เล่มที่ 2 บทที่ 53 โทษทัณฑ์

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ไท่จื่อมีลักษณะท่าทางประหนึ่งพี่ชายที่แสนดี ทั้งที่จริงแล้วเขารู้สึกเกลียดชังน้องชายของตนเองเข้าไส้ แต่สิ่งที่เผยออกมากลับเป็นเพียงความรักที่มีต่อน้องชายเท่านั้น

    แม้ใบหน้าของหลงเทียนอวี้จะกำลังยิ้ม ทว่าในใจมิได้ยิ้มตาม ท่าทางของเขาที่แสดงออกมาไม่ต่างอะไรจากน้องชายที่เคารพนับถือพี่ชายเป็นอย่างมาก

    หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองเพิ่งจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังคุยกัน แต่พวกเขากำลังข่มขวัญซึ่งกันและกัน

    เรื่องของคนในราชวงศ์ แม้ภายนอกจะดูสวยงาม แต่ภายในกลับเน่าเฟะ

    ทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด แต่กลับทดสอบกันไปมา แม้แต่ความจริงใจเพียงเล็กน้อยก็หามีไม่

    “หยาเอ๋อร์ เหตุใดจึงยังไม่เข้ามาถวายคำนับฮองเฮา” พระสนมเต๋อเฟยร้องเรียกหลินเมิ้งหยา

    ชำเลืองมองดวงตาคมกริบดั่งหงส์ของฮองเฮา หลินเมิ้งหยาทำใจให้สงบนิ่ง

    อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

    นางเยื้องย่างเข้าไป ใบหน้าส่งยิ้มอ่อนหวานแต่มีมารยาท

    “หยาเอ๋อร์ถวายคำนับฮองเฮา ขอให้ฮองเฮามีอายุยืนหมื่นปี”

    “อืม พระสนมเต๋อเฟยโชคดีจริงเชียว เจ้ามีลูกสะใภ้น่ารักและเชื่อฟังเช่นนี้” แม้ฮองเฮาจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ท่าทางของนางไม่เหมือนกำลังชมเชยเลยแม้แต่น้อย

    คลื่นใต้น้ำสาดซัดเต็มแรง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่างานเลี้ยงฉลองวันเกิดในคราวนี้ดูจะไม่เรียบง่ายเหมือนภาพที่เห็น

    หลินเมิ้งหยาแสร้งทำสีหน้าเขินอาย ก่อนจะเงียบไปเพื่อเตรียมการรับมือ

    นางจะต้องระมัดระวังในทุกประโยคที่เอื้อนเอ่ยกับฮองเฮา

    “จริงสิ เมื่อหลายวันก่อนเปิ่นกงส่งพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมมาให้เจ้า เช่นนั้นพระชายาอวี้นำออกมาให้ทุกคนได้เชยชมหน่อยจะเป็นไร”

    ฮองเฮาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา ทำทีเอ่ยเรื่องนั้นออกมาลอยๆ

    สีหน้าของหลินเมิ้งหยายังคงเหมือนเดิม อีกทั้งยังไม่เอ่ยยื้อเวลาใดๆ ทั้งสิ้น นางหันหลังกลับไปสั่งสาวใช้

    “ไปนำพระพุทธรูปของเจ้าแม่กวนอิมที่ฮองเฮาพระราชทานออกมาให้ทุกคนได้ดู”

    ป๋ายจีโค้งคำนับ ก้มหน้าแล้วเดินออกไป

    ทุกคนเริ่มครุ่นคิด สีหน้าของหลินเมิ้งหยายังคงเหมือนเดิม ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าใจว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

    ยังไม่ทันจะถึงเวลาครึ่งถ้วยชา ผ๋อจื่อสองคนรีบอุ้มพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมเข้ามาภายในห้องจัดงานเลี้ยง

    ขณะเดียวกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ทำให้ดวงตาของทุกคนสงบนิ่ง ทว่าสีหน้าของฮองเฮากลับเปลี่ยนไป

    พระพทุธรูปเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้น่าจะแหลกละเอียดไปแล้ว เหตุใดจึงยังอยู่ดีเป็นปกติเช่นนี้

    “ทูลฮองเฮา หยาเอ๋อร์เคารพบูชาเจ้าแม่กวนอิมด้วยความจริงใจอยู่เสมอ พระองค์ลองดูเถิดเพคะว่ายังเหมือนเดิมเหมือนอย่างตอนมาหรือไม่?”

    เสียงของหลินเมิ้งหยาไม่หนักหรือเบาจนเกินไป แต่กลับทำให้คนทั้งงานเลี้ยงได้ยิน

    เหล่าฮูหยินที่เคยถวายงานรับใช้ในวังมาก่อนเพียงได้กลิ่นของไม้จันทน์ที่ส่งออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

    สวรรค์โปรด นี่คือทรายหมิงซาที่ทำลายชีวิตผู้คนไปนักต่อนักมิใช่หรือ

    ไม่รู้ว่าพระชายาพระองค์นี้จะโชคดีและสามารถหลีกหนีจากอันตรายในคราวนี้ได้หรือไม่

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เคารพบูชาต่อไปเถิด ข้าหวังเหลือเกินว่าเจ้าจะมีทายาทให้กับอ๋องอวี้โดยเร็ว พระสนมเต๋อเฟยจะได้มีความสุข”

    สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นฮองเฮา สีหน้าที่เคยเปลี่ยนไปกลับมาเป็นปกติดังเดิม

    หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุกระรัว เมื่อครู่นางในที่อยู่ข้างกายฮองเฮาทั้งสองเพ่งมองพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิม แต่เหตุใดจึงไม่หาเรื่องนางกันเล่า?

    หรือว่า…

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมองพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิม ของที่พวกนางสร้างขึ้นมากะทันหันเช่นนี้สามารถหลอกลวงพวกเขาได้?

    ฮองเฮารู้สึกหมดสนุก พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมจึงถูกนำออกไป

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น ฮองเฮาหาใช่คนที่จะปล่อยเหยื่อไปได้ง่ายๆ

    บางทีอาจจะยังมีอันตรายอะไรรออยู่

    “เสด็จป้า หวู่เอ๋อร์ขอถวายคำนับเสด็จป้า ขอให้เสด็จป้ามีความสุขตลอดไป”

    หลินเมิ้งหวู่ไม่อาจอดรนทนได้อีกต่อไป ในที่สุดก็พบโอกาสที่ตนเองจะชูคอขึ้นมาแล้ว

    นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้านวลรูปไข่ประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มไร้เดียงสา

    “อืม ลุกขึ้นเถิด” ฮองเฮาแสดงสีหน้าเรียบเฉย มิได้แสดงออกถึงความดีใจใดๆ

    ลูกสาวที่น้องสาวของนางให้กำเนิดและเลี้ยงดูมามิได้ฉลาดเฉลียวเท่าที่ควรเลย

    ทว่าอยู่ๆ ความคิดก็เปลี่ยนไป แผนการร้ายบางอย่างพลันปรากฏขึ้น

    “มานี่สิ เปิ่นกงมีเรื่องอยากกำชับเจ้า ตอนนี้พี่สาวของเจ้าเป็นถึงพระชายาอวี้แล้ว เจ้าควรจะมาที่นี่บ่อยๆ อยู่ใกล้กับพี่สาวของเจ้าเข้าไว้ ต่อไปจะได้แต่งงานกับคนที่เพียบพร้อมเหมาะสม”

    หลินเมิ้งหวู่ตกใจเล็กน้อย นางปล่อยให้ฮองเฮาจับมือตนเองอย่างอิสระและนั่งลงบนเก้าอี้ด้านบน

    เจียงหรูฉินนั่งลงข้างกายพระสนมเต๋อเฟย ทว่าหลินเมิ้งหวู่นั่งข้างฮองเฮา

    ทั้งที่เป็นงานเลี้ยงของพระสนมเต๋อเฟย ทว่าหญิงสาวทั้งสองกลับก่อพายุเล็กๆ อีกทั้งยังทำข้ามหน้าข้ามตาหลินเมิ้งหยาที่เป็นนายหญิงของจวนแห่งนี้

    “พี่สาว เมื่อกี้…” หลินจงอวี้ที่หายตัวไปตั้งแต่เริ่มงานอยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นเขาส่งเสียงกระซิบกระซาบข้างหูของหลินเมิ้งหยา

    ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดสุดท้ายแล้วจึงไม่เกิดปัญหาตามมากับพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมองค์นั้น

    สายตาอ่อนโยนจ้องมองไปทางหลงเทียนอวี้ที่แสดงสีหน้าดั่งทองไม่รู้ร้อน ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา

    ไม่ว่าหลงเทียนอวี้จะใช้วิธีไหนช่วยนาง แต่นางก็รู้สึกขอบคุณเขาเหลือเกิน

    “คิดไม่ถึงเลยว่าความรู้สึกที่น้องสามมีให้กับพระชายาจะดีขนาดนี้ แม้จะอยู่ในงานเลี้ยงแต่ก็ยังมิวายแสดงออกถึงความรัก”

    น้ำเสียงของไท่จื่อเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา สาวงามในจวนของเขามีมากมาย แต่มิมีใครจะแสดงท่าทีเคารพและหวานซึ้งกับเขาเช่นนี้

    พวกนางรู้จักแต่เพียงการแต่งองค์ทรงเครื่องให้สวยงามต้องตาเท่านั้น

    “นาง…ดีมากพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะมีคำเชยชมสวยหรูมากมายขนาดไหน แต่ก็มิอาจเทียบเท่าคำว่าดีมากคำนี้

    หลงเทียนอวี้หันไปมองใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ตนเอง แววตาที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนหลายเท่าตัว

    “เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ว่านะน้องสาม พี่ใหญ่ยังไม่เข้าใจ เหตุใดอยู่ดีๆ เจ้าจึงแต่งงานกับบุตรีของเจิ้นหนานโหวเล่า? หรือน้องสามมีแผนการอันใดที่ไม่อาจบอกให้ผู้อื่นล่วงรู้กัน?”

    คำพูดของไท่จื่อเปรียบเสมือนใบมีดที่กรีดลงบนหัวใจของหลงเทียนอวี้

    สีหน้าเย็นชา หลงเทียนอวี้กระตุกยิ้มเล็กน้อย พยายามปิดบังความเสียใจในดวงตา

    เขายังจำตอนนั้นได้ดี พี่ใหญ่หรือไท่จื่อผู้นี้มักจะพาตนเองและพี่สองไปเล่นที่นอกวัง

    ฮองเฮามักคิดทำร้ายตนเองเสมอมา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่คอยแอบบอกแผนการให้ตนเองฟัง ดังนั้นเขาจึงเอาตัวรอดได้

    ดังนั้นฮองเฮาจึงนำหมู่เฟยมาบังคับข่มขู่ตนเอง เขาไม่เคยโกรธพี่ใหญ่เลยแม้แต่น้อย แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่จึงแปรเปลี่ยนและเกลียดชังเขาถึงเพียงนี้?

    “เฉินตี้ไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”

    “เช่นนั้นก็ดี น้องสาม จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ความรักที่เจ้าได้รับมันมากเพียงพอแล้ว”

    ไท่จื่อส่งเสียงเย็นชา นัยน์ตาเย็นยะเยือก

    ตอนนี้เขาเสียใจเหลือเกิน เหตุใดเมื่อตอนเยาว์วัยเขาจึงฟังเพียงคำของหมู่เฟย เขาควรกำจัดเสี้ยนหนามไปตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้เขาคงไม่ต้องเสียใจภายหลังเช่นนี้

    “คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรไป!”

    “หวู่เอ๋อร์ หวู่เอ๋อร์เป็นอะไรไป!”

    ท่ามกลางความเงียบสงบ อยู่ๆ เสียงแผดร้องก็ดังขึ้นที่ด้านข้างของฮองเฮา

    หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปด้วยท่าทางสงบนิ่ง ทว่านางกลับได้เห็นหลินเมิ้งหวู่ที่ยังปกติดีเมื่อครู่ปิดตาสนิท ใบหน้าขาวซีดและอยู่ในอ้อมกอดของฮองเฮา

    “เข้ามา ตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”

    ฮองเฮาพยายามปกปิดน้ำเสียงของตนเองเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยว

    อยู่ๆ หลินเมิ้งหวู่ก็อ้วกออกมาเป็นเลือดสีดำ หลินเมิ้งหยาสงสัย ไม่สิ มันเหมือนว่านางถูกวางยาพิษ!

