บทที่ 39 หญิงงามคนที่ห้า

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสามสิบเก้า

หญิงงามคนที่ห้า

เสวี่ยหยวนจิ้งเดินมาถึงหน้าประตูที่ว่าการเมือง เขาก็พบว่าข่งซิวผิงกับลู่ลี่เซวียนอยู่ที่นั่นด้วย

ลู่ลี่เซวียนรู้สึกอับอายเมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะเขาถูกปฏิเสธหลังจากส่งแม่สื่อไปสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ที่เรือน ยามนี้เขาจึงหยุดชะงัก และใบหน้าก็ร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้

ข่งซิวผิงได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนนัก เมื่อเห็นลู่ลี่เซวียนไม่มีทีท่าว่าจะเดินต่อ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปทักทายเสวี่ยหยวนจิ้งเอง

เสวี่ยหยวนจิ้งทักทายข่งซิวผิงเช่นกัน และด้วยวันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งนัก จึงไม่มีท่าทีเย็นชากับลู่ลี่เซวียนเหมือนที่ผ่านมา ทั้งยังพยักหน้าและเอ่ยเรียกอีกฝ่าย

แม้ลู่ลี่เซวียนจะเป็นคนเหนียมอาย ทว่ากลับฉลาดยิ่งนัก เขารู้ดีว่าการสอบครั้งนี้เสวี่ยหยวนจิ้งได้อันดับสูงสุด การสอบระดับเมืองหลวงและการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ชายหนุ่มต้องสอบผ่านเช่นกัน หากถึงตอนนั้นเขาก็สามารถสอบผ่าน และทั้งสองได้รับตำแหน่งขุนนางด้วยกัน ทั้งยังเป็นสหายร่วมห้องเรียน มิตรภาพเช่นนี้ต้องแน่นแฟ้นเป็นไหนๆ

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นฝ่ายทักทายตน ลู่ลี่เซวียนจึงรีบเดินไปพูดคุยด้วยทันที

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังจะเดินเข้าไปในที่ว่าการเมือง หางตาของข่งซิวผิงก็เหลือบเห็นตันหงอี้กำลังควบม้ามาทางนี้ เขาจึงขอให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับลู่ลี่เซวียนหยุดเดินก่อน

“พวกเรารออีกสักประเดี๋ยวค่อยเข้าไปดีกว่า”

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองตามสายตาของข่งซิวผิงไป ก็เห็นตันหงอี้สวมชุดผ้าไหม นั่งอย่างสง่างามอยู่บนหลังม้า และกำลังบังคับม้ามาทางพวกเขาอย่างช้าๆ

ตันหงอี้ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วเช่นกัน สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสองคนไม่คิดจะมองหน้ากันอีกแล้ว

ตันหงอี้ลงจากหลังม้าแล้วโยนแส้ให้ผู้ติดตามของตน

ข่งซิวผิงจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยด้วยรอยยิ้ม และคิดจะเดินไปทักทายอีกฝ่าย แต่ตันหงอี้ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาทั้งสามคนด้วยซ้ำ เขาแสดงเทียบเชิญของตนให้ผู้เฝ้าประตูดู จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าประตูใหญ่ไป เมื่อเห็นเช่นนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของข่งซิวผิงก็แข็งทื่อทันที

กลับเป็นลู่ลี่เซวียนที่ไม่พอใจนัก เขามองแผ่นหลังของตันหงอี้แล้วกล่าวออกมา “ตันหงอี้ผู้นี้ไยถึงหยิ่งยโสไร้มารยาท พี่ข่ง ต่อไปท่านไม่ต้องสนใจเขาอีกนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร” ข่งซิวผิงเก็บความทุกข์และรอยยิ้มแข็งทื่อบนใบหน้ากลับมาแล้ว ยามนี้สีหน้าจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาหันกลับไปยิ้มอย่างสุภาพนอบน้อม “นิสัยเขาก็เป็นเช่นนี้ แต่มิใช่คนเลวร้ายอันใด ต่อไปทุกคนก็มีโอกาสได้รับตำแหน่งขุนนางด้วยกันทั้งนั้น น้องลู่ เจ้าอย่ามีอคติกับเขานักเลย”

ลู่ลี่เซวียนกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้ข่งซิวผิง แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่พูดคำใด เพียงเหลือบมองข่งซิวผิงเท่านั้น

เขาไม่เชื่อว่าในใต้หล้านี้จะมีคนที่เป็นดั่งนักปราชญ์เช่นนี้ได้ ข่งซิวผิงผู้นี้… ภายภาคหน้าจะสานสัมพันธ์ฉันมิตรอย่างสนิทสนมไม่ได้

