สี่สิบ
เข้าเมือง (2)
ยามค่ำคืนในชนบทนั้นเงียบสงัด… เงียบจนผู้คนหวาดกลัว เมื่อสายลมพัดหวีดหวิวมาครั้งใด กระดาษหน้าต่างที่ทั้งเก่าทั้งชำรุดก็ปลิวสะบัดตามแรงลม และเสียงนั้นก็ดังชัดเจนอยู่ในใจของเสวี่ยเจียเยว่
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ภาพเสวี่ย-หยวนจิ้งคุกเข่าให้ซุนซิ่งฮวา และภาพแผ่นหลังตั้งตรงเป็นสง่าที่หายไปท่ามกลางบรรยากาศยามพลบค่ำ
เขาเป็นคนทะนงตัวมาก แต่วันนี้กลับคิดลดศักดิ์ศรีของตนเพื่อเธอ…
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก เมื่อเธอคิดทบทวนดีแล้ว จึงลุกขึ้นสวมเสื้อตัวนอกก่อนจะย่องไปเปิดประตูออกจากห้องของตนอย่างเงียบเชียบ
ประตูห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาปิดสนิท เธอเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านใน ก็คิดว่าพวกเขาคงนอนหลับไปตั้งนานแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่ย่องไปเปิดประตูห้องโถงแล้วก้าวออกจากเรือน โดยไม่ลืมหันกลับมาปิดประตู จากนั้นก็เดินไปยังเรือนเก็บฟืนของเสวี่ยหยวนจิ้ง
ประตูเรือนเก็บฟืนปิดสนิทเช่นเดียวกัน ขณะที่เธอคิดจะยกมือขึ้นเคาะ ก็นึกได้ว่าเด็กหนุ่มคงหลับไปแล้ว หากเธอเคาะประตูตอนนี้อาจทำให้เขาตื่นได้ ทว่าเมื่อเธอหมุนตัวจะเดินกลับนั้น พลันคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อีกครั้ง เสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่ปล่อยผ่านไปเร็วเช่นนี้ เธออยากเข้าไปสนทนากับเขา แม้ว่าจะปลอบใจเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมีคนคอยพูดคุยกับเขาสักคนก็ยังดี
ขณะที่เธอลังเลว่าควรเคาะประตูดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ เบาๆ และประตูไม้ที่อยู่เบื้องหน้ากำลังเปิดออก
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนเงยหน้าขึ้นทันที
ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์ เสวี่ยหยวนจิ้งยืนหรี่ตามองเธอด้วยสีหน้าอันราบเรียบ
“ท่านพี่” เธอมองเขาด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา
เสวี่ยหยวนจิ้งส่งเสียง “อือ” เบาๆ จากนั้นเขาก็หันไปด้านข้างและเอ่ยต่อ “เข้ามา”
เสวี่ยเจียเยว่ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนของเขาโดยไม่ลังเล
ภายในเรือนไม่ได้จุดตะเกียง เพราะซุนซิ่งฮวาไม่ให้เสวี่ยหยวนจิ้งใช้น้ำมันตะเกียงสักหยด กระนั้นก็โชคดีที่มีแสงสว่างจากดวงดาวและพระจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา จึงพอมองเห็นภายในเรือนบ้าง
ครึ่งหนึ่งของเรือนมีโต๊ะเล็กหนึ่งตัว เก้าอี้ไม้ไผ่ที่ทั้งเก่าและชำรุด และเตียงที่ทำจากแผ่นไม้อย่างลวกๆ ส่วนอีกครึ่งเต็มไปด้วยมัดฟางกับฟืน
เสวี่ยหยวนจิ้งบอกให้เสวี่ยเจียเยว่นั่งลงบนเตียง และอีกฝ่ายก็ไม่เอ่ยคำใด เพียงนั่งลงอย่างว่าง่าย
จากนั้นเขายกกาน้ำชาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และรินชาใส่ถ้วยให้แม่นางน้อย ทว่าเมื่อรินเสร็จแล้ว เขาก็ลูบผิวด้านนอกของถ้วยชา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะเช่นเคย
“ชามันเย็นแล้ว ดื่มไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย อย่าดื่มเลยจะดีกว่า”
เสวี่ยเจียเยว่ส่งเสียงรับคำอย่างแผ่วเบา พลางคิดว่าจะปลอบใจอย่างไรดี ถึงจะไม่ไปกระตุ้นความทะนงตัวของเขา
เธอเหลือบเห็นเด็กหนุ่มลากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมานั่งอยู่เบื้องหน้า และได้ยินเขาพูดอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาครั้งนี้เพราะคิดว่าข้าเสียใจกับเรื่องเมื่อตอนพลบค่ำ เจ้ากังวลว่าข้าจะไม่สบายใจ จึงตั้งใจจะมาปลอบใจข้า แต่เจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้ข้าคิดทบทวนจนเข้าใจแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมาปลอบใจข้าหรอก และไม่ต้องเป็นห่วงข้าด้วย”
