เล่มที่ 2 บทที่ 55 วิกฤตแสนสาหัส

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลังจากหลินเมิ้งหยากลับมาจากห้องอ่านหนังสือ แม้บนใบหน้าจะยังประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม แต่นางกลับไม่ชอบออกไปจากสวนหลิวซินอีก

    เจียงหรูฉินและหลินเมิ้งหวู่ยังคงอยู่ที่นี่ เพียงแค่ไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งยโสโอหังอีก

    สุดท้าย เหล่าข้าทาสในจวนต่างรู้สึกยินดีปรีดา ผิดกับบ่าวรับใช้ในสวนหลิวซินอย่างสิ้นเชิง

    “พวกเจ้าคิดว่านายหญิงกับท่านอ๋องทะเลาะกันหรือไม่?” ป๋ายซ่าวกระซิบถามเสียงเบา สายตาเหลือบมองทางประตูใหญ่ของตำหนักอย่างเป็นห่วง

    ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องทำ หลินจงอวี้และสาวใช้อีกสามคนนั่งอยู่ในห้องเล็กของสวนหลิวซิน ก่อนจะแอบกระซิบกระซาบ

    “ข้าว่าไม่ใช่ นายหญิงกับท่านอ๋องยังคงรักกันดี พวกเจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลย หากนายหญิงได้ยินเข้าจะไม่ดี”

    ป๋ายจีที่อายุมากสุดกลับเข้าใจเป็นอย่างดี เสื้อผ้ารองเท้าของเด็กทั้งสามฉีกขาดก็เป็นนางที่คอยซ่อมให้

    ดังนั้นนางจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดเช่นนี้

    “พี่สาวหาได้ขี้น้อยใจเช่นนั้นไม่ ในสายตาของข้า จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทั้งสองจะต้องเป็นตัวการทำให้พี่สาวโกรธอย่างแน่นอน”

    ใบหน้าหล่อเหลาของหลินจงอวี้แข็งทื่อขึ้นมา ช่วงนี้เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของพี่สาวไม่เปล่งประกายเหมือนก่อน

    แต่เขาไม่มีวิธีไหนจะช่วยพี่สาวได้เลย

    หากเขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์แบบนี้ก็คงดี

    เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่ทางด้านนอก ภายในห้องกลับเกิดบรรยากาศน่าอึดอัด

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนโต๊ะขีดๆ เขียนๆ ชิงหูกลับนั่งอยู่บนโซฟาตัวนุ่มนิ่มด้วยท่าทางผ่อนคลาย

    “เจ้าเด็กน้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไร คำจำกัดความที่ใช้กับเหยียก็คือคำว่าสวยจนอยากกลืนกิน แต่ทุกครั้งที่เหยียมาหาเจ้า เจ้ากลับไร้หัวใจ แสดงท่าทีเหมือนมองไม่เห็นเหยียอย่างไรอย่างนั้น”

    ชิงหูยังคงใช้เสียงที่ไม่น่าฟังดังเดิม ทว่าหลินเมิ้งหยาเคยชินแล้ว ดังนั้นจึงมิได้ใส่ใจ

    หลายวันมานี้ ชิงหูยังคงแอบไปขโมยพระราชโองการของแต่ละบ้าน แต่เวลากลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ

    หากอ้างอิงจากคำพูดของเขา นายจ้างเป็นคนใจร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องทำเรื่องอื่น

    “หากเจ้าคิดจะเปลี่ยนไปเป็นหัวขโมย ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนเลยว่าให้ออกห่างจากจวนของข้าไปไกลๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะนำตัวเจ้าเข้าวังแล้วทำเป็นขันทีเสีย”

    ไม่แม้แต่จะเงยหน้า แต่กลับส่งสัญญาณเตือนทางคำพูดให้ชิงหูหุบปาก

    ครู่ต่อมา ชิงหูที่กำลังเบื่อหน่ายลุกขึ้นเดินไปเดินมา เขาเดินเข้าไปดูภาพที่หลินเมิ้งหยาขีดๆ เขียนๆ ตั้งแต่เช้า

    บนกระดาษใบนั้นล้วนมีแต่ตัวอักษรที่เขาไม่รู้จัก

    นิ้วเรียวยาวของชิงหูพลันเคาะลงบนตัวอักษรขดๆ ม้วนๆ และมีจุดสัญลักษณ์คล้ายกับดอกไม้บนกระดาษ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    “นี่เป็นตัวอักษรของประเทศใดกัน? เหตุใดเหยียจึงไม่รู้จัก?”

    หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะใช้พู่กันตีนิ้วมือเขาออกไป

    “อืม เพราะเจ้าไม่มีคุณธรรม”

    อ่านออกสิแปลก หลินเมิ้งหยาใช้ความทรงจำในชาติปางก่อนมาจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้

    อันดับแรกคือมีคนยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างวานมือสังหารเถาฮวาอู๋มาปลิดชีวิตนาง

    ต่อมา ฮองเฮาส่งทรายหมิงซามาให้

    สุดท้าย ชิงหูขโมยพระราชโองการของแต่ละบ้าน

    ทั้งหมดนี้ดูไม่เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย แต่นางกลับรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด

    อันที่จริงขอเพียงชิงหูบอกชื่อผู้ว่าจ้างมา เรื่องทั้งหมดจะคลี่คลายทันที

    แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าเด็กนี่เก็บงำความลับเอาไว้อย่างดีเยี่ยม

    ไม่ว่านางจะบีบบังคับหรือหว่านล้อมอย่างไรเขาก็ไม่พูด อีกทั้งยังมาพักผ่อนที่ตำหนักของนางด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ

    โชคดีที่สาวใช้ทั้งสามและหลินจงอวี้เป็นคนสนิทของนาง ไม่เช่นนั้นข่าวฉาวต่างๆ นานาคงลือสะพัดไปทั่วทั้งเมือง

    “คุณธรรมคืออัญมณีอย่างนั้นหรือ? หากมีแล้วจะอ่านตัวอักษรพวกนี้ออกใช่หรือไม่? เจ้าบอกเหยียมาสิว่าของสิ่งนั้นมีอยู่ที่ไหน?”

    ชิงหูลืมตาโต ราวกับว่าหาของเล่นชิ้นใหม่เจอ

    มุมปากของหลินเมิ้งหยาหยักยิ้มขึ้น ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

    “คนโง่ ต้องอ่านหนังสือมากๆ หากอ่านหนังสือมากแล้วก็จะมีคุณธรรม”

    นางยื่นมือเข้าไปขยำกระดาษบนโต๊ะแล้วโยนทิ้ง

    “เจ้าเด็กบ้า! นี่เจ้ากล้าว่าเหยียโง่อย่างนั้นหรือ เหยียจะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว!”

    ใบหน้าที่เคยฉีกยิ้มให้นางเมื่อครู่พลันหายไปในชั่วเวลาเพียงหนึ่งวินาที

    หลินเมิ้งหยามองดูกระดาษโดยไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แต่ผลปรากฏว่าลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นได้หายไปแล้ว

    นางไม่รู้ว่าเลยว่าสรุปแล้วชิงหูมาที่นี่เพื่อสอดแนมหรือไม่?

    คิดจะเล่นกับนาง ชิงหูผู้นี้ยังไม่เก่งพอหรอก

    “พวกเจ้าสี่คนดูแลบ้านให้ดี ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา”

    ในที่สุดชิงหูก็จากไป หลินเมิ้งหยาจึงเดินออกจากสวนหลิวซิน

    หลินขุยรอหลินเมิ้งหยาอยู่นานแล้ว พยักหน้าลง ทั้งสองแอบเดินตรงไปยังประตูหลังของจวน

    ขึ้นไปบนรถม้าขนาดเล็ก ไม่นานรถม้าที่ไม่โดดเด่นคันนั้นก็แล่นหายไป

    รถม้าแล่นค่อนข้างเร็ว หลินเมิ้งหยาลอบสำรวจบริเวณข้างทาง สุดท้ายมันหยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง

    “ที่นี่เคยเป็นโรงน้ำชาเก่าของเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะมีข่าวลือเรื่องผีสาง ดังนั้นท่านอ๋องจึงซื้อมาในราคาถูก ศพของผอจื่อคนนั้นถูกเก็บรักษาไว้ในโรงน้ำแข็งพ่ะย่ะค่ะ”

