ทหารที่โดนหยางเสียวจิ่นชี้ปืนใส่เป็นทหารที่ลวนลามลั่วซินอวี่หนักสุด ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่คือ เดาว่าในที่สุดหยางเสียวจิ่นก็ทนดูไม่ได้ จึงลงมือช่วยลั่วซินอวี่
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะเป็นคนที่ห่วงแต่ตนเองโดยไม่ไยดีผู้อื่น คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทนมองดูลั่วซินอวี่โดนลวนลามไม่ไหว คงเป็นเส้นที่ไม่อาจข้ามของเหล่าผู้หญิงกระมัง
คนที่อยู่หน้าขบวนหันมามองข้างหลัง ในใจใคร่สงสัยว่าหยางเสียวจิ่นกับพวกทหารจะลงมือขั้นรุนแรงใส่กันหรือเปล่า
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองสูเสี่ยนฉู่ ก่อนจะเห็นว่าเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่กลับไม่ได้เข้ามาขัดขวางอะไร ราวกับว่าตัวสูเสี่ยนฉู่เองคิดว่าทหารพวกนี้ทำเกินไปแล้ว
ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครคิดจะพูดแทนพวกทหารด้วย มองแวบเดียวก็รู้ว่าทั้งกลุ่มไม่เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันสิ้นดี
เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดเกรงใจ เดินไปข้างทหารนายนั้นแล้วหยิบปืนออกจากซองปืนพกของเขา ตอนที่พวกทหารหนีตาย ล้วนคิดว่าปืนของตนหนักเกินกว่าจะแบกไปมา เลยทิ้งพวกปืนไรเฟิลไป เหลือเพียงแต่ปืนพกเท่านั้น
ทหารนายนั้นกล่าวเสียงเย็น “ยึดปืนจากทหาร รู้ไหมว่าเป็นอาชญกรรมร้ายแรงขนาดไหน”
หยางเสียวจิ่นเอ่ยเสียงนิ่ง “ถ้าขู่ฉันอีกรอบ นายอาจจะตายก็ได้นะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นกันก็เกือบปรบมือเปาะแปะ คนจริงของแท้…
ตอนเขาชักปืนออกจากซองปืน เจ้าทหารก็เอามือขวาคว้ากุมข้อมือเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ทันที เขาคิดจะลอบหยุดไม่ให้เริ่นเสี่ยวซู่เอาปืนไป แต่ว่าพละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่มหาศาลยากประมาณ เขาใช้กำลังแกะนิ้วของทหาร ถ้าทหารไม่ยอมแพ้กลางคัน เริ่นเสี่ยวซู่คงต้องได้หักนิ้วเขาทิ้งแล้ว
ปืน! ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็สามารถพกปืนไปไหนมาไหนได้อย่างเปิดเผยแล้ว ตั้งแต่ได้ทักษะการใช้ปืนระดับสูงมา เขายังไม่เคยได้ถือปืนแบบเป็นกิจลักษณะเลย!
เจ้าทหารที่โดนฉกปืนไปกวาดตามองเริ่นเสี่ยวซู่ “เอาปืนฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่เอามือออกไปจากฉันอีก”
“แม็กกระสุนอยู่ไหน” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
ทหารนายนั้นสะอึกเงียบไป “อยู่ฝั่งซ้ายของเครื่องแบบ”
ระหว่างถูกเริ่นเสี่ยวซู่ค้นตัว เขาก็แค่นเสียงใส่หยางเสี่ยวจิ่น “เธอเอาปืนฉันให้เขาไปแล้วไง คิดว่าเขาใช้เป็นเหรอ ก็แค่ผู้อพยพคนหนึ่ง”
คนอื่นๆ รู้สึกว่าคำพูดของทหารนายนั้นฟังขึ้นไม่เลวเลย มีเพียงหยางเสียวจิ่นที่พอเห็นท่าจับปืนของเริ่นเสี่ยวซู่ ก็แทบหมดความสงสัยไป
ความรู้เกี่ยวกับปืน หยางเสียวจิ่นมีภูมิความรู้สูงที่สุดในหมู่คนที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นพระราชวังคงไม่ประเมินระดับทักษะของเธอเป็นไร้ที่ติหรอก
ขณะคนอื่นกำลังคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่น่าจะเป็นไก่ได้พลอยใช้ปืนไม่เป็น เธอก็สังเกตเห็นแล้วว่าลักษณะการจับปืนของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นทั้งดูเป็นธรรมชาติทั้งดูคล่องแคล่ว ต่อให้ตอนนี้ลดมือลง ก็ยังอยู่ในมุมที่สามารถยกปืนขึ้นเล็งยิงได้ในชั่วพริบตา
นี่ไม่ใช่ทักษะที่ผู้อพยพควรมีเลย คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่หยางเสียวจิ่นเห็นได้อย่างชัดเจน!
