“ดูท่าเจ้าจะยังไม่สำนึก!”
ฮองเฮาแผ่รังสีอำมหิต ขอเพียงนางออกคำสั่ง พรุ่งนี้ข่าวการตายของพระชายาอวี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง
ที่แท้นางก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถึงอย่างนั้นตัวนางเองก็ยังมีแผนอื่น นางจะใส่ร้ายป้ายสีพระสนมเต๋อเฟยให้ได้รับความผิดตายตกตามกันไป
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง หม่อมฉันแนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจจะดีกว่าเพคะ พ่อของหม่อมฉันเป็นผู้นำทัพที่มีทหารอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาถึงสามแสนคน ตอนนี้กำลังต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่เป่ยกวาน หากพระองค์ประหารหม่อมฉัน เกรงว่าท่านพ่อจะเสียใจจนมิเป็นอันทำอะไร หากไม่อาจเอาชนะสงครามได้และปล่อยศัตรูเข้ามาจะเกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ฮองเฮาได้สติ
หลินมู่จื่อเปรียบเสมือนเทพเซียนที่นำทัพออกรบจนได้รับชัยชนะอย่างมากมายเพื่อฮ่องเต้ ทว่าเขากลับรักและเอ็นดูหลินเมิ้งหยาเหลือเกิน
น้องสาวของนางเคยระบายความโกรธให้นางฟังหลายต่อหลายครั้ง
“ไม่มีทางเลือก เปิ่นกงคงต้องปิดข่าว รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับมา ค่อยบอกข่าวคราวของเจ้าแก่เขา”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า รู้สึกได้ว่าฮองเฮาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
แม้แต่เรื่องต่ำทรามเช่นนี้ยังคิดออกมาได้
“ปิดข่าว? ฮองเฮาเหนียงเหนียง พ่อของหม่อมฉันเป็นจอมพลที่เหล่าข้าราชบริพารเคารพนับถือ อีกทั้งยังรั้งตำแหน่งเจิ้นหนานโหว เป็นแม่ทัพของทหารสามแสนกว่าคน ไม่เคยรบแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ฝีมือในการต่อสู้ล้ำเลิศ ดังนั้นพ่อของหม่อมฉันจึงมีข้าราชบริพารทั้งเก่าและปัจจุบันมากมายเคารพนับถือ วันนั้นพระองค์สั่งให้จับตัวหม่อมฉันออกจากงานเลี้ยงฉลองกะทันหัน เกรงว่าป่านนี้ข่าวคงถูกส่งไปถึงเป่ยกวานแล้วเพคะ”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงกดดัน ราวกับว่านางหาได้กลัวเกรงต่อคำสั่งประหารของฮองเฮาไม่
“หม่อมฉันขอถามหน่อยว่าพระองค์จะปิดข่าวเช่นไร จะปิดบังเรื่องนี้ต่อผู้คนที่ล้วนมีปากติดตัวได้อย่างไร?”
บรรยากาศเงียบสงบและเย็นยะเยือก หลินเมิ้งหยากำลังรอโอกาส
ตอนนี้หากใครพูดก่อน หากใครประนีประนอมก่อนจะได้รับอำนาจในการต่อรองจากอีกฝ่าย
“ได้ บุตรสาวของเจิ้นหนานโหว ในเมื่อเจ้ากล้ามากขนาดนี้ เปิ่นกงสามารถปล่อยเจ้าไปได้ แต่เปิ่นกงอยากรู้ว่าเจ้าทำอะไรกับไท่จื่อ?”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะกลายเป็นผู้กุมอำนาจอีกครั้ง
“ภาคเหนือมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ามี่หลัว ดอกไม้ชนิดนี้หนึ่งฤดูกาลจะเบ่งบานเพียงหนึ่งครั้ง สีสันสวยงาม แต่กลับไร้ซึ่งกลิ่น ดอกมี่หลัวทำเพียงผลิดอกแต่ไร้ผล หากถูกวัวหรือม้ากินเข้าไปจะทำให้ไม่อาจมีลูกได้ ตอนแรกหม่อมฉันเพียงแต่คาดเดา ดังนั้นจึงใส่ยาถอนพิษเอาไว้เล็กน้อยในอาหารที่ไท่จื่อเสวยในวันนั้น หากไท่จื่อโดนพิษของยาตัวนี้จริง อีกไม่กี่วันไท่จื่อจะหลับใหลและไม่อาจเสวยสิ่งใดได้อีก”
