บทที่ 50 สมควรได้รับ Ink Stone_Romance

เสียงฟ้าร้องดังสนั่น สายฟ้าแลบสว่างวาบเป็นระยะ แต่เมื่อเทียบกับที่อยู่บนหัวเมื่อครู่นั้น ก็ถือว่าได้ไกลออกไปมากแล้ว

เรือนถูกไฟไหม้ไปครึ่งเรือนแล้ว สายฝนที่เทลงมาค่อยๆ ช่วยดับไฟลง

แสงไฟกระพริบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด สะท้อนเงาที่นั่งคุดคู้ขดตัวเป็นก้อนกลางสายฝนในเรือน

ปรากฏภาพเงาของคนสี่คน

เด็กน้อยสองคนวิ่งออกมาจากห้องครัวเช่นกันยามที่เกิดไฟลุกไหม้ พวกนางหวาดหวั่นไม่เป็นสุข เมื่อได้ยินเฉิงเจียวเหนียงตะโกนให้สาวใช้ที่วิ่งมานั่งยองลงกอดเข่าไว้จึงทำตามด้วย

ฟ้าฝนกระหน่ำบนเขานี้มาเร็วไปเร็ว เมื่อตอนเสียงฟ้าร้องเริ่มเบาหูลง เฉิงเจียวเหนียงจึงค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ทว่าสายฝนนั้นสาดเทลงมาหนักมากจนนางไร้เรี่ยวเรียงจะลุกขึ้นแล้ว

“ปั้นฉิน” นางเรียกอย่างอ่อนแรง “ได้แล้ว”

สาวใช้ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ใกล้เรือนที่ถูกไหม้ยิ่งกว่านาง ปั้นฉินล้มลุกคลุกคลานพุ่งกระโจนเข้าหาก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา

นางไถลลงบันไดแล้วจึงรีบวิ่งตรงมา แต่กลับถูกนายหญิงเรียกให้หยุดก่อนจะเข้ามาในเรือน

ลองนึกย้อนดูตอนนี้ ถึงได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นช่างแสนน่ากลัวและอันตรายมากเพียงใด นางนั่งย่อตัวลงข้างประตูเรือน รู้สึกว่าหัวชาตัวแข็งไปหมด คล้ายกับว่ามีสิ่งประหลาดแทงทะลุร่างไป แค่คิดก็รู้ว่าเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ใกล้ๆ นั้นจะเป็นอย่างไร

“นายหญิง นายหญิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ” นางร้องไห้ตะโกนกล่าว

“ไม่เป็นอะไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว นางไร้เรี่ยวแรงจะตบปลอบสาวใช้ ทำได้เพียงจับแขนนางลุกขึ้นมา

สาวใช้ทั้งเหนื่อยทั้งกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา อย่าเรียกว่าพยุงตัวเฉิงเจียวเหนียงเลย เรียกว่าทั้งสองคนพยุงกันและกันเสียดีกว่า พอเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายและเสียงตบประตูจากทางด้านนอกประตู

“พวกข้ามาช่วยดับไฟ ยังมีคนอยู่ไหม ยังสบายดีอยู่ไหม”

เสียงอันสั่นเครือของหญิงสาวลอยมาจากด้านนอกประตู

ด้านในประตูไร้ซึ่งเสียงคนตอบกลับมา มีเพียงเสียงของไฟที่ลุกโชน

“อาจารย์ คงถูกไฟคลอกตายกันหมดแล้วกระมัง” เหล่าแม่ชีที่ใส่เสื้อกันฝนฟาง สวมงอบ ถือขันน้ำ ถังไม้ และไม้กวาดเอ่ยขึ้น

เจ้าอาวาสมองดูประตูวัดแล้วหันไปมองดูแสงไฟและควันหมอกด้านในประตู

แม้คนจะมีความผิด แต่สรรพสิ่งมีชะตา ประสบความลำบากแต่ไม่ช่วย ก็ไม่สมควรเป็นมนุษย์

“พังประตู” นางกล่าว

แม่ชีสองสามคนมาเบียดกันหน้าประตูพร้อมกัน

“ฟังข้าส่งเสียงนะ” เจ้าอาวาสยืนอยู่ข้างๆ “หนึ่ง สอง สาม”

