พูดถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอด ไม่นับเริ่นเสี่ยวซู่ เทียบกันในกลุ่มแล้ว สูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นสองคนถือว่ามีมากสุด

พอเริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าสารน้ำที่หลั่งออกมาจากใบสนนั้นกินได้ พวกเขาก็ไม่รีรออะไร ปีนขึ้นไปหาใบสนเหมาะๆ ทันที ทั้งยังเด็ดลูกสนลงมาอีกไม่น้อยด้วย

ในความเป็นจริง มีเพียงคนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ที่เอาตัวรอดในแดนรกร้างมาตลอด ถึงจะทราบว่าธรรมชาตินั้นเอื้อเฟื้ออารีนัก ธรรมชาติหาสนไม่ว่าผู้ใดจะได้รับ พอเพียงพยายามขวนขวาย ย่อมสามารถอิงแอบธรรมชาติรอดชีวิตต่อไปได้

มีคนโอดครวญ “ถ้าต้องทำแบบนี้ฉันขอเป็นสัตว์ดีกว่า ชาติหน้าขอไม่เกิดเป็นมนุษย์ละ”

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “พวกสัตว์ไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างที่นายคิดหรอกนะ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับยีราฟมาน่ะ มันเป็นสัตว์บกที่ตัวสูงที่สุดเลย เรื่องป้องกันนักล่าน่ะไม่มีปัญหาเพราะร่างกายอันใหญ่โตของพวกมัน แต่ก็นะ กระบวนการสืบพันธุ์ออกจะยุ่งยากอยู่หน่อย ยีราฟตัวผู้ต้องดื่มปัสสาวะของตัวเมีย จะได้รู้ว่าพวกเธอมีอารมณ์หรือยังอะไรแบบนี้ ถึงเริ่มเกี้ยวพาราสีได้ เกิดตัวเมียไม่มีอารมณ์ล่ะ ก็เท่ากับว่ายีราฟตัวผู้ดื่มปัสสาวะตัวเมียไปเปล่าๆ เลยไง…”

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังทำให้พวกเขาสะอิดสะเอียนเล่นหรือเปล่าเนี่ย ทุกคนอดสงสัยไม่ได้

ไม่สิ เจ้าหนูผู้อพยพนี่ต้องตั้งใจให้พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนแน่นอน!

หลังจากได้ปืนมาครอบครอง ความมั่นใจของเริ่นเสี่ยวซู่ก็พุ่งทะลุเพดาน ทั้งกลุ่มที่สมาชิกทั้งหมดสิบเอ็ดคนกับปืนอีกเจ็ดกระบอก และในสามกระบอกนั้นล้วนอยู่ในมือของเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่น

แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีทักษะการใช้ปืนระดับสูง และหยางเสียวจิ่นมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ นอกจะเผชิญกับสูเสี่ยนฉู่ซึ่งหน้าแล้ว พันธมิตรที่จับมือหลวมๆ นี้ย่อมชนะใครก็ตามที่คิดดาหน้าเข้ามา

ขณะมองดูทุกคนกำลังเด็ดลูกสนใบสนอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่ผู้ซึ่งไม่มีอะไรทำ จำได้ว่าตัวเองมีคัมภีร์คัดลอกทักษะที่ยังไม่ใช้อีกม้วน เขาเหลือบมองหยางเสียวจิ่น ก่อนจะพูดอย่างมุ่งมาดในใจว่า “ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะ”

[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะการทำระเบิดจากเป้าหมาย]

เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป ถึงรีบตกลงเรียนทักษะทันที แต่ก็ยังสับสนอยู่ไม่น้อย หยางเสียวจิ่นฝึกตัวเองมาอย่างไรกันแน่ ทำไมแต่ละทักษะของเธอถึงได้ดูดุร้ายขนาดนี้

แถมทักษะการใช้ปืน การทำระเบิด และกระโดดเชือกนี่ไม่เห็นมันจะคล้องจองกันตรงไหนเลย สามทักษะนี้มาจากคนคนเดียวจริงๆ หรือ

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา รีบถามในใจว่า “เป้าหมายมีทักษะลอบสังหารหรือเปล่า”

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เป้าหมายมีทักษะลอบสังหารระดับสูง]

เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถาม “เป้าหมายมีทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กไหม”

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เป้าหมายมีทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กระดับสูง]

เริ่นเสี่ยวซู่ “…”

มีทักษะมั่วซั่วไปหมดเลยเว้ย

ในใจก็คิดอยู่หรอกนะว่าตนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงถามคำถามอะไรแบบนั้นออกไป ใครจะรู้ล่ะว่าเธอเกิดมีทักษะขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้นไป แถมยังอยู่ระดับสูงอีกต่างหาก

ตอนนี้ทุกคนต่างเด็ดลูกสนใบสนกันเรียบร้อยแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ พลางกล่าว “นี่! จะเด็ดทั้งทีก็แบ่งๆ ไปต้นอื่นบ้างก็ได้ไหม เล่นรุมทึ้งอยู่ต้นเดียว มันจะโกร๋นหมดแล้วเนี่ย!”