    หลินขุยรายงานเสียงเบา หลินเมิ้งหยามองดู ที่แท้ทางที่นางเข้ามาคือประตูหลังของโรงน้ำชา

    “ของที่ข้าสั่งให้เจ้าเตรียม เจ้าเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

    สีหน้าหลินขุยเปลี่ยนไป ก่อนจะหยิบห่อผ้าใบออกมา

    “กระหม่อมหาช่างที่มีฝีมือดีที่สุดทำมันขึ้นมา พระชายา…ท่านต้องการ…”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง รับห่อผ้าใบ

    “ศพคือคำบอกใบ้สุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้บนโลกนี้ ข้าจะต้องผ่ามันออกดู”

    นี่คือประโยคที่เพื่อนนักเรียนแพทย์ด้วยกันมักจะพูด เมื่อก่อนหลินเมิ้งหยาไม่ได้สนใจอะไร ทว่าตอนนี้นางพบว่ามันช่างมีเหตุผลเหลือเกิน

    ทว่าหลินขุยที่อยู่ทางด้านหลังกลับรู้สึกเย็นวาบ พระชายาพระองค์นี้ใจกล้าเหลือเกิน

    เดินเข้าไปยังโรงน้ำแข็ง ทว่าภายในโรงน้ำแข็งแห่งนั้นกลับมีคนยืนอยู่ก่อนแล้วสองสามคน

    หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ด้านในสุด เขากำลังจ้องมองศพที่อืดบวมและเปียกชื้น สีหน้าเคร่งขรึม

    “พระชายา”

    ทุกคนหันมาโค้งคำนับให้พระชายา นางไม่พูดจาให้มากความ แต่กลับเดินตรงไปยังศพที่ถูกวางอยู่ตรงหน้า

    “พวกเจ้าหลบไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะทำการผ่าศพ หากไม่อาจทนมองได้ก็ออกไป”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้แววตาของพวกผู้ชายเปลี่ยนไป

    ในใจคิด พระชายาเป็นผู้หญิงแต่กลับไม่กลัว หากพวกเขาที่เป็นชายหวาดกลัวหัวหดจะไม่น่าขันหรือ?

    ทว่าครู่ต่อมาพวกเขากลับต้องเจอภาพน่าสยดสยองที่ยากจะลืมเลือน

    ไม่มีถุงมือยาง หลินเมิ้งหยาสั่งให้หลินขุยเตรียมไส้ที่ล้างจนสะอาดและเย็บเรียบร้อยแล้วเอาไว้

    ภายในผ้าใบ เมื่อเปิดออกจะได้พบกับมีดผ่าตัดที่ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ

    หลินเมิ้งหยาเป็นคนทำผ้าปิดปากด้วยตนเอง ตรงกลางอีกชั้นใส่เศษขี้เถ้าเอาไว้

    ตรวจสอบศพตรงหน้าให้ละเอียด ไม่ยอมมองข้ามแม้แต่เพียงจุดเดียว

    “ท่านอ๋อง พระชายา…แบบว่า…”

    แม้จูเฉียงจะเป็นแม่ทัพ ออกรบและฆ่าคนตายนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยเจอใครทำกับศพเช่นนี้

    “อย่าพูด เงียบซะ”

    น้ำเสียงเย็นชาถูกส่งออกมา จูเฉียงรีบปิดปากสนิท เขาต้องการขอความเมตตาจากท่านอ๋อง หากเขาตายในสนามรบ เขาจะถูกพระชายากระทำเช่นนี้หรือไม่

    ใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของผอจื่อ หลินเมิ้งหยาผ่าศพออกด้วยความชำนาญ

    ตอนแรกยังรู้สึกลังเล แต่สุดท้ายแล้วหลินเมิ้งหยาก็อาศัยความคุ้นเคยในการผ่าตัด

    ท่าทางชำนาญการราวกับว่าเคยทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    “พระ…พระชายา ท่านต้องการเวลาอีกนานหรือไม่?”