เหล่าแม่ชีส่งเสียงฮึดฮัด พุ่งชนบานประตูพร้อมกัน

ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เสียงออกแรงของเหล่าแม่ชีกลายเป็นเสียงตกใจ พวกนางล้มระเนระนาดอยู่หน้าประตู

ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีหรือว่าแม่ชีเหล่านี้ท่าทางดูตลกกันแน่ เด็กน้อยที่มาเปิดประตูจึงอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

หญิงผู้นั้นถูกฟ้าผ่าตายแล้ว! หญิงผู้นั้นถูกฟ้าผ่าตายแล้ว!

ตอนที่พวกนางไร้หนทางไป หญิงผู้นั้นดันตายไปก่อนเสียแล้ว!

ช่างเป็นเรื่องที่ตลกเสียจริง

เด็กน้อยหัวเราะเสียงดังขึ้นทุกทีจนต้องกอดท้องไว้นั่งย่อลงไปกับพื้น

เหล่าแม่ชีที่ทับซ้อนกันบนพื้นกลางสายฝนได้แต่มองหน้ากันไปมา วัดเต๋าถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ ยังจะหัวเราะออกมาได้หรือ ตกใจจนบ้าไปแล้วหรือไร

สาวใช้ใช้ผ้าห่มผืนบางห่อตัวเฉิงเจียวเหนียงไว้แล้วรีบยกน้ำขิงร้อนมาให้ หลังจากทั้งสองค่อยๆ ดื่มกันได้สองสามคำสีหน้าจึงเริ่มดีขึ้น

“นายหญิง เดี๋ยว เดี๋ยวอีกสักพักต้มน้ำร้อนแล้วแช่อีกหน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว

ยามอ้าทั้งปากฟันบนฟันล่างของนางยังคงสั่นเครืออยู่ ไม่รู้ว่าเพราะตกใจหรือเพราะหนาวกันแน่

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้า สาวใช้จึงรีบหันไปดู แม่ชีสูงอายุผู้หนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงทางเดิน

“แม่นาง” นางคำนับกล่าว

สาวใช้รีบคำนับกลับ

“เจ้าอาวาสเฉิงมรณภาพแล้ว” แม่ชีกล่าว “ไฟก็ดับแล้ว นอกจาก เจ้าอาวาสเฉิง…และ…แล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต”

มีชายหนุ่มผู้หนึ่งตายอยู่ในห้องแม่ชียามวิกาล เรื่องนี้พูดออกไปไม่ได้จริงๆ

“อย่างนั้น อย่างนั้น จะทำอย่างไรดีหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

มองดูสาวน้อยที่ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มแลดูเหม่อลอย สาวใช้อายุน้อยผู้นี้เองที่ตัวสั่นเทาจนไร้สติ เจ้าอาวาสก็ถอนหายใจ

“เช่นนั้นก็ให้นายใหญ่ตระกูลเฉิงตัดสินแล้วกัน” นางกล่าวเตือนสติ

สาวใช้ขานรับ ‘อ้อๆ’ ในทันใด รีบหันหน้าไปมองเฉิงเจียวเหนียง

นายหญิงเหนื่อยแย่แล้ว ตั้งแต่กลับมาจนบัดนี้ยังไม่พูดเลยสักคำ

ทำเช่นนี้จะดีหรือ

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเจ้าอาวาสผู้นี้

“ท่านนักพรต” นางปริปากพูด

เจ้าอาวาสที่อยู่ด้านนอกตกใจเล็กน้อย นางคงเคยได้ยินคนเล่าลือกันมาแน่นอนว่าคนที่อาศัยในวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแห่งนี้คือลูกสาวที่สติไม่สมประกอบของตระกูลเฉิง คนสติไม่สมประกอบพูดได้ด้วยหรือ แถมน้ำเสียงก็ไม่เห็นมีความบ้าแฝงอยู่เลย

นางตั้งสติได้ก็รีบคำนับตอบรับ

“เกรงว่าจะต้องรบกวนท่านด้วย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

เจ้าอาวาสอึ้งไปสักครู่

“ได้ นายหญิงวางใจได้ ข้าจะไปเรียกคนตระกูลเฉิงมาให้นายหญิง บอกว่าเมื่อวานเห็นฟ้าผ่า คนตระกูลเฉิงคงเข้าใจดี” นางกล่าว

นางบอกเป็นนัยว่า นางไม่ได้เข้ามาในวัด จึงไม่รู้ว่าวัดเสวียนเมี่ยวน้อยเกิดอะไรขึ้น และแน่นอนว่าไม่รู้ว่าชายผู้นั้นอยู่ข้างในด้วย หน้าตาและชื่อเสียงของตระกูลเฉิงจะยังคงอยู่ดังเดิม

“ไม่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “เจ้าอาวาสเห็นอะไรก็เป็นเช่นนั้น เจ้าอาวาสมีเมตตาจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ต้องปกปิดอะไร”

เจ้าอาวาสมองดูเฉิงเจียวเหนียง สีหน้าตกใจของนางยากจะปิดไว้

คนบ้าหรือ

คนบ้าอย่างนั้นหรือ

“ท่านนักพรต วัดเสวียนเมี่ยวน้อยอยู่ดีๆ ก็ถูกฟ้าผ่าจนไฟไหม้ ต่อไปให้วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่มาดูแลแทนน่าจะดี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

นายหญิงผู้นี้เป็นคนสติไม่สมประกอบหรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เจ้าอาวาสรู้ว่าตนไม่ใช่คนสติไม่สมประกอบแน่ ความหมายของคำพูดนี้ นางเข้าใจได้ในทันที

เรื่องที่ปรารถนามาตลอดจู่ๆ ก็บังเกิดขึ้นตรงหน้า บนใบหน้าของเจ้าอาวาสนั้นมีทั้งความตื่นเต้นและความเหลือเชื่อปรากฏออกมา

นางรู้สึกว่าตนจะควรพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับได้แต่นิ่งอึ้ง สุดท้ายก็ก้มตัวคำนับ

“ขอบคุณนายหญิงที่เห็นความสำคัญ” นางกล่าว

เมื่อคืนบนเขามีทั้งฟ้าร้องทั้งฝนตก แต่ในเมืองกลับไม่ได้รุนแรงเช่นนั้น ฝนกระหน่ำทั้งคืนมาเร็วไปเร็ว เมืองเจียงโจวในเวลาเช้าตรู่ก็เปิดฉากด้วยความคึกคักเช่นเดิม

เพียงแต่ม้าสองสามตัวที่ผ่านตลาดไปอย่างรีบร้อนทำให้ถนนที่เงียบสงบวุ่นวายไปพักหนึ่ง นำมาซึ่งเสียงก่นด่าสาปแช่ง

นายใหญ่ตระกูลเฉิงเดินไปมาในห้องรับแขกอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นพ่อบ้านเข้ามาอย่างรีบร้อน

“ว่าอย่างไร” เขารีบเอ่ยถาม

พ่อบ้านพยักหน้าแล้วเข้าไปป้องปากกระซิบข้างหูอยู่สองสามคำ นายใหญ่ตระกูลเฉิงสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล โชคร้ายของตระกูลเสียจริง!” เขากลับเข้าห้องนอนแล้วนั่งลง โมโหจนแทบทนไม่ไหว

ฮูหยินใหญ่เฉิงให้สาวใช้ออกไป แล้วยกน้ำชาด้วยตนเอง

“ไม่มีใครรู้ ก็ไม่เป็นไร” นางกล่าวปลอบใจ พูดถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”

นายใหญ่เฉิงพยักหน้าอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

“ตรวจสอบแล้วว่าเป็นชายหนุ่มหมู่บ้านใกล้เคียง ส่วนหญิงสาวนั้นกำลังตามหา พ่อบ้านก็ให้เงินแล้วไล่ไปแล้ว บอกเพียงล่าสัตว์บนเขาแล้วถูกฟ้าผ่า หญิงคนนั้นก็ไม่มีลูก เอาเงินไปอย่างดีใจขายนาทิ้งแล้วกลับบ้านแต่งงานใหม่ไปแล้ว” เขากล่าว

ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจยาว

“ปิดเรื่องให้เงียบได้ก็ดีแล้ว” นางกล่าวพลางถอนหายใจ ประนมมือขึ้นสวดมนต์ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าอาวาสซุนจริงๆ”

นายใหญ่เฉิงพยักหน้า

“เจ้าว่า เด็กคนนั้นยังอยู่ที่วัด เกิดเรื่องแบบนี้ จะรับกลับมาดีหรือไม่” เขาเอ่ยถาม

ฮูหยินใหญ่เฉิงเงียบไปไม่ได้พูดอะไร

ตามหลักแล้วเกิดเรื่องนี้ขึ้นควรจะรับกลับมา แต่ว่า…

ข่าวแม่ชีวัดเสวียนเมี่ยวน้อยถูกฟ้าผ่าตายได้แพร่กระจายไปถึงคนในบ้านอย่างรวดเร็ว

แม่นางเฉิงหกเพิ่งจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“โอย ทำไมอยู่ดีๆ ก็ถูกฟ้าผ่าล่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าวอย่างตกใจ หันหน้าไปมองแม่นมที่คุกเข่ารับใช้อยู่ด้านนอก แล้วใช้พัดน้อยชี้ออกไป “ท่านแม่บอกว่า คนที่ทำเรื่องชั่วร้ายไม่น่าให้อภัยจึงจะถูกฟ้าผ่า หรือไม่ก็พวกวิญญาณเอย ปีศาจเอย โอย เจ้าอาวาสนั่นคงไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอกหรือผีภูเขาหรอกนะ”

เด็กน้อยจริงๆ…

พี่น้องในห้องจ้องนางอย่างจนใจ

“ในเขามีฝนมาก ไฟป่าก็มีมาก พบเห็นได้บ่อยๆ” แม่นางเฉิงหกกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเมื่อก่อนไม่ถูกฟ้าผ่า ตอนนี้คนบ้านั่นไปแล้วก็ฟ้าผ่าเลยล่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าวอย่างไม่ยอม พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ร้อง ‘อ๋อ’ ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนพื้นอย่างแรง นางโบกพัดน้อยของตนราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างออก “อ๋อๆ คนบ้า คนบ้านั่น คนบ้านั่นชักนำมาเป็นแน่!”

ในขณะเดียวกัน ผู้คนภายนอกก็ถกเถียงกันเซ็งแซ่

“ต้องเป็นเพราะคนบ้านั่นแน่ๆ”

“ใครอยู่ใกล้คนนั้นก็โชคร้ายจริงๆ ตั้งแต่เข้าบ้านมา พวกเจ้าลองนับดู มีคนโชคร้ายไปกี่คนแล้ว”

“…ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองถูกคนมาด่าต่อหน้า คนแก่และเด็กทั้งบ้านเหล่าถัง เสี่ยวจวี๋และพ่อแม่นางถูกไล่ออกจากบ้าน ล้วนเป็นเพราะนางทั้งนั้น นับดูมีสักสิบคนได้แล้ว”

“นี่เพิ่งจะเข้าไปอยู่ในวัดเต๋าไม่กี่วัน อยู่ดีๆ เจ้าอาวาสก็ถูกฟ้าผ่าตายแล้ว…”

เสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักดังลอยมาจากหลังประตู แม่นมที่นำทางมาชักสีหน้ากระทืบเท้าแล้วกระแอมหนึ่งที เสียงพูดคุยหัวเราะหลังประตูนั้นก็หายไปทันใด

“ท่านเซียนหญิง เชิญทางนี้” แม่นมฝืนยิ้มเล็กน้อยให้แม่ชีข้างหลังพลางกล่าวขึ้น

เจ้าอาวาสซุนพยักหน้า สีหน้าเฉยชาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม นางเดินอย่างช้าๆ สองสามก้าว แต่ในใจกลับวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เหล่าแม่นมซุบซิบนินทากันเมื่อครู่

เพราะคนสติไม่สมประกอบนั่น มีหลายคนแล้วที่ต้องโชคร้าย…

หลายคน…

นายหญิงที่ดูแลบ้าน แม่นมและสาวใช้ที่คอยรับใช้…

คนเหล่านี้ไม่น่าจะโชคร้ายอย่างไร้สาเหตุหรอก…ยั่วโมโหคนบ้านั่นเข้าแล้วละสิ…

ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เจ้าอาวาสซุนตัวสั่นเทา

ยั่วโมโหคนบ้านั่นอย่างนั้นหรือ

ฉะนั้น หญิงผู้นั้นก็เลยโชคร้ายถูกฟ้าผ่าตายอย่างนั้นหรือ

“ท่านเซียนหญิง” แม่นมเอ่ยเรียก ขัดจังหวะนางที่กำลังเหม่อลอย

เจ้าอาวาสซุนเพิ่งจะเห็นว่าตน เข้ามายังห้องของฮูหยินใหญ่เฉิงแล้ว นางจึงรีบคำนับ

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าอาวาสมาก” ฮูหยินใหญ่เฉิงทำท่าทางบอกให้นางลุกขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เป็นธรรมชาติของมนุษย์” เจ้าอาวาสซุนกล่าวพลางคำนับอีกครั้ง

“ถึงแม้จะเป็นวัดเต๋าของบ้านเรา แต่อย่างไรเสียก็จัดการได้ไม่รอบคอบเท่าพวกท่านที่เป็นผู้บำเพ็ญตนหรอก ฉะนั้น ข้ากับนายท่านเห็นว่า จะมอบวัดเต๋านี้ให้เจ้าอาวาสเป็นคนดูแล” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูดอย่างตรงไปตรงมา แล้วยื่นโฉนดใบหนึ่งให้

ถึงแม้ว่าคาดเอาไว้แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากได้ยินได้เห็นจริงๆ แล้ว เจ้าอาวาสซุนก็ยังดีใจอย่างห้ามไม่ได้

“ขอบคุณนายท่าน ฮูหยินที่ไว้ใจ” นางคำนับและกล่าวอย่างเคร่งขรึมตั้งใจ

มักจะนึกอยู่บ่อยครั้งว่าบนโลกใบนี้มีบางเรื่องทำได้แต่คิดเท่านั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องที่ไกลเกินตัวจะมาอยู่ตรงหน้าในชั่วพริบตา

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน นางยังมึนงงอยู่เล็กน้อย

บนเขาฝนตกฟ้าร้องไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเวลานี้ของทุกปีก็เป็นเช่นนี้

แต่ปีนี้กลับมีคืนหนึ่งที่ฝนตกฟ้าร้อง แล้ววัดเสวียนเมี่ยวน้อยก็ถูกฟ้าผ่า

จากนั้นนางก็พาเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายไปช่วยดับไฟ

จากนั้นก็เห็นสาวใช้พยุงหญิงสาวที่เปียกปอนไปทั้งตัวเดินมาท่ามกลางสายฝน

จากนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็บอกนางว่า เรื่องของวัดเสวียนเมี่ยวน้อยให้วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ของนางมาสยบไว้จึงจะดี…

หญิงสาวผู้นั้น!

เจ้าอาวาสซุนเนื้อตัวสั่นเทาอีกครั้ง

“ยังมีอีกเรื่องจะรายงานฮูหยิน ให้ฮูหยินเป็นผู้ตัดสิน” นางกล่าว

“ท่านเซียนหญิงเชิญกล่าว” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

“นายหญิงที่อาศัยอยู่ในวัดเสวียนเมี่ยวน้อยก่อนหน้านี้นั้นตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ข้าพอจะรู้การแพทย์เล็กน้อย จึงอยากจะดูอาการให้นาง ทำให้นางหายจากอาการตกใจเสียหน่อย อีกอย่างธูปที่ใช้ในวัดก็ควรจะใช้ของดีหน่อย

มิทราบว่าท่านฮูหยินจะว่าอย่างไร” เจ้าอาวาสซุนกล่าว

นี่เป็นโพธิสัตว์มีชีวิตที่สวรรค์ประทานให้นางจริงๆ ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มหน้าระรื่น อมิตาพุทธ ขอเพียงแค่คนบ้านั่นไม่อยู่ในบ้าน นางก็สมความปรารถนาราบรื่นทุกประการได้จริงด้วย

ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบไปบอกนายใหญ่เฉิง แล้วก็เชิญคู่สามีภรรยานายรองเฉิงมาเพื่อบอกข้อเสนอของเจ้าอาวาส

ข้อเสนอนี้สำหรับทุกคนแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

“เจ้าอาวาสซุนเป็นผู้บำเพ็ญตนจริงๆ หนักแน่นน่าเชื่อถือ ทำตามที่นางบอกแล้วกัน” นายใหญ่เฉิงกล่าว

นายรองเฉิงก็พยักหน้าเช่นกัน

“ตอนนั้นนักพรตก็เคยบอกว่า ต้องอาศัยอยู่ในวัดเต๋า เป็นเรื่องดีจริงด้วย” เขากล่าว

“วัดเสวียนเมี่ยวน้อยไฟไหม้เสียหายอย่างหนัก จัดสรรเงินให้คนไปซ่อมแซมบูรณะเสีย” นายใหญ่เฉิงกล่าว มองดูฮูหยินใหญ่เฉิง แล้วก็คิดสักครู่หนึ่ง “หาใครมาซ่อม จะซ่อมอย่างไร ก็ให้เจ้าอาวาสซุนเป็นคนตัดสินใจแล้วกัน”

จ้างคนบูรณะซ่อมแซมนั้นย่อมมีกำไรให้ตักตวง เจ้าอาวาสซุนนี้ช่วยบ้านพวกเขาไว้อย่างมาก แล้วยังเข้าใจหัวอกคนอย่างพวกเขา ทั้งยังแนะให้คนบ้านั่นอยู่ในวัดเช่นนี้อีก นายใหญ่เฉิงคิดว่าจะต้องตอบแทนคนผู้นี้อย่างแน่นอน

ไม่มีผู้ใดคัดค้านในจุดนี้ ฮูหยินใหญ่เฉิงลุกขึ้นไปบอกกับเจ้าอาวาสซุน นายใหญ่เฉิงก็เรียกให้พ่อบ้านมาสั่งเรื่องจ่ายค่าจ้างคนงาน

คู่สามีภรรยานายรองเฉิงหมดธุระก็ขอตัวกลับก่อน

“ว่าแต่ช่างแปลกเสียจริง” ฮูหยินรองเฉิงเหมือนคิดอะไรได้ กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา

“อะไรแปลกหรือ” นายรองเฉิงกล่าวอย่างใจลอย

ช่วงนี้การแต่งตั้งของเขาก็ยังไม่มีคำสั่งลงมา เมื่อถามอีกก็บอกว่าผ่านแล้วผ่านแล้ว แต่เมื่อใดที่ยังไม่ได้รับหนังสือแต่งตั้ง ก็ยังไม่ถือว่าผ่านแล้ว

“วัดเต๋าที่ปิ้งโจวก็ถูกฟ้าผ่า ทำไมกลับมาถึงวัดเต๋านี้ก็ถูกฟ้าผ่า หรือว่าจะมีอะไร…” ฮูหยินรองเฉิงกล่าวเสียงแผ่วเบา

“มีอะไร ไม่มีอะไรสักนิด!” นายรองเฉิงขัดจังหวะนางอย่างไม่สบอารมณ์ “อยู่ดีไม่ว่าดี เจ้าไปฟังหญิงต่ำช้าไม่รู้ความพวกนั้นพูดอะไรไปเรื่อย!”

พอพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินนำไปก่อน ฮูหยินรองเฉิงเบะปากอยู่ข้างหลังแล้วเดินตามไป

สาวใช้พยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าในวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ที่ตีนเขา เจ้าอาวาสซุนนำทางด้วยตนเอง เหล่าแม่ชีที่ถูกกำชับและไล่ออกไปก่อนหน้านี้ต่างแอบอยู่ในห้อง พวกที่อายุน้อยสองสามคนทนความสงสัยมิได้ ก็แอบมองลอดออกไปผ่านช่องหน้าต่าง

“เป็นนายหญิงผู้นั้นจริงๆ!” มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา “วันนั้นที่เจอบนเขานั้นก็คือนายหญิงสองคนนี้แหละ”

“ที่แท้พวกนางก็เป็นคนของตระกูลเฉิงนี่เอง”

“นายหญิงผู้นั้นเป็นคนสติไม่สมประกอบจริงๆ”

“พวกเจ้าเพิ่งมาไม่รู้อะไร ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นฮูหยินโจวของตระกูลเฉิง เดินผ่านตีนเขาไปยังวัดเสวียน

เมี่ยวน้อยอยู่บ่อยครั้ง เดินผ่านที่นี่ก็เข้ามาไหว้เพื่อขอพรให้เด็กคนนี้ ทุกครั้งต้องร้องไห้อยู่ในนั้นเป็นนานสองนาน ช่างน่าสงสารนัก”

คนอื่นๆ แอบถกเถียงกันเสียงเบา เขย่งเท้ามองดูหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมสีดำปิดจรดเท้าผู้นั้น แล้วสุดท้ายสายตาก็มองไปยังสาวใช้ผู้นั้นที่อยู่เคียงข้าง

“สาวใช้ผู้นี้เป็นคนดีเสียจริง”

“ไม่ใช่คนดีก็คงไม่ตามมาคอยรับใช้คนบ้านี่หรอก หากเป็นคนอื่นคงรังเกียจเป็นแน่”

“นั่นสิ จะต้องชักสีหน้าไม่พอใจแน่ เจ้าดูสิว่าสีหน้านางตอนนี้ช่างเอาใจใส่นัก ดูแลคนบ้านี้ด้วยความจริงใจ”

เจ้าอาวาสซุนนำเบาะรองนั่งฟางมาปูให้ด้วยตนเอง มองดูสาวใช้พยุงเฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ นั่งลงแล้ว ตนจึงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ

“ทำตามที่นายหญิงบอกแล้ว บ้านตระกูลเฉิงให้นายหญิงอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว” นางกล่าว ความตื่นเต้นดีใจบนในหน้ายากจะปกปิดได้ “ขอบคุณนายหญิงมาก”

ความดีใจเช่นนี้บังเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่นางเห็นพ่อบ้านตระกูลเฉิงเบิกตั๋วเงินให้แล้ว

นางไม่คิดว่าตระกูลเฉิงจะมอบหน้าที่การบูรณะวัดเสวียนเมี่ยวน้อยให้เป็นธุระของนาง ช่างเป็นความน่ายินดีที่คาดไม่ถึงเสียจริง

เงินก้อนนี้นำมาบูรณะวัดเสวียนเมี่ยวน้อยนั้นมากมายเกินพอ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดเต๋าที่คนมากราบไหว้ไม่มาก ก็ขาดเงินจริงๆ มีเงินที่เหลือเกินมาส่วนนี้ เสื้อผ้าที่ใส่จนใส่ไม่ได้แล้วของนางและเหล่าลูกศิษย์คงจะได้เปลี่ยนกันเสียที