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้น อา จริงด้วย แทบจะกลายไปเป็นต้นไม้หัวโกร๋นแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง พูดต่อ “ไม่คิดจะขอบคุณฉันหน่อยเหรอ อุตส่าห์สอนวิชาเอาตัวรอดในแดนรกร้างให้นะ”

ทุกคนผงะ มีคนไม่น้อยกล่าวขอบคุณเขา แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่พบว่ามีเพียงสูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นเท่านั้นที่ขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

ตอนนี้มีเขามีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมดแปดสิบหกเหรียญแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งอยากปลดล็อกอาวุธมากกว่าเดิมอีก เขาจึงหันความสนใจไปยังคนอื่นๆ

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่พลันสังเกตว่าในมือลั่วซินอวี่ยังคงว่างเปล่า ขนาดหลิวปู้ยังมีลูกสนอยู่หลายลูกเลย

ลั่วซินอวี่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังมองเธอ ก็พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฉันปีนต้นไม้ไม่เป็น…”

ลั่วซินอวี่ ดาราดังจากป้อมปราการจะเคยปีนต้นไม้ได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเป็นคนเดียวที่ในมือไม่มีอะไรเลย

ยามใดกันผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ก็คือยามที่ทุกคนมี แต่ตนเองไม่มีอย่างไรเล่า

ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีเงิน แต่ตนไม่มี

ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีลูกสน แต่ลั่วซินอวี่ไม่มี

ลั่วซินอวี่กระอึกกระอัก ก่อนจะกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันจะจ่ายให้หนึ่งหมื่นหยวน นายปีนขึ้นไปเก็บลูกสนให้ฉันทีได้ไหม”

เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย เขารีบเอาลูกสนกับใบสนที่ใช้เสื้อม้วนไว้อยู่ยัดใส่อ้อมแขนลั่วซินอวี่ทันที “ต่อไปนี้เจ๊คือพี่น้องของผมละ”

ลั่วซินอวี่ตะลึง “ขอบใจนะ”

[ได้รับคำขอบคุณจากลั่วซินอวี่ +1!]

ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ขายน้ำออกไปเพราะว่ามันล้ำค่ามาก เป็นน้ำสะอาดที่พกไปไหนมาไหนสะดวก ส่วนลูกสนและใบสนนั้นไม่เหมือนกัน อยากหาตอนไหนก็ได้หมด

อีกอย่างก็คือ ลั่วซินอวี่เสนอเงินกองโต! หนึ่งหมื่นหยวนทำอะไรได้บ้าง หนึ่งเลยใช้เสวยสุขในเมืองในถึงสองปี อาหารไม่ต้องกังวล เสื้อผ้าไม่ต้องกังวล!

จนกว่าจะให้เงินเริ่นเสี่ยวซู่ ย่อมไม่อาจรู้ตนจะได้เป็นพี่น้องกับเขาไหม หรือจะเรียกอีกอย่างว่าภราดรภาพแห่งแมวชเรอดิงเงอร์[1]!

ลั่วซินอวี่รับลูกสนใบสนไป แต่พอเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ไปเก็บพวกมันเพิ่ม ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ไม่ไปเก็บลูกสนเพิ่มเหรอ แล้วคืนนี้จะกินอะไร”

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด “กินช็อกโกแลตไง”

ลั่วซินอวี่ “…”

เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ได้กินช็อกโกแลตที่แลกมาจากลั่วซินอวี่ สองสามวันที่ผ่านมาเขาพกติดตัวอยู่ตลอดจนทำให้มันละลายไปบ้าง ถึงตอนนี้จะปลายฤดูไม้ใบร่วงแล้ว แต่ไออุ่นจากร่างกายก็ยังแพร่ไปถึงกระเป๋าได้อยู่ดี

ตอนแรกที่หยางเสียวจิ่นบอกว่าเดี๋ยวช็อกโกแลตละลายนั้นเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไร อย่างไรเขาก็ไม่เคยกินช็อกโกแลตมาก่อน เดิมเขามีแผนจะเอาช็อกโกแลตกลับไปให้เหยียนลิ่วหยวนชิม แต่ดูเหมือนจะพกกลับไปไม่ได้เสียแล้ว

ความสำนึกขอบคุณของลั่วซินอวี่หายไปในชั่วพริบตา ช็อกโกแลตชิ้นนั้นก็คือชิ้นที่เขาเล่นลิ้นเอาไปจากเธอ!

