหนูเมื่อคืนวานยังเหลือแต่โครงกระดูกเลยไม่ใช่เหรอ
สูเสี่ยนฉู่ไปที่เปลหาม กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “มา ช่วยหามเขากัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่พอใจ “ทำไมฉันต้องหามเขาด้วย”
สูเสี่ยนฉู่ “???”
หวังเหลย “???”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่หลิวปู้ “มาหามเปล ไม่งั้นฉันแทงไส้ไหล”
หลิวปู้แทบสติแตก เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!
เรื่องเป็นเช่นนี้ทำเอาทุกคนที่แคมป์ตะลึงไป คิดกันว่า เอ็งเป็นโรคจิตเหรอ อารมณ์เปลี่ยนไวฉิบ ตอนเช้ายังขู่อยู่เลยว่าใครมาแย่งหามแปลจะแทงไส้ไหลน่ะ
สูเสี่ยนฉู่ไม่อยากเสียเวลาต่อแล้ว จึงกล่าว “ทุกคนจะสลับกันหามคนเจ็บ พวกผู้หญิงไม่ต้อง ณ จุดๆ หนึ่งยังไงก็ต้องเกิดอาการบาดเจ็บกันบ้าง ถ้าไม่อยากให้ตอนนั้นโดนปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย ก็ควรมาช่วยกันตอนนี้”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าสูเสี่ยนฉู่เป็นคนมีเหตุมีผลไม่เลวเลย ถึงในกลุ่มจะเกิดอะไรขึ้น ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะพาทุกคนกลับไป
ระหว่างทาง มีทหารชั้นเลวบางนายเริ่มเข้าหาลั่วซินอวี่อีกครั้ง บางครั้งก็แสร้งเอาแขนชนตอนเดินผ่านเธอ แต่ลั่วซินอวี่ตื่นตัวอยู่ตลอด แล้วหลบได้อย่างทันท่วงที หลังจากนั้นพวกทหารก็จะหัวเราะแบบหื่นกาม
ถ้าว่ากันตามเหตุตามผล หลิวปู้กับลั่วซินอวี่ควรจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ว่าพอหลิวปู้เห็นเรื่องเช่นนี้กลับไม่ปริปากอะไรแม้แต่นิด คนอย่างเขามีหรือจะกล้าไปหาเรื่องพวกทหาร
หลังจากไม่บรรลุเป้าหมายกับสูเสี่ยนฉู่และเริ่นเสี่ยวซู่ ลั่วซินอวี่ก็ดูทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอะไรต่อ ได้แต่หลบเลี่ยงพวกทหารไปมาเท่านั้น
แถมพวกทหารยิ่งพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อันตราย ที่เป็นไปได้ว่าพวกตนอาจจะไม่อยู่รอดจนถึงวันพรุ่ง ก็เริ่มเผยสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งนัก ขณะทั้งกลุ่มเดินทางมุ่งหน้าไป เขาก็จำได้ว่าตนเองมีคัมภีร์คัดลอกทักษะอีกม้วน รอบนี้สงสัยเหลือเกินว่าจะคัดลอกทักษะการต่อสู้ระดับสูงจากหยางเสียวจิ่นได้ไหม
แต่ว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าหันไปมองหยางเสียวจิ่น เขาก็เห็นว่าเธอกำลังชี้ปืนไปที่ศีรษะของทหารนายหนึ่งอยู่ หยางเสียวจิ่นหันกลับมามองเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วพูด “ปืนของเขาเป็นของนายแล้ว”