ตอนที่ 26 สู่ขอ

มู่จวินฮานกล่าวจบก็ลงไปจากรถม้าในทันที พอดีกับที่ปี้จูยกม่านขึ้น จึงทันเห็นเงาคนแวบผ่านไปเพียงเท่านั้น นางกระพริบตาปริบ ๆ รู้สึกว่าเงานั้นคล้ายกับมู่จวินฮานอย่างมาก เหมือนกับว่าวันนี้ท่านมู่ซื่อจื่อก็จะสวมชุดยาวสีดำเช่นกัน ปี้จูจึงได้หันไปมองทางอันหลิงเกอด้วยแววตาสงสัย มิรู้เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าระหว่างคุณหนูและมู่ซื่อจื่อเหมือนจะมีความลับบางอย่าง

งานเลี้ยงของจวนอ๋องอี้ต้องเลิกราอย่างมิสบ อารมณ์เท่าไหร่นัก อี้หวางเฟยยังแค้นเคืองอยู่ในใจ ขณะที่กำลังจะไประบายให้ท่านอ๋องฟัง และจะเป่าหูให้เขาลอบกัดท่านโหวนั่น จู่ ๆ อี้หมิงก็พรวดพราดเข้ามาเสียก่อน ทันทีที่อี้หมิงเห็นท่านแม่ของตน ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอันโง่เขลาออกมา

“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ แม่นางน้อยที่งดงามผู้นั้นล่ะขอรับ หมิงเอ๋อจะแต่งนางมาเป็นภรรยา”

เมื่ออี้หมิงกล่าวถึงอันหลิงอี อี้หวางเฟยก็มีโทสะขึ้นมาทันที เมื่อหันหน้าไปหาลูกชายสุดที่รักของตนด้วย สีหน้าก็ยังมิสู้ดีนัก

“แม่นางที่งดงามอันใดกัน คนพรรค์นั้นแต่งเข้ามาก็มีแต่จะทำให้จวนอ๋องอี้ของเราวุ่นวาย ห้ามแต่งเด็ดขาด ! ”

อี้หมิงมิเข้าใจว่าวุ่นวายหรือมิไม่วุ่นวายอันใด  แต่ประโยคสุดท้ายของอี้หวางเฟยที่บอกว่าห้ามแต่งเด็ดขาด เขากลับเข้าใจได้ดี

“ท่านแม่ เหตุใดมิให้หมิงเอ๋อแต่งกับแม่นางที่งดงามผู้นั้นล่ะขอรับ หมิงเอ๋อชอบนาง หมิงเอ๋อจะให้นางมาเป็นเจ้าสาว”

บนใบหน้าปรากฏความดื้อรั้นอยู่มิน้อย และยังยืนกรานว่าจะแต่งกับอันหลิงอีให้ได้ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเป็นเหตุให้ขมับของอี้หวางเฟยเต้นตุบตุบ

“บอกว่ามิได้ก็คือมิได้ ข้ามิมีทางยอมให้ผู้หญิงที่มิบริสุทธิ์พรรค์นั้นแต่งเข้ามาในจวนอ๋องอี้เป็นอันขาด”

เหอะ ! ยังมีหน้ามากล่าวได้อีกว่าได้รับเชิญจากมู่ซือจื่อถึงได้ไปที่เรือนหน้า

พูดตามตรงก็คือแอบไปพบผู้ชายมิใช่หรือเยี่ยงไร ?

เด็กที่มิรู้จักรักนวลสงวนตัวตัวเองเยี่ยงนั้น ใครแต่งด้วยเป็นได้ซวยไปทั้งชาติแน่ !

“ไม่ขอรับ หมิงเอ๋อจะแต่งกับนาง หมิงเอ๋อได้จับมือของนางแล้ว นางเป็นคนของหมิงเอ๋อ ท่านแม่ ท่านช่วยหมิงเอ๋อหน่อยสิขอรับ ต้องให้นางมาเป็นภรรยาของหมิงเอ๋อให้จงได้นะขอรับ”

บนใบหน้าซื่อ ๆ ของอี้หมิงแสดงความลุ่มหลงออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนอี้หวางเฟยที่มองอยู่รู้สึกตกใจมิน้อย และเป็นเหตุให้ยิ่งรังเกียจอันหลิงอีมากกว่าเดิม นางได้บอกเหตุผลเพื่อให้อี้หมิงตัดใจ แต่อี้หมิงราวกับถูกคนทำเสน่ห์ใส่ก็มิปาน ขอร้องอี้หวางเฟยมิหยุด จนสุดท้ายถึงขนาดกระโจนตัวลงบนพื้นและร้องไห้โวยวายใหญ่โต

  “ถ้าท่านแม่มิตอบตกลง หมิงเอ๋อก็จะมิลุกขึ้น”

ลูกที่มีสติปัญญาเทียบเท่ากับเด็กห้าขวบคนนี้ช่างทำให้อี้หวางเฟยปวดหัวเสียจริง ท้ายที่สุดก็ทนต่อการอ้อนวอนของเขามิไหว จึงได้พยักหน้าตกลงไป