เธอไม่นำพาอะไรต่อให้มากความ เพียงพูดกับทหารนายนั้น “ไสหัวไป”
โดนแย่งชิงอาวุธปืนไปเช่นนี้เป็นหนึ่งในเรื่องขายขี้หน้าที่สุดที่ทหารนายหนึ่งจะมีได้ เขายืนเหม่อ ใบหน้าซีดขาว พอสูเสี่ยนฉู่เห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็กล่าว “เดินทางต่อ พวกเราต้องหาที่เหมาะๆ สำหรับตั้งแคมป์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
สูเสี่ยนฉู่ไม่อยากเข้ามายุ่งวุ่นวายกับปัญหาในกลุ่ม ในใจเขามีแต่เรื่องมุ่งหน้าไปเขาจิ้งซาน เรื่องอื่นไม่สนทั้งสิ้น
ระหว่างทาง พวกทหารขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างพวกตนกับลั่วซินอวี่ หยางเสียวจิ่น และเริ่นเสี่ยวซู่ ต่างฝ่ายต่างตีตัวออกห่างกัน
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าหยางเสียวจิ่นยืนกรานจะช่วยลั่วซินอวี่ หรือพยายามพาเธออกไปจากที่นี่ด้วยกันให้ได้ เขาคงต้องล้มพันธมิตรชั่วคราวนี่แล้วจริงๆ
ตอนนั้นเองลั่วซินอวี่ก็กล่าวกับหยางเสียวจิ่นว่า “ขอบคุณที่ช่วยนะ หวังว่าต่อแต่นี้ไปพวกเราจะร่วมมือกันออกไปจากเขาจิ้งซานให้ได้”
เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นชัดเจนว่าหยางเสียวจิ่นชะงักไป จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็กล่าวกับลั่วซินอวี่ว่า “ฉันไม่ได้ช่วยเธอแบบให้เปล่า อันดับแรกเลย คืนเงินที่ฉันจ่ายเธอไปมา”
ลั่วซินอวี่ “…”
เธอหยิบเงินจากกระเป๋าหนึ่งหมื่นหยวน จากนั้นก็ส่งให้หยางเสียวจิ่น “ตอนนั้นเธอจ่ายฉันห้าพันหยวน แต่ฉันจะคืนหนึ่งหมื่นหยวนแล้วกัน คิดเสียว่าแทนคำขอบคุณ”
หยางเสียวจิ่นรับคำ รับเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาอย่างไม่รีรอ
ลั่วซินอวี่เห็นหยางเสียวจิ่นหยิบรับเงินไป ยิ้มพูด “งั้นเธอจะช่วยฉันระหว่างเดินทางใช่ไหม”
“ฉันขอแก้อะไรหน่อยนะ” หยางเสียวจิ่นพูด “ฉันไม่คิดจะช่วยพาเธอออกไปจากเขาจิ้งซาน แต่จะรับรองว่าเธอจะตายไปอย่างไม่เสียเกียรติ”
ลั่วซินอวี่ “…”
ฟังพวกเธอคุยไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจว่าหยางเสียวจิ่นต้องการสื่ออะไร หยางเสียวจิ่นจะกันไม่ให้ลั่วซินอวี่ถูกพวกทหารรังแก ส่วนที่ว่าเธอจะรอดไปได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของหยางเสียวจิ่น
จริงๆ แล้วลั่วซินอวี่ก็ดูน่าสงสารไม่น้อย ถึงเธอจะเป็นผู้ริเริ่มการเดินทางออกจากป้อมปราการ แต่กลับไม่สามารถเชื่อใจใครได้แม้แต่คนเดียว
มีทางแยกสายหนึ่ง เป็นถนนบนเขาที่แยกไปสองทิศทาง
ต้นไม้สูงชะลูดแทบบังท้องนภาจนหมดสิ้น ไม่อาจระบุได้ว่าดวงอาทิตย์อยู่จุดใด และไม่อาจทราบได้ว่าเส้นทางใดนำไปเขาจิ้งซาน
สูเสี่ยนฉู่หันไปถามเริ่นเสี่ยวซู่ “เราต้องไปทางไหน”
