บทที่ 48 กล้าก็ไป Ink Stone_Romance

บนทางเดินมีคนแบกดินเหนียวและหญ้าแห้งเดินผ่านไปอยู่เนืองๆ ช่างคึกคักนัก คนของวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ต่างพากันถามไถ่ เมื่อได้ยินว่าวัดเสวียนเมี่ยวน้อยบนเขานั้นซ่อมแซมหลังคา ในใจก็รู้สึกวุ่นวายสับสน

“หญิงผู้นี้ไปเอาเงินมาจากไหนอีกกัน” มีเด็กน้อยคนหนึ่งพึมพำ “ไม่สนใจปากท้อง แต่กลับมาซ่อมเรือนเสียอย่างนั้น”

เมื่อผู้คนกำลังพูดอยู่นั้น แม่ชีผู้หนึ่งก็ส่งเสียงร้องออกมา

“รีบดูเข้า รีบดูเข้า” นางตะโกนพลางยื่นมือชี้ไปทางนอกประตู

ประตูเปิดออกกว้างจนมองเห็นไปยังถนนทางด้านนอก เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปีคนหนึ่งถือว่าวกระดาษเต็มสองมือเดินผ่านไป

“ว่าวกระดาษนั่นมีอะไรน่าดูกัน” เด็กน้อยกล่าวอย่างหน้ามุ่ย “ถึงแม้ช่วงนี้จะพบเห็นได้น้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่”

“ไม่ใช่ หญิงผู้นั้น” แม่ชีกล่าว

หญิงผู้นั้นหรือ

ทุกคนต่างพากันมองไป เห็นนายหญิงผู้หนึ่งเดินไปยังหนุ่มน้อยคนนั้น หนุ่มน้อยชูว่าวกระดาษในมือให้นางดู คล้ายกับกำลังถามว่าใช้ได้หรือไม่

“เอ๊ะ นั่นนายหญิงผู้นั้นนี่!” แม่ชีผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

“คนไหนหรือ” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย

“คนนั้นอย่างไรเล่า นายหญิงที่ให้ผู้เฒ่าคนนั้นกินส้มเชื่อมตอนอยู่บนเขา” แม่ชีกล่าว

ท่านเซียน! เด็กน้อยตกตะลึงแล้วรีบวิ่งไปข้างนอก คนอื่นก็พาวิ่งตามกันไป เจ้าอาวาสเองก็ตามออกมาด้วย

“หากเป็นนายหญิงผู้นั้น ก็กล่าวขอบคุณแทนผู้เฒ่าคนนั้นสักหน่อย” นางกล่าว

ผู้คนต่างแห่แหนไปยังนอกประตู แต่ทว่านายหญิงและเด็กหนุ่มผู้นั้นได้เดินจากไปแล้ว

“นายหญิง…” แม่ชีผู้หนึ่งกำลังจะตะโกนเรียก แต่เห็นว่าทางที่พวกนางเดินไปนั้นคือวัดเสวียนเมี่ยวน้อยบนเขา เสียงพูดนั้นก็หยุดชะงักไป

ทั้งมีชายหนุ่มที่แบกตะกร้าใส่ดินโคลนสองคนเดินตามไปอีก

“นายหญิงขอรับ หญ้าแห้งต้องรอตอนบ่ายจึงจะส่งมาขอรับ” พวกเขากล่าว

“อย่าให้ช้าไปกว่านี้ เย็นนี้ต้องทำให้เสร็จ” สาวใช้กล่าว

คนกลุ่มนั้นพูดคุยและเดินขึ้นเขาไป เหล่าแม่ชีวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่มองตามอย่างงุนงง

“อ้อ ท่านเซียนผู้นั้น อาศัยอยู่ที่วัดเสวียนเมี่ยวน้อยหรอกหรือ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น หันหน้าไปยังเหล่าศิษย์พี่ “ท่านเซียนไม่อาศัยอยู่ในที่แบบนั้นหรอก!”

เหล่าแม่ชีสีหน้าอึกอักทั้งยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“ที่แท้ก็มีแขกมาอยู่ใหม่ จึงได้ซ่อมแซมเรือนสินะ” เจ้าอาวาสกล่าวพลางพยักหน้า

สาวใช้ถือว่าวตัวหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไป

“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ ท่านดูว่าอันนี้ใช้ได้ไหมเจ้าคะ” นางตะโกนเสียงดัง

“ข้ายังมีนกนางแอ่นอีกนะ” หนุ่มน้อยตะโกนจากทางด้านหลัง ชูว่าวในมือขึ้นแล้ววิ่งตามเข้าไป

