บทที่ 53 ตัดสินใจแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“พั่งจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ทำให้สตรีเกลียดชังที่สุดในโลกคืออะไร?” จินเฟยเหยานั่งอยู่หน้าแผงเหลียงเฝิ่น[1]บนเนินเขา มองดูเวทีศิลาที่อยู่ไกลๆ ต่อสู้กันอย่างคึกคัก เอ่ยถามพั่งจื่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“อ๊บ…”

จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ “เจ้าผิดแล้ว มิใช่ไม่มีเนื้อกิน คือตอนที่เจ้าน่าเกลียดที่สุด มีสาวงามคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า อวดเรือนร่างและใบหน้าอันงดงามต่อเจ้า เจ้าว่า ผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ วอนโดนอัดหรือไม่”

“อ๊บ”

“ข้าไม่ได้ทุบตีนางให้ตาย เพียงแต่ทุบตีจนนางกลายเป็นหัวสุกร สตรีเหล่านั้นก็ทำราวกับจะกินข้า ทั้งยังถุยน้ำลายใส่ พั่งจื่อ กบตัวเมียของพวกเจ้าไร้เหตุผลเช่นนี้หรือไม่”

“อ๊บๆ”

หลังจากจินเฟยเหยาฟังแล้ว ก็เอ่ยอย่างงุนงง “อ้อ ที่แท้เจ้าไม่เคยพบกบตัวเมีย อีกไม่กี่วันข้าจะพาเจ้าไปลานเลี้ยงกบ เห็นกบตัวเมียที่ชอบก็บอกข้า ข้าจะหาเมียให้เจ้า เจ้าจะได้มีลูกกบน้อยมากมาย ช่วยข้าถ่ายทรายอุจจาระ”

เถ้าแก่ขายเหลียงเฝิ่น มองจินเฟยเหยาและพั่งจื่อ ที่พูดคุยถามตอบกันอย่างอิสระอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างสงสัย ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้พากบตัวหนึ่งมานั่งหน้าแผงเขา กินเหลียงเฝิ่นไปยี่สิบกว่าชาม อีกทั้งยังพูดคุยกันตลอด

เถ้าแก่ไม่เข้าใจ คนที่ฝึกบำเพ็ญมากเกินไปล้วนสามารถฟังคำพูดสัตว์เข้าใจใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้พูดอยู่ตลอดเวลา ส่วนกบเพียงแค่ร้อง “อ๊บๆ” เป็นบางครั้ง ก็สามารถสื่อสารกันได้ ถึงจะไม่ค่อยเชื่อ ทว่าเห็นสีหน้าและคำสนทนาของพวกเขาสองคน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ

เถ้าแก่อดไม่ไหว เอ่ยถามอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านเซียน ท่านฟังคำพูดของกบภูติตัวนี้เข้าใจหรือ?”

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้น เห็นเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าจะฟังคำพูดของกบออกได้อย่างไร ข้าไม่ใช่กบกลับชาติมาเกิดใหม่เสียหน่อย”

“เช่นนั้นนี่คือ?”

“อยู่ว่างเบื่อๆ จึงคาดเดาเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งข้าก็พูดคุยกับตนเองไม่ได้ แบบนี้จะดูเหมือนคนบ้า” จินเฟยเหยาวางตะเกียบ ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดปาก

“อ้อ” เถ้าแก่ตอบรับคำหนึ่ง กลับนึกในใจว่า แต่งเรื่องคุยกับกบเช่นนี้จะแตกต่างอะไรกับการพูดกับตนเอง แบบนั้นก็แค่ดูเหมือนคนบ้า แต่การพูดกับกบเช่นนี้ยิ่งดูเหมือนคนโง่งม

ทว่าเขากล้าพูดออกมาที่ไหน จึงเพียงแต่พยักหน้าเอ่ยคล้อยตามจินเฟยเหยา “ท่านเซียนพูดได้ถูกต้อง เป็นเหตุผลข้อนี้จริงๆ”

การประลองยังดำเนินไปอย่างคึกคัก สนามประลองหมายเลขสี่คัดเลือกคนได้สองร้อยคนจากสองพันกว่าคน สองร้อยคนนี้ต้องไปรวมกับคนที่ถูกเลือกมาจากสนามประลองอื่นๆ สุดท้ายให้สองพันคนนี้ไปแย่งชิงห้าร้อยตำแหน่ง

เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ จินเฟยเหยาคาดเดาว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นพรุ่งนี้จึงถึงตาตนเองประลองรอบที่สอง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าการประลองจะสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน แล้วถึงตาตนเองลงสนามทันทีหรือไม่