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบใจเสวี่ยเจียเยว่เสียอย่างนั้น
“เรื่องนั้น… เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ที่นางทำเช่นนั้นกับข้า ไม่ใช่เพราะเจ้าทั้งหมด นางไม่พอใจข้ามาตั้งนานแล้ว หากไม่มีเรื่องในวันนี้ ก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี นางมักจะใช้เรื่องต่างๆ นานามาบังคับข้าให้ยอมจำนนต่อนาง”
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเมื่ออยู่ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์นั้นเป็นประกายดุจหยกที่ส่องแสงแวววาว ทั้งยังมีความอบอุ่นและนิ่งสงบ
เธอมักจะรู้สึกว่าตนนั้นเป็นคนพูดคุยกับคนเก่งที่สุด ทว่าเมื่อได้มองใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกไป
ราวกับไม่ต้องเอ่ยอะไร ก็เข้าใจทุกอย่างภายใต้ความเงียบเช่นนี้
กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ซาบซึ้งใจ…
คนที่ดีกับเธอในภพที่จากมามีเพียงไม่กี่คน ในภพนี้แทบไม่มีใครดีกับเธออย่างจริงใจสักคน ที่ผ่านมาเสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกลับห่วงใยเธอไม่น้อย
ตอนที่อยู่ในป่าลึกบนเขา เด็กหนุ่มบอกว่าจะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตน และจะดีกับเธอมากขึ้น ตอนนั้นเธอยังเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง เพราะเขาเย็นชาเหลือเกิน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปมาก แต่ตอนนี้เธอเชื่อแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะดูแลเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ เช่นเดียวกัน
“ท่านพี่” เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือไปจับแขนเรียวยาวของเด็กหนุ่ม มองเขาผ่านหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น “ต่อไปข้าจะดีกับท่านอย่างแน่นอน”
แม้ว่าภายในเรือนจะมืดสลัวจนเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นสีหน้าของเสวี่ย-เจียเยว่ไม่ชัดเจน แต่ขณะที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ เขาก็นึกถึงสีหน้าจริงจังของแม่นางน้อยได้
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มบางและตบมือเล็กที่จับแขนเขาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อือ ข้าจะคอยดูก็แล้วกัน”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง สายตาแน่วแน่จริงใจ
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันได้ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มก็บอกให้อีกฝ่ายกลับไป
“พรุ่งนี้พวกเราจะต้องเข้าเมืองกับท่านยายหาน จากที่นี่ไปไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ คงต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าอาจจะลุกไม่ไหว”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง
เสวี่ยหยวนจิ้งเปิดประตู มองเสวี่ยเจียเยว่เดินออกไป จนกระทั่ง
อีกฝ่ายผลักประตูเรือนหลักเข้าไปในห้องโถงและปิดประตูเรียบร้อย เขาถึงได้ปิดประตูเรือนของตน ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียง
ขณะที่กำลังเอนกายลงนอน เขามองหลังคามุงหญ้าด้วยแววตาราบเรียบนิ่งสงบ แต่ถ้าใครมองเขาอย่างละเอียด ก็จะพบว่านัยน์ตาของเด็กหนุ่มในยามนี้เหมือนคมมีดที่เปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมา
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มักจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่คนธรรมดาทนไม่ได้ เรื่องในวันนี้… เขาไม่มีทางลืมมันไปง่ายๆ เด็ดขาด ตราบใดที่ยังมีวันข้างหน้าก็ย่อมมีโอกาส เขาจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า