    คราวนี้จูเฉียงที่เคยไม่พอใจในตัวหลินเมิ้งหยาเริ่มยอมรับในตัวนาง

    อีกทั้งยังรู้สึกเคารพนับถือ

    “เสร็จแล้ว พวกเจ้ามาดูสิ”

    หลินเมิ้งหยาหันไปมองพวกผู้ชายที่มีใบหน้าขาวซีด เป็นลูกผู้ชายกันมิใช่หรือ เหตุใดจึงแสดงท่าทางเช่นนี้

    จัดระเบียบอวัยวะภายในให้อยู่เป็นสัดส่วน ดูเหมือนวิชาการผ่าตัดที่นางเคยได้ A ตลอดสามปีที่เป็นนักเรียนแพทย์จะยังมีประโยชน์

    “ผู้ตายเป็นเพศหญิง อายุราวสี่สิบห้าถึงห้าสิบปี เคยมีลูกมาก่อน สาเหตุการตายคือถูกยาพิษ เวลาการตายถูกบิดเบือน คนที่เข้ามาในตำหนักของข้าในวันนั้นไม่ใช่นางอย่างแน่นอน”

    ทุกคนหันหน้าสบตากัน นี่พวกเขาเจอผีอย่างนั้นหรือ?

    “ไม่ใช่ผี นางตายไปแล้ว แต่มีคนแอบอ้างว่าเป็นนาง”

    หลินเมิ้งหยาถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดสีแดงเข้มออก ก่อนชี้ไปทางแขนขาของนาง

    “ก่อนเกิดเรื่องนางถูกหักแขนขา บนแขนขามีรอยปรากฏให้เห็น ลิ้นเองก็ถูกตัด สามารถอนุมานว่าเป็นการตายของนางได้ หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือนางเคยถูกทรมานมาก่อน”

    หลินเมิ้งหยามองดูใบหน้าขาวซีดของศพ เงียบไปไม่พูดอะไร

    นางเกลียดการที่คนบริสุทธิ์ต้องถูกฆ่า ทั้งที่มีวิธีการอื่นๆ อีกมากมาย

    คนที่ทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้ได้ นางจะไม่มีวันใจอ่อนเด็ดขาด

    ผอจื่อคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แต่กลับถูกทำร้ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำร้ายช่างเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต

    “หลินขุย เจ้าจงตามหาครอบครัวของผอจื่อแล้วมอบเงินค่าทำขวัญ จากนั้นรีบฝังนางให้ไปสู่สุคติ”

    “ช้าก่อน หลินขุยไปซื้อเสื้อผ้าห่มศพมาให้ข้าที ข้าต้องการห่อร่างของนาง เราควรให้เกียรตินาง”

    หลินเมิ้งหยาหยิบเข็มขึ้นมา จากนั้นร้อยด้ายแล้วเย็บร่างของผอจื่อ

    ทุกคนมองดูพระชายาเงียบๆ ศพที่ถูกผ่าจนละเอียดค่อยๆ ถูกเย็นจนร่างกายประกบติดกันและกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง

    “เอาล่ะ ไปซื้อโลงศพมาเถอะ”

    หลินเมิ้งหยาวางเข็มในมือลง เดินออกจากโรงน้ำแข็งเป็นคนแรก

    นัยน์ตาของทุกคนสั่นไหวเล็กน้อย

    ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพระชายาไม่เคยสนใจความเป็นความตายของผู้อื่น ทว่าตอนนี้พวกเขากลับได้เห็นนางแสดงความเคารพกับศพคนที่ไม่รู้จัก

    บางที…พวกเขาคงเข้าใจนางผิดไป

    “เจ้า…” หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด วันนั้นที่ห้องอ่านหนังสือ เขาเคยว่ากล่าวหลินเมิ้งหยาเช่นนั้น

    ทว่าตอนนี้สิ่งที่นางทำทั้งหมดล้วนเป็นการประท้วงเขาเงียบๆ นางใช้วิธีของนางมาประท้วงเขา

    “ท่านอ๋อง บนโลกใบนี้มีการปลอมตัวจริงๆ หรือ? หากวันนั้นเป็นคนอื่นปลอมตัวเป็นผอจื่อเข้ามา ถ้าเช่นนั้นสุดท้ายแล้วจวนอวี้มีคนของตัวเองกี่คน และมีคนของศัตรูที่ถูกส่งมากี่คนกัน?”

    เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ด้านนอกโรงน้ำแข็งคือสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยวัชพืช