บทที่ 49 ลวงฟ้า Ink Stone_Romance

หลังจากปั้นฉินเดินออกแล้ว เฉิงเจียวเหนียงจึงออกมายืนอยู่ตรงทางเดิน

การให้หญิงบอบบางผู้หนึ่งก้าวเข้าไปในเรือนเจ้าอาวาสยามวิกาล อีกยังรู้ทั้งรู้ว่ามีชายโฉดอยู่ในนั้น เป็นเรื่องที่อาจหาญยิ่งนัก

ตามปกติแล้วหากได้ชื่อว่าเป็นคนของตระกูลเฉิง ชายโฉดหญิงชั่วนั่นคงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม แต่โลกใบนี้อย่างไรก็ยังมีเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้นอยู่มากมาย

หากไม่ใช่เพราะเวลากระชั้นชิด พลาดโอกาสครั้งนี้แล้วไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ นางจึงไม่อยากเสี่ยงเช่นกัน

ฟ้าเริ่มมืดเริ่มลงเรื่อยๆ แม้กระทั่งลมยามค่ำคืนก็คล้ายว่าจะหยุดพัดลง

สาวใช้รับแก้วสาเกมาด้วยมืออันสั่นเทา นางเงยหน้าดื่มหมดภายในอึกเดียว

เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วห้อง

“น้องสาวคนเก่ง น้องสาวคนเก่ง” เจ้าอาวาสกล่าวอย่างหน้าระรื่น

ชายที่อยู่ด้านข้างท่าทางนอบน้อมเป็นที่สุด

“ขอบคุณนายหญิงที่ใจกว้าง” เขายิ้มกล่าว

สาวใช้วางแก้วสาเกลง

“ข้าไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงสั่น หันหลังกำลังจะเดินไป

ชายหนุ่มสีหน้ากังวลเล็กน้อย เขาพยายามส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เจ้าอาวาสอย่างสุดกำลัง

กว่าจะได้พบนายหญิงน้อยในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อีกทั้งเขานั้นได้พูดจาหว่านล้อมจนเจ้าอาวาสใจอ่อนไปบ้างแล้ว จะปล่อยไปได้อย่างไร

“น้องสาว” เจ้าอาวาสยื่นมือมาดึงสาวใช้ไว้

สาวใช้ตกใจจนตัวสั่นเทา

“นี่เจ้าหนาวหรือ” เจ้าอาวาสกลับตกใจกับปฏิกิริยาของนางแทนจึงเอ่ยถามขึ้น ก่อนแล้วมองไปทางข้างนอก “วันนี้อากาศร้อนออก”

“ตอนกลางคืนหนาวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มรีบกล่าว “นายหญิงน้อยใส่เสื้อผ้าบางนักอาจหนาวก็เป็นได้”

ขณะที่พูดอยู่ก็รีบเอาเบาะรองนั่งมา แล้วเทสาเกอีกแก้ว

“รีบนั่งลงสิ ดื่มสาเกอีกแก้วแก้หนาว” เขาพูดอย่างเอาใจใส่

ท่าทางหิวกระหายของชายหนุ่ม ทำเอาเจ้าอาวาสเห็นแล้วแอบกัดฟันแน่น นางแทบอยากจะถีบสาวใช้นี้ออกไปให้พ้น แต่รู้ดีว่าทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงดึงแขนของนางไม่ยอมปล่อย

สาวใช้หน้าซีดเผือด

“ข้า…ข้าต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว

“กลับไปทำอะไรเล่า ยังเช้าอยู่เลย” เจ้าอาวาสกล่าวพลางยิ้มไป

สาวใช้อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากไว้ จะพูดประโยคนั้นออกไปอย่างนั้นหรือ ตอนนี้พูดได้แล้วสินะ

นางมองออกไปนอกห้อง

“ฝนจะตกแล้ว ข้าต้องกลับไปดูแลนายหญิงเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงสั่น

เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวและชายหนุ่มต่างพากันอึ้งไป แล้วหัวเราะขึ้นมาทันใด

“ฝนตกที่ไหนกันเล่า ฟ้าสดใสขนาดนี้…” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะไป เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาด ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นขึ้น ฟ้ายามค่ำคืนราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ก่อนมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา

หญิงทั้งสองนางในห้องตกใจจนกรีดร้องออกมา ชายหนุ่มเองก็อึ้งไปเช่นกัน รู้สึกเหมือนมีเสียงอื้ออึงอยู่ในหู ผ่านไปสักพักใหญ่จึงจะดีขึ้น เสียงฟ้าร้องข้างนอกที่ลอยไกลออกไปยังขอบฟ้า

“นายหญิงข้ากลัวเสียงฟ้าร้องมากเจ้าค่ะ ข้าต้องรีบไปดูเจ้าค่ะ” สาวใช้ตะโกนกล่าว นางสะบัดมือเจ้าอาวาสแล้วพุ่งออกไป

เจ้าอาวาสไม่มีสนใจว่าจะรั้งตัวนางไว้อย่างไรแล้ว นางออกไปรีบเรียกเด็กๆ ให้เก็บของที่ผึ่งตากไว้ข้างนอก

ฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกลงมา

สาวใช้วิ่งกลับเรือนโดยไม่หยุดพัก รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นระรัวจนจะหลุดออกมาจากอก ก่อนจะเหลือบไปเห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ตรงทางเดิน

“นายหญิง” นางร้องไห้กระโจนเข้าใส่ บอกไม่ถูกว่าเพราะดีใจหรือเสียใจกันแน่

ฝนตกแล้วจริงๆ! ฝนตกแล้วจริงๆ! ที่ท้องฟ้าเป็นเช่นนี้… นี่…นี่นายหญิงเรียกลมฝนได้อย่างนั้นหรือ

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือมาขวางนางไว้

“ยังไม่เสร็จ” นางกล่าว

สาวใช้หยุดร้องไห้แล้วเงยหน้าขึ้นมามองนาง เฉิงเจียวเหนียงนำของในมือยื่นมาให้

ว่าวกระดาษ

“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างสงสัย

เสียงฟ้าร้องข้างนอกดังอย่างต่อเนื่อง เม็ดฝนเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้เจ้าช่วยพยุงข้าไปที่นั่น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้สูดลมหายใจเข้า จ้องตาเขม็ง

“นายหญิง ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางจับมือเฉิงเจียวเหนียงไว้พลางตะโกนกล่าว

หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อย่างไรนางก็เดินเหินสะดวกวิ่งได้ขัดขืนได้ แต่นายหญิงไม่มีแรงต่อต้านใดเลย

“เจ้าส่งข้าไป แล้วหาข้ออ้างออกมา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวต่อ

สาวใช้ฟังแล้วอึ้งตะลึงงันไป

“เจ้าไม่ต้องพูด ไม่มีเวลาแล้ว ลมจะพัดมาแล้ว ตอนนี้ ฟังข้า เจ้าไม่ต้องคิดไม่ต้องถาม ขอแค่จำคำที่ข้าพูดต่อไปนี้ให้ดี ทำตามที่ข้าบอก ห้ามผิดพลาดสักประโยค สักก้าว สักนิด” เฉิงเจียวเหนียงไม่เว้นช่วงให้นางร้องไห้ได้อีก นางดึงแขนของสาวใช้ไว้แล้วค่อยๆ พูดทีละคำ “ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เราจะตายกันหมด”

สาวใช้มองดูนาง เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากเกร็งแน่น

เมื่อสาวใช้พยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไปในเรือนทางนี้ ลมพัดกระหน่ำ เสียงฟ้าร้องถี่ขึ้นทุกที

“ท่านเซียนหญิง นายหญิงข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง เสียงฟ้าร้องนี้รุนแรงเหลือเกิน” สาวใช้กล่าวเสียงสั่น

เจ้าอาวาสและชายหนุ่มในห้องต่างพากันอึ้งไป มองดูสาวใช้ที่ไปแล้วกลับมาอย่างไม่เชื่อสายตา ที่น่ายินดีไปกว่านั้นคือ คนสติไม่สมประกอบนั่นก็มาด้วย

ใต้แสงสว่างจากฟ้าแลบฟ้าร้องข้างนอกห้อง ยิ่งทำให้เจียวเหนียงที่ยืนอยู่ในห้องที่เห็นอยู่รำไรยิ่งเย้ายวนนัก

“บนเขาพอถึงเวลาแบบนี้ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ อย่าหวาดกลัวไปเลย สักพักก็ผ่านไป” เจ้าอาวาสได้สติกลับมาจึงรีบกล่าวออกไป แล้วรีบเชิญพวกนางให้นั่งลง

สาวใช้ขานรับ พยุงเฉิงเจียวเหนียงนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ส่วนตนเองที่กำลังจะนั่งนั้นกลับทำท่าทีเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“เอ๊ะ ข้าลืมปิดหน้าต่างประตูน่ะ” นางกล่าวแล้วรีบหันกลับวิ่งออกไป

เจ้าอาวาสยังไม่ทันได้พูดประโยคที่ว่า ‘ให้เด็กๆ ไปปิด’ แต่สาวใช้ก็วิ่งไปจนไม่เห็นเงาเสียแล้ว

นางจะลุกขึ้น แต่กลับโดนชายหนุ่มผู้นั้นยื้อเอาไว้

“คืนนี้เจ้าเฝ้าสาวใช้นั่นเอาไว้ดีๆ” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา ถึงเสียงจะเบาแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าปกปิดอะไร

ก็แค่คนบ้ามีอะไรต้องปิดบังกัน

เจ้าอาวาสอึ้งไปสักพัก นางเห็นสายตาทะลึ่งลามกของชายหนุ่มที่ตกกระทบบนตัวของคนสติไม่สมประกอบที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้น

“เจ้า!” นางอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “บอกแล้วว่าไม่ใช่หรือว่าตอนนี้ยังไม่ได้”

“มาเสนอถึงหน้าประตูแล้วยังไม่เอาอีก ยังจะเห็นข้าเป็นผู้ชายอยู่อีกหรือ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ผลักหญิงสาวออก “วันฝนกระหน่ำเช่นนี้ เป็นโชคที่สวรรค์มอบให้ข้า หากไม่ลงมืออีก จะโดนฟ้าผ่าเอา”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน แล้วขยับไปทางเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงตอนนี้ก็ลุกขึ้นเช่นกัน ชายหนุ่มตกใจจนหยุดฝีเท้าลง

เจ้าอาวาสก็อึ้งไปครู่หนึ่ง นางกับชายหนุ่มเหม่อมองดูคนบ้านั้นเดินไปยังหน้าต่าง ยื่นมือไปผลักหน้าต่างออก

ลมฝนพัดเข้ามาในห้อง จนผ้าปูเตียงปลิวว่อน

“นี่ อย่าเปิดหน้าต่างสิ” เจ้าอาวาสรีบตะโกนบอก

“สนุกจังเลย” เฉิงเจียวเหนียงหันมามองนางแล้วกล่าว พลางยิ้มเล็กน้อย

รอยยิ้มใต้แสงไฟทำเอาชายหนุ่มแทบสลบ เขายื่นมือไปขวางเจ้าอาวาสที่กำลังเดินเข้าไป

“ได้ สนุกนัก ก็เล่นสิ” เขากล่าวเสียงสั่นแล้วสลัดเจ้าอาวาสทิ้ง พลางกลืนน้ำลายแล้วขยับเข้าไปข้างเฉิงเจียวเหนียง ก่อนจะผลักหน้าต่างออกอีก

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มอีก

“สนุกจัง” นางกล่าว

ชายหนุ่มดีใจใหญ่

“อย่างนั้น ข้าพานายหญิงเล่นดีหรือไม่” เขากล่าวเสียงสั่น

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา แล้วพยักหน้า

ชายหนุ่มดีใจจนตัวแทบลอย เหลียวซ้ายแลขวา วิ่งไปหน้าประตู แล้วผลักประตูออก

เวลานี้ฝนกำลังตกหนัก เพียงครู่เดียวบนพื้นก็เต็มไปด้วยน้ำขัง

เจ้าอาวาสโกรธจนกัดฟันแน่น

“พวกเจ้าหยุดวุ่นวายสักทีได้หรือไม่ ฝนตกหนักอยู่นะ” นางตะโกนกล่าว “เป็นเช่นนี้แล้วข้าจะอยู่ได้อย่างไร”

ขณะนี้ชายหนุ่มได้ลองจับมือเฉิงเจียวเหนียงแล้ว ตัวก็แข็งทื่อไปหมด

“ไม่ได้ให้เจ้าอยู่นี่ เจ้ารีบไปเล้าโลมสาวใช้นั่นไว้” เขากล่าวเสียงแหบพร่าอย่างไม่สบอารมณ์แล้วกลืนน้ำลายลงคอ สายตาตกอยู่บนหน้าอกของเฉิงเจียวเหนียง จะบ้าไม่บ้า ที่ที่ควรโตก็เจริญเติบโตแล้ว…

หญิงสาวโกรธจนแทบอยากจะถีบชายชั่วนี่ นางรีบเดินไปจนแทบลื่นหกล้ม

ทันในนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้น เชือกเส้นหนาสองเส้นพัดมากับลม ตีกระทบบนหน้าต่างและประตู ทำเอาทั้งสองตกใจ

“ลมแรงมาก พัดเอาเชือกที่ซ่อมเรือนหลังนั้นหล่นลงมาแล้ว” หญิงสาวกล่าว

ชายหนุ่มมองไปข้างนอก เห็นเชือกสองเส้นส่ายไปมากับลม มีเส้นหนึ่งโดนพัดเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่าง

เฉิงเจียวเหนียงยกเท้าเดินออกไป

“นี่ นี่” ชายหนุ่มได้สติก็รีบตะโกนกล่าว “อย่าออกไป ฝนตกฟ้าร้องอยู่นะ”

เฉิงเจียวเหนียงได้ก้าวออกไปจากตัวเรือนแล้ว

ฝนสาดเทลงมาอย่างหนัก เฉิงเจียวเหนียงเปียกปอนไปทั่วตัวในทันใด น้ำฝนสาดใส่จนนางแทบหายใจไม่ออก

“นายหญิง!” เสียงของสาวใช้ลอยมาจากกลางสายฝน

“รีบเข้ามา” เจ้าอาวาสก็ได้ยินเช่นกัน นางเห็นสาวใช้กำลังวิ่งมาจากประตูเรือนอย่างเลือนลาง จึงรีบตะโกนออกไป “พวกเจ้ารีบเข้ามา ฝนตกหนักเพียงนี้อยู่ข้างนอกมันอันตราย”

หลังจากพูดจบ เสียงระเบิดกลางท้องฟ้าทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือน บนพื้นก็เองสั่น และตัวนางก็สั่นเช่นกัน

ตัวสั่นอย่างนั้นหรือ

จากนั้นเสียงฟ้าฝ่าก็ดังก้องไปทั่วห้อง เจ้าอาวาสหันไปตามจิตใต้สำนึกเมื่อมองเห็นลูกไฟลุกขึ้นบนพื้นข้างหน้าต่าง

“นี่อะไรกัน” เจ้าอาวาสกรีดร้องตะโกน

ชายหนุ่มที่กำลังจะพุ่งเข้าไปท่ามกลางสายฝนเพื่อดึงตัวนายหญิงที่ตัวเปียกปอนกลับมา ก็หันไปมองเช่นกัน

ณ เวลานี้ที่เนินเขา วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นเช่นกัน

“อาจารย์ อาจารย์ ท่านรีบดูเข้า วัดเสวียนเมี่ยวน้อยถูกฟ้าผ่า!” แม่ชีสองคนที่กำลังเข้าเวรในคืนฝนตกที่วิหารกลางมองไปข้างนอกแล้วส่งเสียงกรีดร้อง

บนยอดเขาในคืนฝน สายฟ้าเส้นตรงยาวผ่ากลางลงบนหลังคาของวัดเสวียนเมี่ยวน้อย ราวกับพุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า

เสียงดัง ‘เปรี้ยง’ ของฟ้าร้องดังราวกับระเบิด เสียงตึงตังดังขึ้น คนทั้งสองในห้องไหม้ดำไปทั้งตัว นอนล้มอยู่บนพื้น

เสียงร้องคำรามดังอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า แสงไฟลูกแล้วลูกเล่าลุกไหม้ขึ้นบนหลังคาของวัดเต๋า เปลวไฟนั้นลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ว่าวกระดาษที่ลอยมาติดกับแท่งเหล็กบนหลังคาติดถูกแผดเผาจนเกิดเสียงดังของเปลวไฟ ก่อนจะร่วงหล่นลงมารวมเรือนที่กำลังมอดไหม้อยู่ในกองเพลิง

…………………………………………………………….