เขาคิดก่อนหลับตาลง และเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยลมหายใจสม่ำเสมอ
เช้าวันต่อมาเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ต่างตื่นแต่เช้า เมื่อทั้งสองล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็เดินไปที่เรือนของยายหานซึ่งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน และพบว่านางกำลังนำตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยเต้าหู้ซึ่งทำเสร็จเมื่อวานขึ้นไปบนรถลากล่อ โดยจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเรียก “ท่านยายหาน ข้ามาช่วยท่านแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเธอกล่าวจบก็รีบเดินไปช่วยยกตะกร้าหวายใส่เต้าหู้และของอื่นๆ ที่ทำมาจากถั่วเหลืองขึ้นไปบนรถลากล่อ
ยายหานได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินอยู่ด้านหลังเสวี่ยเจียเยว่ นางไม่รู้ว่าวันนี้เด็กหนุ่มจะเข้าไปในเมืองด้วย เมื่อเห็นเขามาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หลานจิ้ง เจ้าก็มาด้วยหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ใช่คนชอบโกหก เนื่องจากกลัวว่าเขาจะลำบากใจ เธอจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อวานข้านำเต้าฮวยของท่านกลับไปให้ท่านพี่ เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ท่านจะเข้าเมืองไปขายเต้าหู้ เพราะเขากลัวว่าข้าจะแรงน้อย ช่วยเหลือท่านได้ไม่มากนัก อาจจะเป็นภาระของท่านเสียมากกว่า เขาจึงอยากจะไปกับข้าเพื่อช่วยท่านขายเต้าหู้เจ้าค่ะ”
ด้วยกังวลว่ายายหานจะไม่ยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปด้วย เธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีก “หลายวันก่อนท่านพี่บอกว่าอยากจะเข้าเมืองไปซื้อตำรา แต่ก็ไม่ว่างเสียที ในหมู่บ้านไม่มีรถม้าเข้าเมือง แต่โชคดีที่วันนี้ท่านยายเข้าเมือง ท่านพี่เลยอยากจะไปช่วยท่านด้วย และอยากจะอาศัยนั่งรถลากล่อ พอท่านขายเต้าหู้หมดแล้ว เขาก็อยากจะใช้โอกาสนี้ไปดูตำราเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านยายจะอนุญาตให้ท่านพี่ไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
ยายหานเอ็นดูเสวี่ยหยวนจิ้งมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าเขาอยากจะมาช่วยเหลือตน เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธเพราะความเกรงใจ ทว่าหลังจากได้ยินเสวี่ยเจียเยว่บอกว่าเขาจะเข้าเมืองไปดูตำรา นางก็รีบเอ่ยตกลงทันที
เสวี่ยเจียเยว่ขานรับด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ ก่อนจะเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งมายกตะกร้าหวายที่เหลืออยู่สองใบไปไว้บนรถลากล่อ จากนั้นทั้งสองคนก็ขึ้นไปนั่งรอ เมื่อยายหานคล้องโซ่ใส่กุญแจประตูลานเรือนเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไป
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ขับรถลากล่อไม่เป็น ดังนั้นหน้าที่นี้จึงเป็นของยายหาน
รถที่ใช้ล่อลากคันนี้ยายหานขับจนชำนาญแล้ว ตอนที่สะบัดเชือกนางไม่ได้ลงน้ำหนักไปที่ก้นของล่อ เพราะแค่ได้ยินเสียงเชือกปะทะอากาศ มันก็วิ่งไปข้างหน้าเอง
ยามนี้ยังเช้าอยู่มาก รอบด้านจึงมีแสงสว่างรำไร ม่านฟ้าสีน้ำเงินเข้มยังคงมีแสงดาวพร่างพราว น้ำค้างปกคลุมใบหญ้าเหี่ยวเฉาบนพื้นดินราวกับหิมะตกก็ไม่ปาน
ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ บนเส้นทางยังปราศจากผู้คนสัญจรไปมา มีเพียงนกที่กำลังโบยบินออกจากกิ่งไม้เท่านั้น
แม้อากาศจะเย็นยะเยือก ยามที่ลมพัดต้องใบหน้าก็หนาวเหน็บไม่น้อย ทว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับมีความสุขยิ่งนัก