ในเพิงยาเหล่านั้น มีผู้บำเพ็ญเซียนที่บาดเจ็บนอนอยู่เต็มไปหมด คนที่นอนอยู่ที่นี่ได้ ต่อให้ชนะก็บาดเจ็บหนัก รอบต่อไปจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา

“ศิษย์พี่จิน กระบวนท่าเมื่อครู่ของท่านร้ายกาจยิ่ง ทุบตีจนคนของสำนักเป่ากวงตกเวที”

“ฮึ สำนักเป่ากวงก็แค่สำนักเล็กๆ ชั้นล่าง เพียงแต่อาศัยอยู่บนภูเขาเซียนซู่มานาน ก็กล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าสำนักหลิงคงของข้า”

“ครั้งนี้ถ้าพวกเราได้ยาสร้างฐานทั้งหมด จะให้สำนักที่นึกว่าตนเองร้ายกาจเหล่านั้นรู้ว่าศิษย์ในสำนักของพวกเขาจึงเป็นเศษสวะ”

ผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งเดินทางแผงเฝิ่นเหลียง ห้อมล้อมสาวน้อยผู้หนึ่งเหมือนดาวล้อมเดือน พอจินเฟยเหยามองดู ไม่ใช่ใครอื่น เป็นจินเฟยเยี่ยน

ที่แท้เป็นพวกเศษสวะแห่งสำนักหลิงคง  นางหันหน้าไปอย่างดูแคลน เมื่อครู่ไม่เห็นนางในฝูงชน อาจจะอยู่ที่เวทีอื่น ทางที่ดีอย่าเจอกันเลย ไม่เช่นนั้นจะให้นางได้ลิ้มรสก้อนหินกระแทกใบหน้า

พวกนางเดินมาถึงข้างกายจินเฟยเหยา มีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสนิทสนม “ศิษย์พี่ ที่นี่มีแผงเหลียงเฝิ่น ทุกคนอยากจะพักทานอาหารที่นี่สักนิดหรือไม่ อย่างไรเสียก็ไปจากแถวนี้ไม่ได้ นั่งที่นี่ดีกว่า”

“ศิษย์น้อง จะกินอาหารในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร? พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญเซียน กินได้แต่สิ่งที่มีปราณวิญญาณ ขยะที่คนธรรมดากินเช่นนี้ จะกินเป็นอาหารได้อย่างไร”

เห็นโต๊ะเก่าๆ ในแผงเหลียงเฝิ่น และผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษที่กินเหลียงเฝิ่นอย่างหยาบกระด้าง จินเฟยเยี่ยนก็ขมวดคิ้วเอ่ยสั่งสอนอย่างไม่พอใจ

เถ้าแก่เหลียงเฝิ่นยืนอยู่ด้านข้างอย่างกระอักกระอ่วน ยิ้มแย้มอย่างโง่งม  ในใจกลับพึมพำ ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ดูแล้วไม่ใช่คนดีอะไร ไม่อยากกินก็รีบไสหัวไปไกลๆ หน่อย อย่าได้ส่งผลกระทบถึงความอยากอาหารของลูกค้าคนอื่น วันนี้ข้าต้องอาศัยความจุกระเพาะของนายท่านคนนี้

“ศิษย์พี่อย่ามีโทสะเลย หอซานไห่ก็มาเปิดร้านที่นี่ พวกเราไปกินอาหารกัน ศิษย์น้องเจ้านี่ช่างน่าเบื่อจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกศิษย์พี่มากินอาหารที่นี่ อีกประเดี๋ยวให้เจ้าชำระบัญชีที่หอซานไห่” ศิษย์บุรุษอีกคนหนึ่งฉวยโอกาสไม่จ่ายเงิน พูดจนศิษย์ผู้นั้นหน้าซีด

อาหารที่หอซานไห่มีราคาแพง ถ้าคนกลุ่มนี้เข้าไปย่อมต้องสั่งอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างน่ากลัว คิดจะเอ่ยว่าไม่เห็นด้วย กลับพบว่าทุกคนมองเขาด้วยรอยยิ้มปริ่ม ในดวงตามีแววล้อเลียน เขาขี่หลังเสือยากจะลง ได้แต่พยักหน้าตอบรับ

หอซานไห่ไม่เหมือนร้านอาหารอื่นๆ ผู้อื่นตั้งแผงเล็กๆ ตระกูลของเขากลับใช้หอมิติซึ่งเป็นของวิเศษขนาดใหญ่