จากนั้นทั้งสามคนก็นำเทียบเชิญของตัวเองออกมาแสดงต่อหน้าคนเฝ้าประตู และเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน

งานเลี้ยงลู่หมิงจัดขึ้นในสวนดอกไม้ของที่ว่าการเมืองซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง โดยเฉพาะดอกหอมหมื่นลี้กับดอกพุดตานที่ปลูกไว้เต็มสองข้างทาง และยามนี้ดอกไม้เหล่านั้นก็กำลังแบ่งบาน ดอกพุดตานนั้นงดงาม ส่วนดอกหอมหมื่นลี้ก็มีกลิ่นหอมเย็นสบาย

เพราะงานเลี้ยงครั้งนี้มีผู้ตรวจการเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นขุนนางในเมืองผิงหยางจึงมาเข้าร่วมด้วย

แซ่ของผู้ตรวจการคือเฉิน อายุราวสี่สิบกว่าปี รูปร่างสมส่วน และเป็นขุนนางที่มีฐานะร่ำรวย

เขากล่าวเปิดงานซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการชี้ให้ผู้มาร่วมงานมองย้อนกลับไปในอดีต มองไปยังภายภาคหน้า และกล่าวให้กำลังใจหนึ่งรอบ เมื่อเขากล่าวจบก็มีขุนนางคนอื่นๆ กล่าวอะไรอีกสักครู่ ก่อนจะเป็นการขับบทกวี ‘ลู่หมิง’ และระบำขุยซิง[1] จากนั้นงานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น

คนที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ล้วนเป็นผู้ที่สอบผ่าน และเป็นคนของเมืองผิงหยาง หากสอบผ่านระดับเมืองหลวง แล้วทุกคนได้รับตำแหน่งขุนนางด้วยกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้จะถือว่าดียิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ยังไม่รู้จักกันจึงวุ่นอยู่กับการสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น

ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคือผู้ที่สอบได้อันดับสูงสุดในการสอบครานี้ เมื่อได้เห็นตัวจริงของชายหนุ่ม คนที่ไม่รู้จักต่างก็รีบเข้ามาทักทาย ไม่นานนักเขาก็กลายเป็นเหมือนพระจันทร์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยดวงดาวน้อยใหญ่

ชายหนุ่มรู้ว่าต้องวางตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่จำเป็น ถึงแม้เขาจะโดดเด่น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ได้เปรียบ แต่เขารู้จักวางตัวอย่างอ่อนน้อม ดูแล้วช่างสุภาพมีมารยาทยิ่งนัก

ขณะที่บุรุษซึ่งอยู่ในสวนดอกไม้ต่างวุ่นอยู่กับการทักทายเสวี่ยหยวนจิ้ง ใกล้กับกำแพงต้นสนที่ห่างออกไปช่วงถนนหนึ่งนั้น ก็มีสตรีสองนางกำลังมองไปที่เขา

สตรีสองนางนี้คือภรรยากับบุตรสาวของผู้ตรวจการเฉิน ฮูหยินเฉินมองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างละเอียด ก่อนจะหันไปพูดคุยกับบุตรสาวของตน

“คนผู้นี้คือผู้ที่สอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนในปีนี้ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ บุคลิกก็สง่างามใช้ได้ เหมยเอ๋อร์ ลูกคิดว่าระหว่างเขากับตันหงอี้ผู้ใดดีกว่ากัน”

บุตรสาวของผู้ตรวจการเฉินมีนามว่าเฉินอ๋าวเหมย คนก็เหมือนดั่งชื่อ แม้ว่าใบหน้าจะงดงาม แต่ก็ดูทะนงตัวเป็นอย่างมาก

เดิมทีนางไม่อยากมางานเลี้ยงในวันนี้เท่าไรนัก แต่มารดาบอกว่ามีชายหนุ่มมากความสามารถมาร่วมงานด้วย จะนั่งว่างๆ อยู่ในห้องก็กระไร มิสู้ออกไปดูให้เห็นกับตา จากนั้นมารดาก็บังคับนางให้ออกมาจากเรือน

นางมองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นชายหนุ่มมากความสามารถจำนวนไม่น้อย แต่ผู้ที่โดดเด่นท่ามกลางคนเหล่านั้นคือเสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้ และบังเอิญจริงๆ ที่คนหนึ่งสอบได้อันดับหนึ่ง ส่วนอีกคนได้อันดับสอง

ในใจของฮูหยินเฉินนั้นโน้มไปทางตันหงอี้มากกว่า แต่เฉินอ๋าวเหมยกลับสนใจเสวี่ยหยวนจิ้ง