คงสติไม่สมประกอบจริงๆ โตขนาดนี้แล้ว ยังจะเล่นของเช่นนี้อีกหรือ

เจ้าอาวาสที่ยืนดูช่างอิฐซ่อมหลังคาอยู่ในเรือนส่ายหน้าเบะปาก

“ปั้นฉิน” นางคิดอยู่สักครู่จึงตะโกนกล่าว “พานายหญิงไปเล่นข้างนอก ทางนี้วุ่นวายกันมาก”

สาวใช้ในเรือนรีบขานรับ เพียงไม่นานก็พยุงเฉิงเจียวเหนียงที่สวมผ้าคลุมหน้าเดินออกไป

“ทำไมถึงไม่ลอยขึ้นเล่า”

“นายหญิงเจ้าคะ วันนี้ไม่มีลมเจ้าค่ะ”

“ต้องลอย ต้องลอย”

“พี่ชิงเหมยข้าเอง ข้าวิ่งเร็ว”

สองสามวันมานี้บนเขามักจะได้ยินเสียงร้องตะโกนของสาวใช้ เด็กหนุ่ม และคนสติไม่สมประกอบนั่นอยู่บ่อยๆ บนฟ้าก็มีว่าวกระดาษลอยไปลอยมา แต่ทว่าลอยได้ไม่เท่าไรก็ตกลงมาเช่นกัน ทั้งยังมีครั้งหนึ่งที่พลาดตกลงมาโดนไหล่ของเจ้าอาวาสอีกด้วย

“โอย นี่ไม่ใช่ฤดูที่จะเล่นของเช่นนี้ บนเขาก็เล่นไม่ได้” ช่างเก่าแก่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร นางไม่รู้อะไรพวกนี้หรอก ขอเพียงมีความสุข จะทำอะไรก็ทำเถิด” เจ้าอาวาสยิ้มกล่าว

เหล่าช่างอิฐสองสามวันมานี้ก็ได้รู้แล้วว่านายหญิงผู้นั้นเป็นคนสติไม่สมประกอบ

“ช่างน่าสงสารเสียจริง” พวกเขาต่างแอบนินทากันเซ็งแซ่

คนบ้าสติไม่สมประกอบ ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว

เมื่อฟ้าเริ่มมืดลง เหล่าช่างทั้งหลายก็เริ่มเลิกงานกัน

สาวใช้เอาเหล็กหล่อแท่งยาวยื่นให้หนุ่มน้อย

“จะเอาสิ่งนี้ใส่บนหลังคาหรือ” หนุ่มน้อยถามอย่างสงสัย

“ใช่ ตอนนั้นเหล่าฮูหยินเคยบอกว่า ที่ที่นายหญิงอยู่ต้องมีสิ่งนี้ นี่เรียกว่าแท่งเรียกสติ มีสิ่งนี้แล้ว จิตวิญญาณของนายหญิงก็จะค่อยๆ เข้าที่” สาวใช้กล่าว “แม่นางปั้นฉินคนก่อนสั่งเสียไว้ก่อนไปน่ะ”

เรื่องพวกนี้เด็กหนุ่มไม่อยากจะใส่ใจนัก อย่างไรเสียก็เอาเงินเขามาแล้วก็ต้องทำงานให้เขา ตนเพิ่งจะเคยหาเงินได้มากเพียงนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกเหมือนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งยังภูมิใจเป็นอย่างมาก

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เขากล่าวแล้วรับแท่งเหล็กมาก่อนเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน แอบๆ หน่อย อย่าให้ใครเห็นเข้า เห็นแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์” สาวใช้รีบกล่าวกำชับ

เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้ววิ่งออกไป

ข้างนอกเลิกงานแล้วเจ้าอาวาสก็โล่งใจ วันๆ ยืนเฝ้าดูงานก็เหนื่อยอยู่หรอก ยังดีที่อีกไม่กี่วันก็คงจะเสร็จแล้ว

นางให้เด็กน้อยทั้งสองคอยดูให้คนออกไปจนหมดแล้วจึงลงกลอนประตู ส่วนนางนั้นกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนก่อนหน้าแล้ว นางเพิ่งจะได้นั่งลงบนเบาะรอง ชายหนุ่มก็ยกกาสาเกเดินเข้ามา

เขาฉวยโอกาสในช่วงช่างอิฐทำงานอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นก็ลักลอบเข้ามา ทำทีช่วยผสมดิน และยื่นน้ำให้ แน่นอนว่าไม่ยอมทำงานหนักๆ เมื่อคนอื่นเดินออกจากวัดไป เขาก็เดินอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างหลังแต่ไม่ได้เดินออกไปด้วย

“คนยังไปไม่หมด เจ้าเข้ามาได้อย่างไร!” หญิงสาวตกใจเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไม่มีใครเห็นหรอก” ชายหนุ่มกล่าวพลางยิ้มไป ไม่สนใจอะไร

อีกอย่างถึงมีคนเห็นแล้วจะทำไม เรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตน ใครอยากจะออกหน้าไปเรื่อยกันเล่า

