ตอนที่ 25 เปลี่ยนสหายให้กลายเป็นศัตรู

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 25 เปลี่ยนสหายให้กลายเป็นศัตรู

สายตาของหลี่ซื่อที่ได้กล่าวถามออกไป เต็มไปด้วยความสงสัย และยังแฝงการข่มขู่เอาไว้ในทีอีกด้วย เป็นเหตุให้หมอหญิงถึงกับงงงันมิรู้ว่าตนเองทำอันใดผิดไป

ส่วนอี้หวางเฟยนั้นกลับหน้าเปลี่ยนสีในทันที

“หมอหญิงจวนอ๋องอี้นั้นย่อมเชื่อถือได้อยู่แล้ว หรูเสวี่ย เจ้าทำท่าทางเยี่ยงนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

หลี่ซื่อนั้นทำตัวราวกับตนเองเป็นเจ้านายในจวนอ๋องอี้ซะเอง แล้วเอาอี้หวางเฟยเยี่ยงนางไปไว้ที่ใดกัน ?

หลี่ซื่อที่ถูกอี้หวางเฟยตำหนิเข้า แววตาที่เคยข่มขู่ก็ค่อยจางไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อเอาอกเอาใจแทน

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความบริสุทธิ์ของอีเอ๋อ ข้าก็ควรจะถามให้แน่ชัดมิใช่หรือเพคะ ? ”

อี้หวางเฟยที่นึกถึงมิตรภาพในอดีต จึงมิได้ต่อว่าอันใดหลี่ซื่อออกไปอีก

“เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า เรื่องในวันนี้ข้าต้องถามให้ชัดเจนอยู่แล้ว จะมิปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครืออย่างแน่นอน”

จากนั้นก็นางหันหน้าไปกล่าวถามอันหลิงอีว่า “เจ้าบอกว่าท่านมู่ซือจื่อเชิญเจ้ามาพูดคุยที่นี่ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ? ”

หลักฐานเยี่ยงนั้นหรือ ?

แววตาของอันหลิงอีพลันสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกล่าวตอบออกไปอย่างดีใจ

“มีเพคะ มู่ซือจื่อให้คนนำจดหมายแผ่นหนึ่งมาให้ข้า ข้าอ่านเนื้อหาในจดหมายแผ่นนั้นแล้วถึงได้มาที่นี่”

มีหลักฐาน ที่นี้ก็ง่ายแล้ว ในที่สุดแววตาของหลี่ซื่อก็พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

“อีเอ๋อ รีบนำหลักฐานออกมาเร็ว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้า”

จากนั้นอันหลิงอีจึงรีบค้นหาจดหมายนั้นอย่างรีบร้อน แต่สุดท้ายก็หามิพบ

เมื่อเวลาผ่านไป ความดีใจบนใบหน้าของนางก็ค่อยเลือนหาย มีแต่ความตื่นตระหนกเข้ามาแทนที่

หายไปได้เยี่ยงไรกัน จดหมายแผ่นนั้นนางเก็บเอาไว้อย่างดี เหตุใดจู่ ๆ ถึงหายไปได้ !

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นสีหน้าอี้หวางเฟยก็เคร่งขรึมขึ้นอีกครา

“จดหมายที่เจ้ากล่าวถึงล่ะ ? ”

“หามิเจอแล้วเพคะ”

ริมฝีปากของอันหลิงอีสั่นระริก รู้สึกได้ถึงมือและเท้าที่เย็นเฉียบ แม้แต่จดหมายที่เป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางได้ก็กลับหามิเจอแล้ว ต่อไปมิว่านางจะกล่าวอันใดก็จะมิมีใครเชื่อถืออีกแล้ว

เมื่อเหตุการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ฮูหยินผู้ที่ก่อนหน้านี้ได้เยาะเย้ยอันหลิงอีก็หัวเราะขึ้นมาอีกครา

“หลักฐานชิ้นเดียวที่มีก็หายไปแล้ว ช่างบังเอิญเสียจริงนะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอเมื่อเห็นเช่นนั้นก็กล่าวเสริมขึ้นมาทันที

“น้องหญิง เหตุใดต้องพูดโกหกมากมายเยี่ยงนี้ด้วย มิว่าเยี่ยงไร อี้ซือจื่อก็ได้ล่วงเกินเจ้าไปแล้ว นี่คือความจริงที่มิอาจลบล้างไปได้ มิสู้ให้อี้หวางเฟยและอี๋เหนียงปรึกษาเรื่องการแต่งงานของทั้งสองครอบครัวเสียล่ะ เรื่องหน้าขายหน้าเช่นนี้จะได้กลายเป็นเรื่องมงคลแทน”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ มู่จวินฮานเองก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมดวงตามีประกายออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่พูดได้ดี เยี่ยงนี้จะได้มิดึงข้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ และทำลายความบริสุทธิ์ของข้าด้วย”