    เป็นไปได้อย่างไร…

    “พระชายาอวี้ เจ้าบังอาจนัก เจ้าวางแผนชั่วทำร้ายเปิ่นกง! เข้ามา จับนังคนสารเลวไปเข้าคุก”

    เสียงโกรธเกรี้ยว ขณะเดียวกันองครักษ์อวี่หลิน1เดินเข้ามาจับกุมตัวหลินเมิ้งหยา

    “ข้าไปเองได้” นางไร้ซึ่งความหวาดกลัว อีกทั้งยังไม่คิดดิ้นหนี แต่นางกลับเหลือบมองฮองเฮาด้วยแววตาสงบนิ่ง ดวงตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มนั้นยังเจือไว้ซึ่งการเย้ยหยัน

    “พระชายาอวี้ เชิญ!” เพราะความน่าเกรงขามทำให้องครักษ์อวี่หลินไม่กล้าทำอะไรเกินควร ดังนั้นเขาจึงเชิญนางออกไปด้วยความเคารพ

    “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะไม่อยู่บ้านสักสองสามวัน ได้โปรดรักษาพระองค์ด้วย” เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาถวายคำนับ สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางประหนึ่งคนที่กำลังไปจากบ้านเท่านั้น

    หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง ก่อนจะหมุนตัวไปปลอบโยนพระสนมเต๋อเฟย

    งานเลี้ยงที่จัดอยู่ดีๆ กลับต้องจบลงแบบนี้

    ทุกคนคิดว่าฮองเฮาจะโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาและไท่จื่อจะรีบกลับไปทันที

    ความสนุกสนานครึกครื้นพลันจบลง

    ภายในคุก หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนกองฟางด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ถอดผมที่ถูกเกล้าลง แม้บนพื้นจะเต็มไปด้วยฝุ่น แต่กลับมิส่งผลอันใดต่อความสง่างามของนางเลย

    สามวันแล้ว นับตั้งแต่วันที่นางถูกจับตัวมา เวลาล่วงเลยไปถึงสามวัน

    ราวกับว่าถูกโลกภายนอกลืมเลือน หลินเมิ้งหยายังคงนั่งด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความกระวนกระวาย อีกทั้งยังไม่ส่งเสียงเอะอะใดๆ

    ในที่สุดด้านนอกคุกก็มีเสียงดังขึ้น

    ร่างสวมชุดดำทั้งชุดเดินเข้ามาพร้อมกับหัวหน้าของห้องขัง ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าคุกของหลินเมิ้งหยา

    “เจ้าอยู่รับใช้ที่นี่ ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้”

    ร่างชุดดำเปิดผ้าคลุมศีรษะออก ใบหน้าเย็นชาของฮองเฮาปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

    หลินเมิ้งหยาที่ไม่รู้ว่าลืมตาตั้งแต่เมื่อไรกระตุกยิ้มขึ้น อะไรที่ต้องมา ในที่สุดก็มาเสียที

    “เหตุใดจึงวางยาเปิ่นกง!”

    ภายใต้ชุดดำ ฮองเฮาแสดงสีหน้าเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง สายตาที่มองทางหลินเมิ้งหยาเย็นชาดุจน้ำแข็ง

    “ไท่จื่อยังสบายดีอยู่หรือเพคะ?” คิดไม่ถึงเลยว่าประโยคแรกที่หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยจะทำให้ฮองเฮาต้องชะงัก สายตาส่งสัญญาณร้องเตือน

    “เหตุใดจึงถามถึงไท่จื่อ? หรือว่า…เจ้าทำอะไรไท่จื่อ?”

    หลินเมิ้งหยากลับกระตุกยิ้มสวยงาม นัยน์ตาสุกสกาวดั่งหยดน้ำ

    “ฮองเฮาทำอะไรกับหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันก็ทำเช่นนั้นแหละเพคะ มันเป็นมารยาท”

    เป็นไปไม่ได้!

    สายตาของฮองเฮาเปลี่ยนไป แต่แน่นอนว่าสภาพจิตใจของไท่จื่อไม่เหมือนเดิม

    ทว่าหมอหลวงที่ไปตรวจกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ หรือนังสารเลวคนนี้กำลังหลอกตนเอง?

    “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าอย่าได้คิดว่าจะรอดพ้นจากความตาย ที่เปิ่นกงมาก็เพราะต้องการบอกอะไรบางอย่างกับเจ้า”

    “จะให้หม่อมฉันแว้งกัดพระสนมเต๋อเฟย หรือจะให้หม่อมฉันแว้งกัดท่านอ๋องอวี้ หรือว่า…จะให้หม่อมฉันแว้งกัดทั้งสองพระองค์ดีล่ะเพคะ?”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้สายตาของฮองเฮาเย็นชายิ่งขึ้น

************************

1 องครักษ์อวี่หลินคือองครักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้และฮองเฮา