“มา ท่านเซียนหญิงลำบากแย่แล้ว มาดื่มสาเกแก้เหนื่อยสักแก้ว” เขากล่าวพลางยิ้มไป ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

เจ้าอาวาสจ้องเขาตาเขม็ง นางก็ไม่ได้กลัวหรอก ขอเพียงไม่มีใครถูกใครจับไว้บนเตียง ใครจะพูดอะไรแล้วจะทำไม พวกเขากล้าพูด ตนจะฟ้องร้องว่าพวกเขาทำลายชื่อเสียงของตน! ทำลายชื่อเสียงของนาง ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงบ้านตระกูลเฉิง เมืองเจียงโจวนี้คนที่กล้ามีเรื่องกับเป่ยเฉิงมีเพียงไม่กี่คน

ทั้งสองเพิ่งจะเทสาเกกัน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากบนห้อง

“อะไรน่ะ รีบไปดูเร็ว” เจ้าอาวาสตกใจกำลังจะลุกขึ้น

“เฮ้อ คงเป็นช่างที่เพิ่งเลิกงานพวกนั้นลืมของแล้วขึ้นไปอีกกระมัง” ชายหนุ่มกล่าว

อย่างนั้นหรือ

“ไปหมดหรือยัง” เจ้าอาวาสถามออกไปนอกห้อง

“ยังเหลืออีกคนขอรับ” เด็กน้อยพูดเสียงสั่นอยู่ข้างนอก

ชายหนุ่มทำสีหน้าประหนึ่งว่า ’ดูสิ ข้าพูดถูกแล้ว’ ใส่เจ้าอาวาส

“บอกเขาให้เร็วหน่อย ฟ้ามืดแล้ว” เจ้าอาวาสตะโกนบอก

เด็กน้อยขานรับจากข้างนอก เพียงไม่นานทั้งเรือนก็เงียบสงัดลง

ฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วอารามหลังเล็กนี้

ในห้องแสงไฟสลัว สาวใช้มองดูเฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิง นายหญิงจะให้ข้าไปขอผักกำหนึ่งจากที่นั่นหรือเจ้าคะ” นางถาม

“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพลางมองดูนาง

สาวใช้ ‘อ่อ’ ตอบรับ ไม่ถามแม้กระทั่งว่าจะขอผักไปทำอะไรก็เดินไปออกไปเสียแล้ว

“ชายผู้นั้นน่าจะอยู่ที่นั่น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ร่างกายของสาวใช้ยืดตรงขึ้นในทันใด นางกัดริมฝีปากไว้แต่ก็ยังก้าวเท้าเดินต่อไป

ข้าจะให้เจ้าทำสิ่งหนึ่ง เจ้ากล้าหรือไม่ นายหญิงเคยถามนาง นางก็เคยตอบว่าแม้ตายก็กล้า มีอะไรไม่กล้าทำอีก

นายหญิงไม่ได้ให้นางไปตาย แต่ให้นางฟังคำตน ตนพูดอะไรนางก็จะไปทำอย่างนั้น

“ถ้าหากนางให้เจ้านั่งดื่มเหล้าด้วยกัน เจ้าก็ดื่มสักแก้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวต่อ “แต่ดื่มเพียงหนึ่งแก้วเท่านั้น หากนางยื้อเจ้าอีก เจ้าก็บอกว่าฝนจะตกแล้วเจ้าต้องกลับมาอยู่เป็นเพื่อนข้า”

สาวใช้กัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท้องฟ้าด้านนอก ท้องฟ้าสดใสอากาศดีมาหลายวันติดต่อกันแล้ว ร้อนจนจะเหมือนเป็นฤดูร้อนอยู่แล้ว แม้ยามค่ำคืนลมเย็นไร้เดือนไร้ดาว แต่ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกเลยนี่

ข้ออ้างปลอมเท็จเพียงนี้จะช่วยนางให้หลุดรอดมาได้หรือ

แต่ว่า…

“เจ้าค่ะ” นางกล่าว แล้วยกเท้าก้าวเดินออกไป

ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกล สาวใช้เดินทางราวกับยาวนานทั้งชีวิต แต่ถึงจะไกลเพียงไหนก็ยังมีจุดสิ้นสุด นางยืนนิ่งอยู่หน้าเรือน สายลมยามค่ำคืนพัดพาเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวมารำไร

สาวใช้ยกมือขึ้นเคาะประตู เสียงพูดหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นช่วงๆ ก็จางหายไปทันใด

“ใครน่ะ”

เสียงอันสั่นเครือของเด็กน้อยลอยมาจากด้านใน

สาวใช้สูดลมหายใจสองสามครั้ง

“ข้าเอง ปั้นฉิน” นางกล่าว “มาขอผักกำหนึ่งน่ะ”

 …………………………………………………………………