สี่สิบ
เข้าเมือง (1)
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอื้อนเอ่ยคำใด แต่ดวงตาของเขาวูบไหว ขบกรามทั้งสองข้างแน่นจนนูนขึ้นมา และจ้องซุนซิ่งฮวาเขม็ง ราวกับนักล่ารอตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น รู้สึกได้ว่าอีกไม่นานเขาจะระเบิดออกมา
เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังไม่รู้ถึงความอันตรายของเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รับรู้ได้อย่างชัดเจน ต่อให้ซุนซิ่งฮวาปากร้ายเพียงใด แต่ถ้านางเป็นกวางจะวิ่งหนีทันหรือ เพียงเด็กหนุ่มเงื้อกริชขึ้น คอของกวางตัวนั้นก็ขาดโดยไม่รู้ตัวแล้ว
หากเรื่องวุ่นวายไปถึงจุดนั้น เกรงว่าชีวิตของเสวี่ยหยวนจิ้งกับเธอคงต้องจบสิ้น แม้โชคดีไม่ตาย ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้ก็หาความสุขไม่ได้
หลบซ่อนและอยู่กับความหวาดกลัวไปตลอดชีวิต เช่นนั้นคงแย่ทีเดียว ใครบ้างไม่อยากมีชีวิตที่ดี
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจโดยไร้เสียง ถึงอย่างไรเธอก็เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ เอาเถอะ เธอจะคุกเข่าขอโทษเอง สมมติว่าตอนนี้เธอต้องคุกเข่าให้ซุนซิ่งฮวาซึ่งเป็นมารดาผู้ล่วงลับแล้วกัน
เสวี่ยเจียเยว่คิดแล้วหันไปกล่าวกับซุนซิ่งฮวา “ท่านแม่เจ้าคะ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็เป็นคนผิด ท่านอย่าโทษท่านพี่อีกเลยเจ้าค่ะ เขาเองก็พูดเพื่อข้า ให้ข้าคุกเข่าขอโทษท่านเถอะเจ้าค่ะ”
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปคุกเข่าให้ซุนซิ่งฮวา แขนของเธอกลับถูกฉุดรั้งเอาไว้จนลุกออกไปไม่ได้
เธอหันไปมอง พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนดึงรั้งนั่นเอง จากนั้นเขาก็หรี่ตามองเธอ ดวงตาวูบไหวคู่นั้นทำให้เสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งทรุดเข่าทั้งสองข้างลง และก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ลูกพูดผิดไปแล้ว ลูกไม่ควรกระด้างกระเดื่องต่อท่าน ท่านโปรดให้อภัยด้วย”
ขณะที่เอ่ยประโยคนั้น น้ำเสียงเขายังคงราบเรียบ ไม่เผยความโกรธออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ราวกับตระหนักว่าตนทำผิดอย่างแท้จริง จึงคุกเข่าให้ซุนซิ่งฮวาและขอร้องให้นางอภัย
ซุนซิ่งฮวาเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งคุกเข่าต่อหน้าอย่างกะทันหัน นางก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นความรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่พลันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของนาง
นางหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ ก่อนจะชี้หน้าเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าไม่รู้จักวางตัวเช่นนี้แต่แรก ต่อไปเจ้าจงรู้เอาไว้ แม่ของเจ้าที่ตายไปเป็นผีแล้ว ไม่รู้ว่านางไปอยู่ภพภูมิใด เรือนหลังนี้มีข้าเป็นใหญ่ ต่อไปเจ้าควรรู้จักวางตัว อย่าได้ทะนงตัวต่อหน้าข้าให้มันมากนัก”
ซุนซิ่งฮวากล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องของตัวเองพลางหัวเราะไปด้วย
เสวี่ยหย่งฝูปรายตามองลูกชายพลางเอ่ย “เมื่อก่อนข้าเห็นเจ้าเคารพอ่อนน้อมต่อแม่ของเจ้ามาก แต่เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงทำกับซุนซิ่งฮวาเช่นนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนมีความรู้ ไม่รู้หรือว่าแม่เลี้ยงก็คือแม่ ถึงได้กล้ากระด้างกระเดื่องกับนาง ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้กับนางอีก ไม่อย่างนั้นคนกลางอย่างข้าจะลำบากใจ”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้อง คิดจะเข้าไปพูดเอาอกเอาใจซุนซิ่งฮวา
นัยน์ตาของเสวี่ยเจียเยว่พลันร้อนผ่าว เธอโน้มตัวลงประคองเสวี่ยหยวนจิ้งให้ลุกขึ้นด้วยสองมือ “ท่านพี่ ลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ” เสียงของเธอสั่นเครืออย่างกลั้นไม่ไหว
“ล้วนเป็นความผิดของข้า” น้ำตาไหลพรากอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ “เมื่อครู่ท่านไม่ควรพูดเพื่อข้าเลย นางจะดุด่าข้าเยี่ยงไรก็ให้นางด่าไป เพราะข้าไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยร้องไห้ด้วยความเสียใจ จึงตบหลังมือบอบบางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย เจ้าอย่าคิดมาก”
จากนั้นเขาเหลือบมองถ้วยกับตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอ่ย “เจ้ารีบนำถ้วยไปล้างตอนที่ยังมีแสงสว่างเถอะ หากช้ากว่านี้ฟ้าจะมืดลง และนางไม่มีทางจุดตะเกียงให้เจ้าอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าเผลอทำถ้วยแตกขึ้นมา นางจะด่าจะตีเจ้าเอาได้”
เมื่อกล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
“ท่านพี่” เสวี่ยเจียเยว่รีบเอ่ยเรียกเขาทันที “ท่านจะไปไหนเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งชะงักเท้า แต่เขาไม่ได้หันกลับไป เพียงเอ่ยตอบ “ข้ามิได้ไปไหน ข้าจะกลับเรือนไปอ่านตำราสักหน่อย”
เขาก้าวเท้าจากไปอย่างเงียบๆ
ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มอมแดงในยามพลบค่ำ เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังตั้งตรงที่โดดเดี่ยวของเสวี่ยหยวนจิ้ง น้ำตาไหลพรากลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างอดกลั้นไม่ไหว
เธอรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนทะนงตัวสูง เขาไม่มีทางยอมคุกเข่าให้คนที่ตนโกรธแค้น เดิมทีวันนี้เขาอาจไม่ถูกซุนซิ่งฮวากลั่นแกล้งจนกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเธอ
เขาเจ็บใจแทนเธอถึงได้กล่าวเช่นนั้น ขณะที่เธอกำลังจะลุกไปคุกเข่าให้ซุนซิ่งฮวา เขาก็รั้งเธอเอาไว้และคุกเข่าแทน ตอนนี้เขาต้องไม่สบายใจมากอย่างแน่นอน จึงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว
เมื่อเห็นเงาร่างของเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปในเรือนเก็บฟืนแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ถอนสายตากลับมา หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เธอก็เก็บถ้วยกับตะเกียบบนโต๊ะ ก่อนจะนำไปล้างในห้องครัว
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ล้างถ้วยกับตะเกียบเสร็จ ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ มืดลง เธอรีบใช้แสงสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ตักน้ำมาล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นจึงเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกแล้วขึ้นไปบนเตียง