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทันทีที่ได้เห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง หัวใจของเฉินอ๋าวเหมยเหมือนมีกวางน้อยวิ่งพล่านอยู่ก็ไม่ปาน และสายตาของนางนั้นเหมือนติดอยู่ที่ร่างของเขา ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปที่ใดได้

กระนั้นแม้หัวใจของนางจะเต้นแรงเพียงใด หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมารดาแล้ว สีหน้านางก็ยังคงเย็นชาและกล่าวเหยียดหยาม

“ก็แค่พวกบัณฑิตยากจนเท่านั้น ดูแล้วคล้ายกันไปหมด ไม่มีใครดีกว่ากัน”

เมื่อสิ้นประโยคนั้น หญิงสาวก็หมุนตัวเดินจากไป จากนั้นสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็รีบเดินตามนางไปทันที

ฮูหยินเฉินมองตามแผ่นหลังบุตรสาวที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมส่ายหน้าให้แม่นมที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ลูกสาวข้าคนนี้ สายตาช่างสูงส่งนัก หลายปีที่ผ่านมาเจรจาเรื่องการแต่งงานของนางไปไม่รู้ตั้งเท่าไร นางก็ยังไม่ถูกใจบุรุษสักคน เอาแต่บอกว่าต้องเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้าเท่านั้นถึงจะยอมแต่ง หลายวันก่อนได้ยินว่าการสอบครานี้มีบุรุษรูปงามมากความสามารถอยู่ไม่น้อย วันนี้ข้าจึงรบเร้านางให้ออกมากับข้าให้ได้ เพียงหวังว่าจะมีคนที่เข้าตานางบ้าง ข้าไม่รังเกียจว่าบุรุษผู้นั้นจะมีฐานะเช่นไร ข้าพร้อมจะบากหน้าขอร้องแม่สื่อไปเจรจากับเขาโดยเร็ว นึกไม่ถึงว่านางจะไม่ถูกใจใครสักคน”

เฉินอ๋าวเหมยปีนี้อายุสิบแปดปี อายุเท่านี้ถือว่าไม่น้อยแล้ว ดังนั้นฮูหยินเฉินจึงรีบร้อนเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว

แม่นมได้ยินเช่นนั้นก็ปลอบใจด้วยรอยยิ้ม “ใบหน้าของคุณหนูใหญ่นับว่างดงามหาผู้ใดเปรียบ ความสามารถของนางก็ยอดเยี่ยม แน่นอนว่าต้องเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้าเท่านั้นถึงจะเข้าตานาง ฮูหยิน ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ท่านลืมไปแล้วหรือ เมื่อต้นปีท่านได้ขอเนื้อคู่ให้คุณหนูใหญ่ที่วัดผู้เฒ่าพระจันทร์แล้ว เซียมซีนั้นบอกว่าเนื้อคู่ของนางได้เคลื่อนตัวแล้ว และจะปรากฏขึ้นในปีนี้เท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าเซียมซีของวัดผู้เฒ่าพระจันทร์นั้นแม่นยำยิ่งนัก ฮูหยินเจ้าคะ ปีนี้ท่านจะได้ดื่มน้ำชามงคลอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำปลอบใจเช่นนี้ ฮูหยินเฉินก็สบายใจได้บ้าง แต่ไม่นานนางก็กลับมาขมวดคิ้วดังเดิม และกล่าวด้วยความไม่สบายใจ

“แต่นี่ก็ใกล้จะพ้นปีนี้แล้ว ไม่รู้ว่าบุรุษที่เซียมซีกล่าวไว้นั้นจะปรากฏตัวเมื่อไร”

ถึงอย่างไรนางก็ยังกังวลกับเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อผู้ตรวจการเฉินกลับถึงเรือนหลังจบงานเลี้ยง นางจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

“ข้าว่าผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งกับอันดับสองนั้นก็ไม่เลว ใจจริงอยากเลือกหนึ่งในสองคนนี้ให้เหมยเอ๋อร์ของพวกเรา แต่ดูนางไม่ถูกใจใครสักคน ตอนนี้นางก็อายุสิบแปดปีแล้ว หากล่าช้ากว่านี้แล้วยังไม่รีบแต่งงานเสียที นางจะไม่กลายเป็นสาวเทื้อคาเรือนหรือเจ้าคะ ท่านพี่ ท่านว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรดี มิสู้ให้พวกเราเลือกแทนนางเลย เลือกใครก็ได้ในสองคนนี้ ส่งคนไปเจรจาเลยดีหรือไม่ ถึงอย่างไรตำแหน่งของท่านก็เป็นที่น่าเกรงขามในเมืองนี้ ข้าได้ยินว่าคนหนึ่งมาจากครอบครัวที่ทำการค้าขาย ส่วนอีกคนพ่อแม่ของเขาตายจากไปแล้ว ยังกลัวว่าพวกเขาจะไม่ตอบตกลงหรือเจ้าคะ”