ฉับพลันทันใด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงเรียบนิ่งจากพระราชวังดังมา [ภารกิจ ระบุทิศ]
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ไปทางซ้าย”
[ภารกิจสำเร็จ รางวัล ความคล่องแคล่ว 1.0 แต้ม]
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นขึ้นอีกครั้ง เขาพลันมั่นใจอะไรบางอย่างได้ค่าพละกำลังกับค่าความคล่องแคล่วรวมกันจะเกิดเป็นมวลกล้ามเนื้อที่แท้จริง จะเพิ่มค่าพละกำลังหรือค่าความคล่องแคล่วอย่างเดียวไม่ได้สินะ
ตอนนี้เอง ทหารนายที่ถูกชิงปืนไปก็กล่าวเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่เคยมาไกลขนาดนี้น่ะ นายบอกว่าซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอยู่สองสามวัน ก่อนหนีออกไป แล้วนายจะไปรู้ทางได้ยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างสงบนิ่ง “ฉันไม่รู้”
สูเสี่ยนฉู่ “…”
หยางเสียวจิ่น “…”
ทุกคนหมดคำพูด ถ้าไม่รู้ทาง แล้วจะบอกว่าให้ไปทางซ้ายทำพระแสงอะไรวะ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อินังขังขอบ เขาแค่บอกทิศไปตามภารกิจที่พระราชวังให้มา มันไม่ได้บอกว่าจะต้องนำทางไปสักหน่อย จะถูกทางไม่ถูกทางไม่รู้ เขาก็แค่ชี้ๆ ไปก็จบ
เส้นทางที่ถูกต้องไม่รู้ รู้แต่ว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อยดี!
สูเสี่ยนฉู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะว่า “งั้นทำไมนายบอกว่าไปทางซ้าย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “ถึงฉันไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน แต่ก็รู้ว่าเขาจิ้งซานอยู่ทางซ้ายของพวกเรา”
“ได้” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “อย่างนั้นพวกเราไปซ้าย เจอจุดเหมาะๆ สำหรับตั้งแคมป์แล้วบอกฉันด้วย”
ยามสูเสี่ยนฉู่อยู่ในแดนรกร้าง จะตัดสินใจอะไรล้วนหันมาถามความเห็นของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นประจำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดเห็นของเริ่นเสี่ยวซู่มักถูกเสมอ
เริ่นเสี่ยวซู่ปีนขึ้นไปบนสนต้นหนึ่งที่เจอระหว่างทาง เขาเก็บลูกสนกับใบสนลักษณะบวมอูมมา คนอื่นๆ ต่างวิตก ที่เด็ดลูกสนมายังพอเข้าใจว่าเป็นของกินได้ แต่จะเอาใบสนมาทำไมกัน พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวบีบเค้นของเหลวสีเขียวอ่อนมาจากใบสนทีละใบๆ จากนั้นก็เลียจนหมด เขากล่าวกับคนอื่นๆ ว่า “ถ้าไม่อยากหิวน้ำตาย ก็เรียนรู้จากฉันซะนะ”
หลายคนก็รีๆ รอๆ ไม่แน่ใจว่าจะทำตามเขาดีหรือไม่ สุดท้ายก็มีแต่หยางเสียวจิ่น แล้วก็สูเสี่ยนฉู่ที่ปีนขึ้นต้นสนไปอย่างไม่ลังเล