เพราะความมุ่งมั่นของลูกชาย จึงทำให้อี้หวางเฟยนั้นต้องจัดการอย่างรวดเร็ว เพียงสองวันก็ได้จัดหาแม่สื่อไปที่จวนโหวในทันที แม่สื่อที่แต่งกายมาเต็มยศนั่งอยู่ที่ห้องโถงของจวนโหว ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมา นางมองหลี่ซื่อที่มีสีหน้าที่มิพอใจ แต่ปากก็ยังคงพูดสรรเสริญอยู่ไม่หยุด

 “อี้ซือจื่อนั้นมีใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสง่างาม เป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างมาก อีกบังเอิญว่าทั้งคู่ยังอายุเท่ากันอีกด้วย ฮูหยิน เหตุใดมิลองไตร่ตรองเรื่องการแต่งงานครานี้ดูล่ะเจ้าคะ ? ”

เมื่อได้ฟังแม่สื่อกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น หลี่ซื่อเหลือบตามองอี้หวางเฟย นางยังแค้นเคืองจากเรื่องเมื่อวันก่อนอยู่ จึงส่งเสียงเหอะ ! ออกมา

“ลูกสาวจวนโหวของเรามิกล้าแต่งเข้าถ้ำเสือเช่นจวนอ๋องอี้หรอก อีกอย่างอี้ซือจื่อนั้นเป็นคนโง่เขลา เรื่องนี้คนทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้กันดี แล้วข้าจะปล่อยให้ลูกสาวตัวเองแต่งเข้าไปให้คนอื่นหัวเราะเยาะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ซื่อมิได้สนใจอันใดทั้งสิ นางจึงเอ่ยออกมาอย่างมิไว้หน้าใคร และได้เหยียบซ้ำแผลเก่าของอี้หวางเฟยอย่างแรง มิตรภาพในวันก่อนบัดนี้ได้หายไปจนหมดสิ้น

“การแต่งงานครานี้อย่าว่าแต่ข้ามิเห็นด้วยเลย ต่อให้เป็นท่านโหว ก็มิมีทางเห็นด้วยกับเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้เป็นแน่ ! ”

คำกล่าวของหลี่ซื่อเปรียบเหมือนคมมีดทิ่มแทงหัวใจของอี้หวางเฟยอย่างรุนแรง รอยยิ้มที่ฝืนทำออกมาก็ค่อยเลือนหายไป

“ฮูหยินรอง บุตรสาวที่ไร้ยางอายของเจ้านั้นตั้งใจยั่วยวนบุตรชายข้า จนถูกจับได้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้าเห็นแก่หน้าของเจ้าจึงมิได้เปิดโปงออกมา แต่เจ้ากลับกล้ามาดูถูกบุตรชายของข้าเยี่ยงนี้”

อี้หวางเฟยได้ตอกกลับไปแบบมิเกรงใจเช่นกัน เดิมทีนางเองก็มิอยากให้มีงานแต่งงานนี้อยู่แล้ว หลี่ซื่อมิยอมก็ดี ต่อไปนางจะได้มิต้องเห็นหน้าอันหลิงอีให้หงุดหงิดใจ

หลี่ซื่อแม้จะมีศักดิ์เป็นเพียงอนุภรรยา แต่ตัวนางนั้นก็ดูแลจวนโหวมานานหลายปี จะยอมให้ตัวเองเสียเปรียบได้เยี่ยงไร นางถลึงตาใส่อี้หวางเฟยด้วยแววตาที่ดุดัน แล้วกล่าวเยาะเย้ยออกมาว่า “อี้หวางเฟย ท่านจะหลอกตนเองไปด้วยเหตุใดกัน ซือจื่อของเจ้าโง่เง่าออกปานนั้น ใครเขาจะไปเอาลง ? อย่าเอ่ยว่าอีเอ๋อของข้าจะไปยั่วยวนเลย ต่อให้เขาเป็นคนปกติ อีเอ๋อของข้าก็มิมีทางสนใจคนหน้าตาเยี่ยงนั้นหรอก”

“มิได้ยั่วยวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อี้หวางเฟยเมื่อได้ฟังคำกล่าวก็หัวเราะด้วยเสียงที่เย็นชา ท่าทางแฝงการดูถูกดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด

“เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้ามาซิว่า เหตุใดอันหลิงอีบุตรสาวของเจ้าถึงได้ไปปรากฏตัวที่เรือนหน้าได้ อีกทั้งยังกอดกับลูกของข้า จนทำให้ลูกของข้าอยากจะแต่งกับผู้หญิงที่มิบริสุทธิ์เช่นนี้ให้จงได้ ! ”

“เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ ! ”

หลี่ซื่อตะโกนเอ่ยออกมาเสียงดังลั่น พร้อมส่งสายตาดุดันให้กับอี้หวางเฟย เมื่อลูกสาวสุดที่รักของตนเองถูกอี้หวางเฟยกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงที่มิบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้หลี่ซื่อนั้นรู้สึกโกรธขึ้นมา ถึงขั้นทำถ้วยชาในมือแตก