เรื่องการแต่งงานของเฉินอ๋าวเหมยก็เป็นเหมือนโรคใจของผู้ตรวจการเฉินเช่นกัน เขาอยากจะแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจทำเหมือนที่ภรรยาของตนเอ่ยมา เพราะวันนี้เขาได้พูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งและตันหงอี้ ทั้งสองต่างเป็นคนมีความสามารถไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสวี่ยหยวนจิ้ง ชายหนุ่มเป็นคนนอบน้อม สุขุมลุ่มลึก ต่อไปต้องกลายเป็นเหมือนของล้ำค่าอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ผู้ตรวจการเฉินก็ยังคงส่ายหน้า

“ข้าได้รับจดหมายเซี่ยโส่วฝู[2] เมื่อสองวันก่อน เขาบอกว่าได้ให้สินบนแก่ขุนนางกรมพิธีการแล้ว สิ้นปีนี้ข้าจะกลับเมืองหลวงไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ เมื่อข้าได้รับตำแหน่งขุนนางประจำเมืองหลวงแล้ว เจ้ากับเหมยเอ๋อร์ก็ต้องเข้าเมืองหลวงตามข้าไปด้วย ในเมืองหลวงมีคนดีๆ อีกมากมาย หน้าตาของเหมยเอ๋อร์ลูกสาวเราก็งดงามไม่ใช่น้อย ยังต้องกังวลว่านางจะไม่ได้แต่งงานกับคนดีๆ อีกหรือ ตามความเห็นของข้า นางอาจได้เป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้เลยก็ได้ ดังนั้นเรื่องนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน หลังจากพวกเราเข้าเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากันอีกที”

เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนกำลังจะกล่าวบางอย่าง ผู้ตรวจการเฉินก็เอ่ยขึ้นมาอีก “หากเจ้าชอบเสวี่ยหยวนจิ้งและตันหงอี้ ปีหน้าพวกเขาต้องเข้าร่วมการสอบระดับเมืองหลวงใช่หรือไม่ เช่นนั้นรอให้พวกเขาสอบผ่านก่อนค่อยว่ากันอีกทีดีหรือไม่”

ผู้ตรวจการเฉินคิดว่า แม้ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งหรือตันหงอี้จะสอบผ่านระดับมณฑล แต่อาจจะไม่สามารถสอบผ่านระดับเมืองหลวง หากตอนนั้นพวกเขาทั้งสองล้มเหลวเล่า ไม่เท่ากับบุตรสาวของเขาจะไม่ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีที่สุดหรือ ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงรอดูไปก่อน

เมื่อฮูหยินเฉินได้ยินเช่นนั้น นางก็ได้แต่เห็นชอบด้วย

อีกด้านหนึ่งของเรือน ทันทีที่เฉินอ๋าวเหมยกลับมาถึงห้องของตัวเอง นางก็สั่งสาวใช้ที่ไว้ใจที่สุด “เจ้ารีบไปสืบมาว่าบุรุษที่ชื่อเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นเป็นคนเช่นไร”

สาวใช้รีบรับคำทันที ก่อนจะหมุนตัวแล้วจากไป

เฉินอ๋าวเหมยมองแผ่นหลังของสาวใช้ที่วิ่งออกไปไกล และคิดถึงภาพเสวี่ยหยวนจิ้งในแวบแรกที่นางมองเห็น

ชายหนุ่มสวมชุดที่มีสาบเสื้อตรงสีเทา ผูกผ้าสีเขียวไว้ที่เอวและแขวนหยกปลาคู่สีขาว ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม ยามสายลมอ่อนๆ พัดโชยมาก็ทำให้เสื้อกับผ้าผูกเอวนั้นปลิวไสวเบาๆ ที่สำคัญ… รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาช่างดูอ่อนโยนและสง่างามไม่มีสิ่งใดเปรียบจริงๆ

[1] การแสดงงิ้วที่ผู้แสดงจะแต่งตัวเป็นเทพขุยซิงหรือดาวแห่งการศึกษา เพื่ออวยพรบัณฑิตที่สอบผ่าน

[2] ตำแหน่งขุนนางอาวุโสระดับสูงสุด เทียบเท่ากับราชเลขาธิการ