ขอเพียงได้ออกมาจากเรือนหลังนั้น ไม่ได้เห็นหน้าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย อีกทั้งตั้งแต่ข้ามภพมาเป็นเวลากว่าครึ่งปี ในที่สุดเธอก็ได้ออกมาดูโลกภายนอกเสียที
เธอสนทนากับยายหานอย่างมีความสุขตลอดทาง บางครั้งบางคราก็จะเอ่ยถามถึงสภาพแวดล้อมในเมืองว่าเป็นอย่างไร
ยายหานคิดเพียงว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่เคยเข้าเมืองจึงดูสนใจยิ่งนัก ซึ่งนางก็ตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับรู้ว่าไม่ใช่แค่นั้นอย่างแน่นอน
หากเพียงสนใจเรื่องทั่วไปในเมือง จำเป็นต้องถามละเอียดขนาดนี้เชียวหรือ อีกอย่าง… เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่นางน้อย ต่อให้เจ้าตัวพยายามปกปิดความกระตือรือร้นเพียงใด ทว่าเขากลับฟังออกว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายกำลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกภายนอกอยู่ ถึงขั้นถามว่าของบางอย่างไม่มีในเมืองเล็ก หากอยากได้ต้องเข้าไปถึงเมืองหลวงใช่หรือไม่
‘นางรู้มากแค่ไหนกันแน่…’
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้เรื่องต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งเรื่องที่เขาไม่เคยรู้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็เม้มริมฝีปากบาง สายตาจับจ้องไปที่แม่นางน้อยโดยไม่เอ่ยคำใด
เขารู้สึกว่าการที่จะควบคุมน้องสาวผู้นี้คงทำได้ไม่ง่ายนัก กระทั่งตัวเขาเองยังควบคุมไม่ได้ และการได้รู้เช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มไม่สบายใจนัก
ลมหนาวพัดโชยตลอดทาง ขอบฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น และขณะที่พระอาทิตย์กำลังลอยขึ้นมาให้เห็นนั้น ทั้งสามคนก็เข้าไปถึงตัวเมืองแล้ว ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ในภพที่จากมา ตากับยายของเธอก็อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก บางครั้งเธอจะไปซื้อของที่ตลาดเช้ากับพวกท่าน แม้ผู้คนจะไม่ได้เดินกันขวักไขว่จนเบียดเสียด แต่ก็มีมากกว่าตอนนี้…
เสวี่ยเจียเยว่มองทางเดินที่เต็มไปด้วยโคลนเลนเบื้องหน้า สองข้างทางเป็นเรือนหลังเตี้ย และมีต้นหลิวที่คดงออยู่หนึ่งต้น เพราะยามนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ใบหลิวจึงร่วงหล่นไร้ชีวิตชีวา
ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนขาดสีสัน อีกทั้งคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังมีไม่มากนัก
เธอหวนนึกถึงความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านในภพที่จากมา ในรัชศกเทียนเป่าแห่งราชวงศ์ถังเป็นช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด มีราษฎรอยู่เพียงหนึ่งพันห้าร้อยครัวเรือน หรือแปดพันคนโดยประมาณ แต่เป็นยุคที่ผู้คนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นอย่างมาก…
เอาเถอะ… คงเป็นเพราะตอนนั้นเธอดูโทรทัศน์ในช่วงเทศกาล ซึ่งมีคนเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ กันอย่างหนาแน่น จึงคิดว่าเมืองแห่งนี้จะมีคนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ทั้งสองคนช่วยยายหานยกตะกร้าหวายบนรถลากล่อลงมานั่งอยู่ริมทางเดิน
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าตนสามารถช่วยยายหานเรียกลูกค้าได้ ทว่าเสวี่ย-หยวนจิ้งเป็นคนทะนงตัวสูงและมีการศึกษา เขาต้องไม่ยอมทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน เธอจึงบอกให้เด็กหนุ่มไปเดินเล่น รอสักพักค่อยกลับมา แต่เขาไม่ยอมไป เพียงยืนมองเธออยู่ข้างๆ เท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเขาคงมาเพื่อสังเกตเธอกระมัง… เหตุใดถึงได้ทำเหมือนเธอจะหนีไปอย่างไรอย่างนั้น
ขณะเดียวกันเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังเชื่อในความคิดของตน จึงอยากให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาเพื่อความสบายใจ