แม้ว่าเรดาร์ตรวจสอบยาพิษในสมองของนางมักสร้างปัญหาให้นางตลอดเวลา
แต่ในช่วงเวลาสำคัญ มันกลับสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
วันนั้นตอนที่ไท่จื่อเดินผ่านนางไป สมองของนางพลันปรากฏชื่อยาเหล่านั้นขึ้นมา
นางครุ่นคิด ก่อนจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นไพ่ตาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้มันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ฮองเฮามองหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อหวนคิดดูแล้ว ไท่จื่ออภิเษกสมรสมานานหลายปี มีพระชายาและพระสนมมากมาย ทว่าไท่จื่อกลับยังไม่มีทายาท
หรือนี่จะเป็นเรื่องที่เด็กคนนี้กำลังพูดถึง
“เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดลอยๆ ออกมาเหล่านี้จะสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้? ในเมื่อตอนนี้เปิ่นกงรู้แล้ว เจ้าไม่คิดว่าเปิ่นกงจะสั่งประหารเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยายกนิ้วมือเรียวยาวของตนเองขึ้นมาเคาะที่ศีรษะเพื่อแสร้งทำเป็นครุ่นคิด
“ไอ้หยา หม่อมฉันคิดผิดไป หม่อมฉันลืมบอกฮองเฮาไปด้วยว่าหากให้ยาถอนพิษที่ไม่ถูกต้องแล้วละก็ นอกจากจะมิอาจช่วยไท่จื่อแล้ว แต่ยังสามารถทำให้ไท่จื่อสวรรคตอีกด้วยเพคะ”
คำพูดที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีแดง ไม่ต่างอะไรจากยาพิษที่สามารถฆ่าคนให้ตายได้อย่างเงียบเฉียบ
สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไป แรงอาฆาตค่อยๆ จางลง
“คราวนี้เปิ่นกงพลาดเอง ได้ พรุ่งนี้เปิ่นกงจะปล่อยเจ้าไป แต่เจ้าอย่าได้ลำพองใจไป เจิ้นหนานโหวแห่งสกุลหลินไม่อาจปกป้องเจ้าได้ตลอดไปอย่างแน่นอน”
ฮองเฮาที่ถูกต้อนจนจนมุมจับผ้าขึ้นคลุมศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไปจากคุก
แต่ว่า ประโยคสุดท้ายของนาง…
ท่านพ่อออกไปสู้รบ ที่บ้านหลงเหลือเพียงซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่
น่าจะ…ไม่เป็นไรมั้ง
วันถัดมา หลินเมิ้งหยาที่ถูกกักขังไปนานถึงสี่วันถูกปล่อยตัวกลับจวนอวี้
ทั้งที่ตอนจับไปเล่นใหญ่เล่นโต แต่ตอนส่งกลับกลับไร้สุ้มเสียง
แน่นอนว่านี่เป็นสไตล์ของฮองเฮาที่มิยอมเสียหน้า
“นายหญิง ท่านกลับมาแล้ว หลายวันมานี้คนในจวนต่างพากันร้องไห้จนตาบวมหมดแล้วเจ้าค่ะ นายน้อยอวี้เข้าไปคุกเข่าที่หน้าห้องอ่านหนังสือของท่านอ๋องทุกวันทุกคืนจนสลบ”
ป๋ายจีที่มีท่าทางสงบนิ่งที่สุดพยุงหลินเมิ้งหยาเข้าไปยังตำหนักหลิวซิน
ทาสในเรือนต่างพากันหลบทางให้หลินเมิ้งหยาเดิน จนคิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ข้าไม่อยู่บ้าน?”
ป๋ายจีชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางระมัดระวัง กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของนาง
“คุณหนูหรูฉินผู้นั้นนั่นแหละเจ้าค่ะ หลังจากวันงานเลี้ยง นางหาข้ออ้างว่าเพื่อปลอบใจพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นจึงเข้ามาอยู่ในจวน เมื่อท่านไม่อยู่ นางจึงแสดงท่าทีเป็นใหญ่”
เจียงหรูฉิน? สมองของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏใบหน้านวลสวยงามของเด็กสาว
นาง…เก่งกล้าขนาดนั้นเชียวหรือ?