ก่อนตกเย็น เริ่นเสี่ยวซู่เจอโพรงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเหมาะสมสำหรับการตั้งแคมป์ เป็นหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา จนเกิดเป็นดั่งที่กำบังกึ่งเปิดกึ่งปิดผืนหนึ่ง มีลักษณะคล้ายเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเมฆมืดขมุกขมัวบนฟ้าตอนเดินผ่านที่โล่งแห่งหนึ่ง ถึงแม้ไม่รู้หลักการการทำงานของก้อนเมฆ แต่ก็พอรู้ว่าเป็นสัญญาณของฝน

พอเจอหน้าผาที่มีที่กำบังกันลมฝนให้แบบนี้ก็ถือว่าสามารถพักผ่อนได้สบายขึ้นมาก

ขณะนั่งลงใต้แง่หิน ฝนก็เริ่มทิ้งตัวลงมา สูเสี่ยนฉู่หันถามเริ่นเสี่ยววู่ว่า “พวกเราดื่มน้ำฝนได้ไหม”

“ไม่ได้” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ต่อให้มันไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนแล้วก็เถอะ ดื่มฝนกรดไปก็ยังทำให้ตายได้อยู่ดี”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่แน่ใจนักว่าฝนกรดเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีเกณฑ์อะไรบ้างถึงจะเรียกว่าเป็นฝนกรด จึงได้แต่ใช้คำว่า ‘กรด’ เพื่อบรรยายลักษณะความอันตรายของฝนกรดนี้

พริบตานั้นนอกแง่หินก็บังเกิดเสียงประหลาดดังมาจากทางในป่า เสียงนี้แล่นมาชั่วพริบตา ทำเอาพวกเริ่นเสี่ยวซู่ปั่นป่วนขึ้นมา

ทันใดนั้น คนที่อยู่ลึกสุดของโพรงถ้ำก็กล่าว “ดูสิ มีคนสลักตัวอักษรไว้ด้วยแหละ”

เริ่นเสี่ยวซู่กับสูเสี่ยนฉู่เข้าไปดูที่กำแพงถ้ำ ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นตัวอักษรเฉเฉียงไปมาเขียนไว้บนสุดของโพรงถ้ำ ‘พวกเราเห็นเงาประหลาดเคลื่อนไหวในป่า’

‘หายไปแล้ว พวกเขาทุกคนหายตัวไป’

……………

[1] แมวของชเรอดิงเงอร์ (Schrödinger’s cat) เป็นการทดลองแมวตัวหนึ่ง โดยนำมันใส่ไว้ในกล่องปิด ภายในกล่องนั้นบรรจุสารกัมมันตภาพรังสี (โลกควอนตัม) โดยมีกลไกเชื่อมต่อกับขวดยาพิษ ในเวลาหนึ่งชั่วโมงสารรังสีนั้นมีโอกาส 50% ที่จะปลดปล่อยรังสีจะทำให้ขวดยาพิษแตกดังนั้นแมวตาย 50% ที่จะไม่ปลดปล่อยรังสีขวดยาพิษไม่แตกในกรณีนี้แมวไม่ตายที่อาจทั้งยังมีชีวิตและตายแล้วในเวลาเดียวกัน คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแมวนั้นจะเป็นหรือตายหากเราไม่เปิดกล่องดู นั่นคือ แมวนั้นจะอยู่ในสถานะซ้อนทับระหว่างเป็นและตายอันเป็นผลโดยตรงจากสภาวะซ้อนทับของสารรังสีนั้นเอง (สิขรินทร์ อยู่คง, 2015) เป็นสถานะที่เรียกว่าหลักการซ้อนทับควอนตัม (quantum superposition)

ทางเนื้อเรื่องต้องการจะสื่อว่า ถ้าไม่ลองให้เงินเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มีทางรู้ ว่าจะได้เป็นพี่น้องกับเขาหรือเปล่านั่นเอง