และด้วยการจับตามองอีกฝ่ายตลอดเวลา ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าการคำนวณเงินของแม่นางน้อยยอดเยี่ยมนัก
สิ่งที่ยายหานนำมาขายในวันนี้ไม่ได้มีเพียงเต้าหู้เท่านั้น แต่ยังมีของอื่นๆ อย่างเช่น ถั่วลันเตาตากแห้ง ของที่ทำจากถั่วประเภทต่างๆ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายจึงต่างกัน ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าต้องจ่ายเงินเท่าไร ทำให้ยายหานเอ่ยชมไม่หยุด
“เอ้อร์ยาช่างคิดเงินเก่งจริงๆ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นนายบัญชีที่ทำหน้าที่คิดบัญชีเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ต้องดีดลูกคิดถึงจะสามารถบอกราคารวมได้ แต่ดูเจ้าสิ ตอบออกมาได้ทันที ข้าว่าต่อไปเจ้าต้องได้เป็นนายบัญชีอย่างแน่นอน”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น หัวใจก็เต้นรัวทันที แต่แสร้งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่าท่านยายหาน มีสตรีเรียนบัญชีที่ไหนกัน นายบัญชีไม่ใช่ว่ามีแต่บุรุษหรือเจ้าคะ”
ยายหานชั่งเต้าหู้แล้วใส่ลงไปในตะกร้าหวายของลูกค้าผู้หนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ไหน เหตุใดสตรีจะเป็นนายบัญชีไม่ได้ ในเมืองแห่งนี้มีเจ้าของร้านขายของป่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง การค้าขายของนางก็รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่านางได้ไปขายไกลถึงเมืองหลวง ในเมืองนี้เดิมทีก็มีร้านขายของป่าอีกหนึ่งร้าน เจ้าของร้านเป็นบุรุษ แต่การค้าขายสู้เจ้าของร้านที่เป็นสตรีไม่ได้ เขาจึงใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกลั่นแกล้งนาง ทว่าสุดท้ายก็ถูกนางเอาคืน ทำให้ร้านของเขาต้องปิดไป เรื่องนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ ใครๆ ต่างก็พากันเอ่ยชมว่านางเก่งกาจยิ่งนัก”
หลังจากฟังยายหานพูดจบ หัวใจเสวี่ยเจียเยว่พลันสั่นไหวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถาม “ร้านของสตรีผู้นั้นอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านยายหาน อีกประเดี๋ยวข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย ท่านอนุญาตหรือไม่เจ้าคะ”
“เหตุใดข้าจะไม่ให้เจ้าไปเล่า” ยายหานเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “อีกประเดี๋ยวพอขายเต้าหู้ใกล้จะหมดแล้ว เจ้ากับพี่ชายเจ้าก็ไปเดินเล่นเถอะ เพราะนี่เป็นการเข้าเมืองครั้งแรกของพวกเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่ขานรับด้วยความดีใจ ในใจก็เริ่มวางแผน ที่แท้ในยุคนี้มีผู้หญิงทำการค้าขายแล้ว แต่ยังสอบคัดเลือกขุนนางไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเขียนบทความในการสอบ เพียงแค่จะเข้าสนามสอบก็ต้องตรวจค้นร่างกายแล้ว เมื่อพวกเขาลูบคลำไปมามิใช่จะรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือ ส่วนเรื่องที่เป็นนักบัญชีหรือนายบัญชีนั้นน่าสนใจไม่น้อย
แต่เธอเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันไม่ได้ ควรจะทำเช่นไรดี…
เมื่อคิดทบทวนแล้วก็นึกได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเขียนพู่กันได้ ให้เขาสอนเธอเขียนคงไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด
ขณะที่เธอกำลังคิดเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้นข้างๆ
“ท่านยายหานบอกว่าแม้สตรีผู้นั้นจะเก่งกาจ สามารถดูแลร้านขายของป่าขนาดใหญ่ได้เพียงคนเดียว แต่ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่ได้ออกเรือน ต้องอยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือน เพราะบุรุษไม่สามารถยอมรับได้หากภรรยาของตนเก่งกาจเกินไป”