อย่าเห็นว่าชื่อหอมีคำว่ามิติ ที่จริงไม่เกี่ยวกับพื้นที่มิติแม้แต่น้อย คนที่หลอมสร้างตั้งชื่อเอง นี่คือของวิเศษแก่นชีวิตของเจ้าของหอซานไห่ ร้านอาหารห้าชั้นที่ใช้ไม้ฉีเทียนหลอมสร้าง โต๊ะ เก้าอี้ ห้องครัว ชาม ตะเกียบ มีทุกสิ่งที่ต้องใช้สอย ไม่เสียทีที่เป็นเถ้าแก่ร้านอาหาร แม้แต่อาวุธเวทแก่นชีวิตก็ยังเกี่ยวพันกับอาชีพเดิม

สถานที่อื่นล้วนอยู่นอกเมืองลั่วเซียน ทว่าทั้งหมดกลับไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีของภูเขาเซียนซู่ ที่นี่มีหลายสิบสำนัก คนที่มาชมความครึกครื้นมีมากมาย ส่วนสถานที่อื่นล้วนเป็นชานเมืองที่ไม่มีสำนัก หอซานไห่ย่อมมีสิทธิ์เลือกที่นี่ก่อน อยู่ที่อื่นก็หาเงินไม่ได้มากขนาดนี้

เห็นกลุ่มคนของสำนักหลิงคงเดินไปไกลแล้ว เถ้าแก่ร้านเหลียงเฝิ่นจึงเอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างระมัดระวัง “ท่านเซียน ต้นหอมและกระเทียมในเหลียงเฝิ่นเป็นผักวิญญาณที่ซื้อมา กุยช่ายนี้ก็มีปราณวิญญาณเช่นเดียวกัน ท่านยังอยากได้อีกสักหลายชามหรือไม่?”

“หา?” จินเฟยเหยามองเถ้าแก่ แล้วจึงค่อยเข้าใจความหมายของเขา เกรงว่าตนเองได้ยินคำพูดของกลุ่มคนสำนักหลิงคงแล้วจะไม่กินอีก นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดี เอามาอีกเจ็ดแปดชาม พั่งจื่อของข้ายังกินไม่อิ่ม”

จากนั้นนางก็เอ่ยกับเถ้าแก่ที่ยุ่งขิงอย่างคึกคักว่า “พวกเขาต้องอาศัยการกินอาหารที่มีปราณวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณ ใช้ไม่ได้เกินไป ข้าไม่สนใจว่ากินอะไรจึงสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ พวกเขากับข้าไม่ใช่ชนชั้นเดียวกัน”

“จะว่าไปแล้วก็จริง ไม่เช่นนั้นร่างกายของท่านเซียนคงไม่กำยำขนาดนี้หรอก ข้ามีชีวิตอยู่มานานแล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนท่านเซียน” ชายชราพยักหน้ารับและชมเชย จินเฟยเหยาแย้มยิ้มโดยไร้เสียง นางจะกล้าบอกว่าตนเองกินยาวิญญาณชั้นต่ำจนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร มีเพียงพั่งจื่อที่ร้อง “อ๊บๆ” อย่างยินดีไม่หยุด ราวกับเพี้ยนไปอย่างกะทันหัน

“ฮึ เจ้าอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไป ครั้งหน้าหลอมน้ำกล้ามเนื้อเทพออกมาได้ ข้าต้องให้เจ้าทดลองฤทธิ์ยาก่อน” จินเฟยเหยามองพั่งจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มพราย

“อ๊บ!” พั่งจื่อร่างแข็งทื่อ มองจินเฟยเหยาด้วยดวงตาหวาดผวา พอครุ่นคิดดูอีกที กบที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อย่อมต้องดึงดูดกบตัวเมียมากกว่าร่างอวบอ้วนในตอนนี้ ดังนั้นมันจึงวางใจ และในใจยังคาดหวังนิดๆ

จินเฟยเหยาไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของมัน จึงกระหยิ่มว่าตนเองข่มขู่พั่งจื่อได้

กลางดึกคืนวันที่สอง การประลองรอบแรกของเวทีหมายเลขเจ็ดก็จบลง ผู้บำเพ็ญเซียนสองพันกว่าคนเหลือเพียงหนึ่งพันกว่าคน ไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนได้พักผ่อนเลยสักนิด การประลองรอบที่สองก็เริ่มต่อ ผู้ตัดสินก็ไม่ต้องพักผ่อน เพียงแต่อารมณ์ไม่ดียิ่ง ท่าทีที่มีต่อผู้บำเพ็ญเซียนยิ่งไร้มารยาทมากขึ้น

หลังจากประกาศหมายเลขไปอีกรอบหนึ่ง ด้านล่างเวทีก็มีผู้บำเพ็ญเซียนกระโดดขึ้นมาสองคน พอจินเฟยเหยามองขึ้นไปบนเวที ก็พบว่าหนึ่งในนั้นถึงกับเป็นคนรู้จัก