“โอ้? เช่นนั้นจวนก็น่าจะครึกครื้นดีมิใช่หรือ?”
ป๋ายจีส่ายหน้า เม้มปาก
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ? พูดออกมาให้หมดเถอะ”
“ยังมี…คุณหนูรองเจ้าค่ะ นางเอ่ยว่าคนของจวนเป็นผู้วางยานาง นางเรียกร้องให้ทางจวนรักษานางจนหายดีแล้วจึงจะกลับไป หลายวันมานี้บ่าวในจวนจึงถูกนางทรมานกลั่นแกล้งสารพัด”
หลินเมิ้งหวู่? เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่?
ขณะเดียวกัน หลินเมิ้งหยาเข้าใจหัวอกของข้าทาสในจวนเป็นอย่างดี เมื่อพวกนางสองคนอยู่ที่นี่ เกรงว่าชีวิตคงเป็นไปอย่างยากลำบาก
“ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถิด หากข้าอยู่ พวกนางจะไม่กล้ารังแกพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
เฮ้อ ต้องโทษสามีของนางที่มีเสน่ห์ดึงดูดสาวๆ มากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นพวกนางทั้งสองจะเข้ามาขลุกอยู่ในจวนแห่งนี้ทำไม
“คุณหนูเจ้าคะ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว รีบไปหาท่านอ๋องเถิดเจ้าค่ะ อย่าให้คุณหนูรองและคุณหนูเจียงตีทัพจนแตกได้นะเจ้าคะ”
ป๋ายจื่อดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเล็กยับยู่ยี่เหมือนซาลาเปา
เหนือความคาดหมายของหลินเมิ้งหยา ตอนแรกนางคิดว่าป๋ายจื่อจะวิ่งมากอดนางพลางร้องห่มร้องไห้ทันทีที่เห็นหน้าเสียอีก
“ช่างเถอะ ช้าไปสักครึ่งชั่วโมงคงมิเป็นไร ป๋ายจี เจ้าไปอาบน้ำแต่งตัวให้ข้า ป๋ายจื่อ เจ้าไปที่โรงครัวแล้วทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาให้ข้า
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเป็นชุดสะอาด หลินเมิ้งหยาพาป๋ายจีและป๋ายจื่อยกอาหารไปยังห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้
ห้องที่เคยกว้างขวางบัดนี้มีหญิงสาวสองคนทำให้มันดูแคบลง
เจียงหรูฉินและหลินเมิ้งหวู่ต่างพาสาวใช้ของตนเองมาสาดสงครามน้ำลาย
ขนาดหลินเมิ้งหยาปรากฏตัวขึ้น พวกนางกลับมองไม่เห็น
นางพาสาวใช้เดินเข้ามายืนข้างกายหลงเทียนอวี้ที่กำลังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หยิบถั่วเขียวต้มน้ำตาลออกมาจากกล่องข้าว
“ท่านอ๋อง ดื่มซุปเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจสักหน่อยเถิดเพคะ”
หลงเทียนอวี้หันมามองหญิงสาวข้างกายตนที่สวมใส่ชุดสีเขียว ใบหน้าปะแป้งนวล ร่างกายส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ริมฝีปากหยักยิ้มขณะมองหน้าตนเอง
ถั่วเขียวต้มน้ำตาลในถ้วยยังอุ่นอยู่ แต่กลับหวานสบายคอ ราวกับว่าเปลวไฟในหัวใจถูกดับลงไปแล้ว
“เข้ามา พาคุณหนูทั้งสองกลับจวนไป”
เขาส่งเสียงเรียบ ทว่ากลับน่าเกรงขามและไม่อาจขัดขืนได้
หญิงสาวทั้งสองที่ยังไม่มีใครยอมใครหันมามองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางตกตะลึง
“เจ้า…”
“ทั้งสองท่าน ข้าเห็นท่านเป็นแขกจึงปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาท แต่ทั้งสองกลับไร้มารยาท ที่นี่เป็นห้องทำงานของท่านอ๋อง แต่พวกเจ้ากลับเข้ามาทะเลาะวิวาทต่อล้อต่อเถียงกันเหมือนสนามเด็กเล่น ในสายตาของข้ามันไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
เจียงหรูฉินไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ ตอนที่คิดจะโต้เถียง นางกลับได้เห็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลงเทียนอวี้ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าทำสิ่งใดอีก
หลินเมิ้งหวู่ไร้ซึ่งข้ออ้างใดๆ อีก คำกล่าวอ้างที่เข้ามาดูแลท่านอ๋องแทนพี่สาวล้วนเป็นเพียงคำพูดประจบประแจงเท่านั้น
ทั้งสองพากันออกไป ห้องที่เคยดังเอะอะโวยวายเมื่อครู่จึงเงียบสงบลง
“ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยที่ทำให้เกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ขึ้น”
ดวงตาของหลงเทียนอวี้มืดลง ทว่าสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ลุกขึ้นเถิด นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ตกลงเจ้าพูดอะไรกับฮองเฮา ใยนางจึงปล่อยตัวเจ้าออกมา”
“หม่อม…หม่อมฉันวางยาไท่จื่อ หากไม่ได้อำนาจบารมีของท่านพ่อช่วย เกรงว่าป่านนี้คงหมดลมหายใจไปแล้วเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ! นี่เจ้าบังอาจวางยาไท่จื่อ!”