เมื่อเสียงเครื่องลายครามแตกละเอียดดังขึ้น อี้หวางเฟยเองก็ตกใจมิน้อย แต่เมื่อหายตกใจแล้ว สีหน้าที่ตื่นตระหนกก็ค่อยสงบลง จากนั้นก็หัวเราะเยาะออกมา

“หึๆๆ แค่มิเจอกันมิกี่วัน คนเรากลับเปลี่ยนไปได้มากมายถึงเพียงนี้ ! หลี่หรูเสวี่ย เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าถึงขนาดวางท่าเยี่ยงนี้ต่อหน้าข้าเยี่ยงนั้นรึ ข้าช่างประเมินเจ้าต่ำไปเสียจริง”

“นึกถึงตอนนั้นที่เจ้าเป็นแค่บุตรสาวของขุนนางขั้นสี่ตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะข้า เจ้ามิมีทางได้เข้ามาอยู่ในวงสังคมชั้นสูงเยี่ยงทุกวันนี้หรอก ใครจะไปคิดว่าพอมีอำนาจเข้าหน่อยก็กล้ามาตำหนิข้าได้”

 อี้หวางเฟยเกิดในตระกูลชนชั้นสูง และคอยช่วยหลี่ซื่อที่มีฐานะต่ำต้อยจนสามารถเข้ามาอยู่ในวงสังคมชั้นสูงได้ แต่มิคิดเลยว่าตนเองจะช่วยคนเนรคุณเอาไว้

เมื่อได้ฟังคำกล่าว หลี่ซื่อก็ยกยิ้มอย่างได้ใจ

“อี้หวางเฟย เมื่อก่อนเจ้านั้นอาจมีตำแหน่งสูงส่งที่มิอาจเอื้อมได้ แต่วันนี้เจ้าเองมิใช่รึ ที่ลดตัวลงมาคุยกับข้าที่เป็นเพียงฮูหยินรองเรื่องงานแต่งงานเสียเอง ? ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลย อีเอ๋อมิมีวันที่จะแต่งเข้าจวนอ๋องอีเป็นอันขาด แล้วเจ้าจะทำอันใดข้าได้ ? ”

ใบหน้าของหลี่ซื่อทั้งได้ใจและดูหยิ่งผยอง

อี้หวางเฟยเห็นเยี่ยงนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้น จนมือไม้สั่น

“ดี ! ฮูหยินรอง ในตอนนี้เจ้าจงย่ามใจไปเถอะ แต่ต่อไปเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน พวกเรากลับ ! ”

แม่สื่อที่อยู่ด้านข้างมิรอช้า เดินตามหลังอี้หวางเฟยออกจากจวนโหวไปทันที

ซือจื่อผู้โง่เขลาคนหนึ่ง กล้าจะมาขอบุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนาง ฝันไปเถอะ !

หลี่ซื่อหัวเราะเยาะออกมาอย่างดูแคลน จากนั้นจึงเดินนำสาวใช้ของตนเองกลับไปที่ห้อง แต่คาดมิถึงว่าอันอิงเฉิงที่พึ่งกลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อยในตอนค่ำนั้น จะรีบไปหาหลี่ซื่อเพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้

“นายท่านเหตุใดถึงได้ถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะเจ้าคะ ? ซือจื่อของอี้หวางเฟยเป็นแค่คนโง่เขลา อีเอ๋อมิมีทางแต่งเข้าจวนของพวกเขาเป็นอันขาด”

หลี่ซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่ง

อันอิงเฉิงกลับขบริมฝีปากแน่นด้วยท่าทางนิ่งขรึม

“วันนี้ท่านอ๋องอี้เข้าวังไป ขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ ! ”

“อันใดนะเจ้าคะ ? ”

หลี่ซื่อร้องออกมาอย่างตกใจ แววตาตกตะลึง

 “คงมิใช่ให้ฝ่าบาทมีราชโองการ ให้อีเอ๋อแต่งงานกับเจ้าโง่นั่นใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

อันอิงเฉิงมิได้ตอบกลับแต่ขบริมฝีปากแน่นมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่ท่าทางของเขาเท่ากับยอมรับตามนั้น

เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นหัวใจของหลี่ซื่อรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาในทันที

“อีเอ๋อน่ารักแสนดีออกขนาดนั้น จะแต่งกับคนโง่เขลาอย่างอี้หมิงได้เยี่ยงไรกัน เช่นนั้นเท่ากับทำลายชีวิตนางทั้งชีวิตนะเจ้าคะ ! ”

เมื่อนึกถึงท่าทางของอันหลิงอีที่จะแต่งกับมู่จวินฮานเพียงคนเดียวแล้ว หลี่ซื่อก็รู้สึกสงสารนางเป็นอย่างมาก

“ท่านโหว ท่านไปขอร้องฝ่าบาทหน่อยสิเจ้าคะ อีเอ๋อจะแต่งงานกับอี้หมิงมิได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”