คำกล่าวของมู่จวินฮานมิมีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียวทั้งยังดูโหดร้ายอีกด้วย ทำเอาหลี่ซื่อที่หน้าซีดอยู่ก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นโกรธจัดจนหน้าเขียวขึ้นมาแทน มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำแน่น และกัดฟันเอ่ยออกมาว่า “อีเอ๋อมิมีทางแต่งเข้าจวนอ๋องอี้อย่างเด็ดขาด ! ”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของสหายที่ตนสนิทได้เอ่ยออกมาเยี่ยงนี้แล้ว อี้หวางเฟยราวกับถูกฉีกหน้า จากนั้นมุมปากค่อย ๆ ยกขึ้น

“หรูเสวี่ย นี่เจ้าเอ่ยอันใดออกมา อีเอ๋อกับหมิงเอ๋อได้ถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว หากมิแต่งเข้าจวนอ๋องอี้แล้ว จะแต่งเข้าครอบครัวไหนกัน ? ”

เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ความหวังที่จะได้อันหลิงเกอคงหมดสิ้นแล้ว แต่เป็นอันหลิงอีก็มิเลว ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะสู้มิได้ แต่นางมีแม่ที่คอยควบคุมจวนโหวอยู่ อย่างน้อยมีจวนโหวและหลี่กุ้ยเฟยคอยหนุนหลังอยู่ก็มิเลวร้ายเท่าไหร่นัก อี้หวางเฟยคิดตริตรองดูอย่างถ้วนถี่แล้ว แต่กลับคาดมิถึงว่าหลี่ซื่อจะเปลี่ยนสีหน้าในพริบตา มิคำนึงถึงมิตรภาพในอดีตอีกเลย

“ถูกเนื้อต้องตัวอันใดกัน อีเอ๋อของข้ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะแต่งกับคนดี ๆ มิได้หรือเยี่ยงไร ? เหตุใดต้องแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ด้วย ! ”

ประโยคนี้ของหลี่ซื่อคล้ายกับบอกว่าอี้หมิงมิใช่คนที่ดีพอ

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นอี้หวางเฟยจึงมีท่าทีเย็นชาลงในทันที  นางมิใช่เด็กอายุ 3 ขวบแล้ว แต่มีอี้หมิงผู้โง่เขลาเป็นบุตรเพียงผู้เดียว

สำหรับอี้หวางเฟยแล้ว อี้หมิงคือชีวิตจิตใจของนาง ใครมาว่าลูกชายของนางก็เท่ากับเป็นศัตรูกับนางด้วย !

เมื่อเห็นหลี่ซื่อและบุตรีของนางดูถูกความโง่เขลาของอี้หมิงต่าง ๆ นานา จะมิให้อี้หวางเฟยโกรธเคืองได้เยี่ยงไรกัน ?

เป็นเหตุให้ใบหน้าของนางในตอนนี้มิหลงเหลือรอยยิ้มอีกต่อไป ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงอย่างดีแสดงให้เห็นถึงความโกรธอย่างชัดเจน

“ดี ! หลี่หรูเสวี่ย วันนี้ถือว่าข้าได้เห็นธาตุแท้ของเจ้าแล้ว ลูกสาวเจ้ามิยอมแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่มิบริสุทธิ์เช่นนางจะแต่งกับครอบครัวดี ๆ ที่ไหนได้อีก ! ”

อี้หวางเฟยชี้ชัดว่าอันหลิงอีนั้นมิบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ภายในใจของหลี่ซื่อนั้นเดือดดาลเป็นอย่างมาก จากนั้นรอยยิ้มเย็นชาของนางก็พลันปรากฏขึ้นมา

“อีเอ๋อนั้นนิสัยดี น่ารัก จะหาคนดีแค่ไหนก็มิใช่เรื่องลำบาก แต่กลับกัน อี้หวางเฟยนั้นคงต้องคิดมากเสียหน่อย ว่าจะทำเยี่ยงไรให้บุตรชายของตนจึงจะแต่งภรรยาที่เหมาะสมที่จะมาเป็นชายาซือจื่อได้ ! ”

ทั้งสองกล่าวประชดเหน็บแนมกันไปมา มิเหมือนสหายที่สนิทกันมายาวนานเลยสักนิด เหมือนกับเป็นศัตรูกันมาหลายชาติเสียมากกว่า

งานเลี้ยงจวนอ๋องอี้เกิดเรื่องถึงขนาดที่ต้องเลิกรากันอย่างมิสบอารมณ์ อี้หวางเฟยฝืนยิ้มส่งแขกจนหมด เมื่อกลับเข้ามาในห้องถึงขนาดทุบแจกันใบโปรดของตัวเองด้วยความโมโห