สีหน้าของหลงเทียนอวี้เปลี่ยนไป ไม่ว่าไท่จื่อจะคิดกับเขาเช่นไร ทว่าในหัวใจของเขา เขายังคงปรากฏภาพไท่จื่อที่เคยปกป้อง รักและเอ็นดูเขาครั้งเมื่อยังเป็นเด็ก
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะโน้มน้าวเขาเช่นไร แต่เขาไม่เคยคิดลงมือกับไท่จื่อ แม้จะสามารถทำได้ แต่เขาก็ไม่ทำ
ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับทำเกินคำสั่งของเขา
“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งกริ้วเพคะ ยาพิษอันนั้น…”
“ตกลงเจ้ามีจิตใจเช่นไรกันแน่? เพราะเหตุนี้เจียงเฉิงจึงบอกว่าเจ้าเป็นอสรพิษ! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใจดำอำมหิตเช่นนี้! หากภายภาคหน้าเปิ่นหวังทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าจะไม่วางยาอย่างนั้นหรอกหรือ?”
หลินเมิ้งหยามองดูหลงเทียนอวี้ที่กำลังโกรธเกรี้ยว หัวใจรู้สึกเหมือนถูกกรีด
ทั้งหมดที่นางทำก็เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น
หากมิใช่เพราะคนเหล่านั้นบีบบังคับนาง ต้องการชีวิตของนาง นางจะทำเช่นนั้นหรือ
ที่แท้ในสายตาของหลงเทียนอวี้ นางเป็นเพียงฆาตกรใจดำอำมหิตเท่านั้นสินะ
หลินเมิ้งหยาเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ บังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้น นางจะไม่มีวันยอมหดหัวเพราะใครหน้าไหนเด็ดขาด
“เมิ้งหยาไม่ผิด หากท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันทำผิดก็จับตัวหม่อมฉันและนำส่งทางการเถิด”
เสียงเรียบเฉย ไร้ซึ่งความเสียใจหรือดีใจ แต่กลับกดทับหัวใจของหลงเทียนอวี้
อารมณ์ครอบงำเหนือเหตุผลไปชั่วขณะ สุดท้ายเขาจึงได้สติกลับมา
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด
ทุกย่างก้าวของนางเป็นไปด้วยความระมัดระวัง แม้นางจะดูเหมือนใจดำอำมหิต แต่นั่นก็เพราะคนอื่นบีบบังคับให้นางต้องทำเช่นนั้น
กลับกันกับเขาที่ปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่เคยหลงเหลืออยู่แล้วครอบงำ
“เจ้า…ลุกขึ้นเถิด”
หัวใจของหลงเทียนอวี้รู้สึกอ่อนแรง
บางทีนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาคงจะเปลี่ยนเป็นคนแบบที่ไท่จื่อเคยพูดไว้แล้ว
“เมิ้งหยาทูลลา”
นางหมุนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังเย็นชา
ราวกับว่ากำแพงที่มองไม่เห็นตั้งตระหง่านขึ้นมาระหว่างความสัมพันธ์ที่เพิ่งจะดีขึ้นของทั้งคู่อีกครั้ง