“ซานเชียนจื่อ? ที่แท้เขาก็อยู่กลุ่มเดียวกับข้า เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เห็นเขา” จินเฟยเหยาตื่นตัว คนผู้นี้ถึงจะสร้างฐานไม่สำเร็จ ทว่าพลังการบำเพ็ญเพียรบรรลุขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์แล้ว แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อยู่ห่างจากขั้นสร้างฐานเพียงก้าวเดียว

ไม่เหมือนคนอย่างจินเฟยเหยาที่ยังไม่ถึงขั้นฝึกปราณช่วงกลางโดยสมบูรณ์ก็ฝืนใช้ยาคุณภาพต่ำทะลวงขึ้นสู่ขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ผู้อื่นฝึกบำเพ็ญอย่างมั่นคงไปทีละก้าวมีพลังการบำเพ็ญเพียรที่มีเสถียรภาพ ขั้นตอนระหว่างนั้นทั้งยาวนานและยากลำบาก

ซานเชียนจื่อยืนอยู่บนเวที สวมชุดเดินทางยามวิกาลทั้งตัว เหมือนโจรที่เพิ่งเสร็จภารกิจกลับมา ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์สำนักใด สองมือกอดอก มองซานเชียนจื่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เห็นทั้งสองคนกำลังจะเริ่มต่อสู้กัน ก็มีคนเบียดมาข้างๆ จินเฟยเหยา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “สหายเซียนคิดจะเดิมพันหรือไม่? ลงหนึ่งเท่าจ่ายหนึ่งเท่า”

“เชื่อถือได้หรือ? เจ้าคงไม่กวาดศิลาวิญญาณหนีไปนะ” จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นหน้าตาชั่วร้ายคนนี้ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ชี้ไปที่เชิงเขาทางด้านหลัง “สหายเซียน หอฝูหลิงของเราก่อตั้งมาหกร้อยปี จะกวาดศิลาวิญญาณของท่านแล้วหนีไปได้อย่างไร”

จินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง บนเชิงเขามีกระโจมขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ด้านข้างตั้งเสาธงขนาดใหญ่ บนนั้นแขวนธงป้ายร้านหอฝูหลิง มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยเข้าออกประตูกระโจม และโดยรอบก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นสวมชุดสีส้มเด่นสะดุดตาจำนวนมากเหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนหน้าตาชั่วร้ายคนนี้

คิดไม่ถึงว่าหอฝูหลิงก็มาด้วย นี่เป็นบ่อนการพนันที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเมืองลั่วเซียน ถือกำเนิดหลังตำหนักลั่วเซียนประมาณหนึ่งร้อยปี ทุกครั้งที่เปิดดินแดนลึกลับลั่วเซียน พวกเขาล้วนต้องลงเดิมพัน นอกจากเดิมพันว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนมีชีวิตรอดมาได้เท่าไร ก็เดิมพันว่าสำนักใดจะมีผู้รอดชีวิตมากที่สุด คาดว่าหอหลิงฝูฉวยโอกาสที่มีการประลองครั้งนี้หากำไรก้อนใหญ่

“ยี่สิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง ข้าเดิมพันว่าซานเชียนจื่อชนะ” จินเฟยเหยาล้วงศิลาวิญญาณออกมามอบให้เขา

“ท่านถือไว้ให้ดีนะ นี่คือยันต์ลงเดิมพัน ถ้าชนะก็แค่ไปแลกศิลาวิญญาณในหอฝูหลิง ถ้าคิดจะลงเดิมพันก้อนใหญ่ สหายเซียนสามารถเข้าไปในกระโจมโดยตรง ที่นั่นแม้แต่เจ้าสำนักก็ยังลงเดิมพันก้อนใหญ่” ผู้บำเพ็ญเซียนหน้าตาชั่วร้ายรับศิลาวิญญาณ ยื่นยันต์ที่เขียนลงเดิมพันให้ แล้วไปเรียกลูกค้าต่อ

“อืม” จินเฟยเหยารับยันต์ รอให้บนเวทีเริ่มต่อสู้

ทว่าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใด ผู้ตัดสินรออยู่นานจึงตะโกนบอกให้เริ่ม พอเห็นคนที่หอฝูหลิงส่งออกมาต่างวิ่งเข้าไปในกระโจมอย่างเร่งร้อน จินเฟยเหยาจึงเข้าใจ ที่แท้นัดกันไว้ หลังจากลงเดิมพันเสร็จสิ้น ผู้ตัดสินจึงตะโกนให้เริ่มได้

คาดว่ารอบที่หนึ่งไม่ลงเดิมพันเพราะคนมากเกินไป สับสนวุ่นวายไม่เหมาะจะลงเดิมพัน ดังนั้นพอถึงรอบที่สอง หลังจากเหลือเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลาย จึงเริ่มเปิดบ่อนลงเดิมพัน