“หลี่หรูเสวี่ย นังตัวดี ข้าคิดว่าเจ้าอยากจะช่วยหมิงเอ๋อให้ได้แต่งงานจริง ๆ ที่แท้เจ้านั้นดูถูกหมิงเอ๋อของข้าถึงเพียงนี้ เหอะ ! ข้าจักคอยดูว่าจะมีตระกูลไหนจะกล้าผิดใจกับจวนอ๋องอี้ของข้า เพื่อไปสู่ขอบุตรีที่มิบริสุทธิ์ของเจ้ากัน”

หลี่ซื่อที่อยู่ระหว่างทางกลับจวนก็รู้สึกโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของอันหลิงอีก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แอบด่าอี้หวางเฟยอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ในขณะที่คนสองคนที่อารมณ์มิดีย่อมมิทันสังเกตเห็นว่า ในรถม้าของอันหลิงเกอที่ตามอยู่ทางด้านหลังของพวกนางนั้น มีร่างปราดเปรียวร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ

มู่จวินฮานที่แอบเข้าไปในรถม้าของอันหลิงเกอ ด้วยท่าทางคุ้นเคยกับทางเข้าออกเป็นอย่างดีนั้นเป็นเหตุให้อันหลิงเกอกล่าวถามออกมาว่า “มู่ซือจื่อ ท่านมีสิ่งใดมิทราบ ? ”

ท่าทีผ่อนคลายที่เอ่ยถามออกมา และมิได้รู้สึกแปลกใจกับการปรากฏตัวของมู่จวินฮานเลย เป็นเหตุให้ริมฝีปากของมู่จวินฮานยกยิ้มขึ้น แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“วันนี้ข้าช่วยเจ้าไว้มากเพียงนี้ เจ้าเตรียมที่จะตอบแทนข้าเยี่ยงไรกัน ? ”

“แต่เราคุยกันไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานแล้วนี่เจ้าคะ ว่าเราต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ร่วมกันมิมีใครติดค้างใคร มู่ซือจื่อ เหตุใดจึงได้ทำท่าทางเป็นผู้มีพระคุณเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ? ”

แม้อันหลิงเกอจะกล่าวเยี่ยงนั้น แต่กลับมิได้ขุ่นเคืองใจอันใด

เมื่อได้ฟังคำเอ่ยจบ มู่จวินฮานก็ได้ขยิบตาให้กับนาง ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์

“เดิมทีตอนที่คุณหนูใหญ่ให้ข้าช่วยนั้น บอกเพียงแค่ให้ข้าช่วยล่ออันหลิงอีออกมา เจ้าจะช่วยสลัดอันหลิงอีให้ข้า แต่มิได้บอกว่าเจ้ามีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่เช่นนี้” “เป้าหมายอื่นอันใด ? ”

อันหลิงเกอมีท่าทางสงบนิ่ง  แล้วแสร้งเอ่ยถามออกไป แต่ภายในใจคาดเดาเอาไว้แล้วว่ามู่จวินฮานนั้นต้องมองแผนการของตนออก

เมื่อเห็นท่าทีของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานกล่าวออกมาว่า “คุณหนูใหญ่ใช้ข้าทำให้ฮูหยินรองและอี้หวางเฟยสหายเก่าแก่ที่คบหากันมานานตัดขาดกัน เปลี่ยนจากสหายให้กลายเป็นศัตรู หรือว่านี่มิใช่เป้าหมายของเจ้ากัน”

เขาเดาออกจริง ๆ ด้วย

อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธ แต่กลับยกมุมปากขึ้นอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าที่แต่เดิมก็งดงามอยู่แล้ว พอรอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า ก็ยิ่งทำให้งดงามขึ้นไปอีก

“มู่ซือจื่อช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก แผนธรรมดาของข้ามิอาจหลุดรอดสายตาท่านได้จริง ๆ ”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนาง เขาก็คิดขัดแย้งขึ้นมาในใจ แผนธรรมดาเยี่ยงนั้นหรือ ? แต่สามารถทำลายชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของน้องสาวซึ่งเป็นบุตรีของอนุได้ อีกทั้งยังกำจัดเส้นสายที่มีมาหลายปีของฮูหยินรอง แผนธรรมดาเยี่ยงนี้จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่ทำได้กัน ?

มู่จวินหานได้แต่ครุ่นคิด แต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ผู้หญิงที่เขาสนใจ ช่างเก่งกาจถึงเพียงนี้ !

เมื่อรู้ได้ถึงความคิดภายในใจของตน มู่จวินฮานก็ถึงกับตกตะลึงในความคิดตนเอง

หรือว่าเขานั้นจะชอบอันหลิงเกอเข้าแล้ว ?

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นพลันใจของเขาก็เต้นแรงอย่างควบคุมมิได้จึงมิกล้าคิดอีกต่อไป จากนั้นเขาจึงรีบหยิบขวดยาออกมาและบอกกล่าวกับอันหลิงเกอว่า “ทายานี้ซะ แล้วพรุ่งนี้อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเจ้าจะได้ดีขึ้น”