“นี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพลางมองดูนาง

ก้าวแรกได้เริ่มก้าวออกมาแล้ว ประการแรกวัดเสวียนเมี่ยวน้อยเป็นกิจการของตระกูลเฉิง ประการสองความสัมพันธ์ต้องมีการไปมาหาสู่ การไปมาหาสู่จึงเกิดความสัมพันธ์ ในภายหลังจะไปไหนก็ทันเวลา อีกยังมีครั้งนี้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิงเป็นรากฐานอีก หลังจากนี้ปัจจัยถวายพระต้องมีไม่น้อยเป็นแน่

แน่นอนว่าเจ้าอาวาสซุนก็คิดได้เช่นกัน แต่ว่า…

ตนคิดได้ก็ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ยังไม่ได้พูดอะไร นายหญิงผู้นี้ก็ดูเหมือนจะรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งอยากพูดอะไรก็ยังรู้

นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองนายหญิงตรงหน้า

เฉิงเจียวเหนียงเปิดผ้าคลุมหน้าออก เผยหน้าตาออกมาให้เห็น นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอาวาสซุนได้เห็นโฉมหน้าของนางอย่างชัดเจน ครั้งก่อนนั้นเป็นช่วงกลางคืน อีกยังเป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจึงมองเห็นไม่ชัดเท่าไรนัก

เจ้าอาวาสซุนยังจำฮูหยินสกุลโจวของบ้านตระกูลเฉิงได้ เวลานี้มองดูแล้วเด็กคนนี้หน้าตาคล้ายแม่ของนางที่ผสมผสานกับหน้าตาพ่อของนาง ผ้าคุมที่เปิดออกเลิกผมหน้าม้าขึ้น เผยให้เห็นคิ้วคู่ดกดำดั่งน้ำหมึก เรียวเล็กดังใบหลิว และคมกริบดังใบมีด มาคู่กับดวงตาคู่โตคู่นั้น แต่เสียดายที่ในดวงตาตาดำเล็กกว่าตาขาว เพิ่มความเย็นยะเยือกให้ดวงตา จนทำให้คนไม่กล้ามอง

เจ้าอาวาสซุนก้มหน้าลง

“ขอบคุณนายหญิงที่เห็นความสำคัญ” นางกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“เจ้าอาวาสมีเมตตา สมควรจะได้รับมัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

อากาศฟ้าฝนคะนองเช่นนั้น ไฟจากฟ้าผ่าลุกโชนรุนแรง อีกยังเป็นวัดเสวียนเมี่ยวน้อยที่ชื่อเสียงไม่ดีนัก นางยังพาเหล่าลูกศิษย์มาช่วย เห็นได้ว่าเป็นผู้มีจิตใจดีมีเมตตาจริงๆ

ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ต่ออีก เจ้าอาวาสซุนกล่าวขอบคุณ

“นายหญิงอาศัยที่นี่ชั่วคราวไปก่อน รอให้ทางนั้นบูรณะเสร็จแล้วค่อยย้ายไป” นางพูดขึ้นและเอ่ยต่อด้วยความรู้สึกผิด “ห้องทรุดโทรมนายหญิงคงต้องลำบากสักหน่อย”

เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับไม่ได้พูดอะไร

เจ้าอาวาสซุนไม่กล้าพูดมากถอยออกไปก่อน เหล่าลูกศิษย์รอจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้วรีบรุมล้อมเข้ามา มองดูอาจารย์ที่เหมือนว่าจะโล่งใจดังยกภูเขาออกจากอก

“เจ้าอาวาส คนบ้านั่นน่ากลัวไหม” ศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

ตีคนด่าคนร้องไห้โวยวายปลอบไม่ได้เตือนไม่ได้ไม่เข้าใจหัวอกคนอย่างนั้นหรือไม่

คนบ้านั่น…

เจ้าอาวาสอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง นางอายุยังน้อย นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับไม่พูดจา ไม่แสดงสีหน้าอาการ แต่กลับทำให้นางไม่กล้าพูดไม่กล้ามอง

ที่สำคัญที่สุดนางยังรู้สึกว่าเรื่องครั้งนี้เกี่ยวกับเด็กสติไม่สมประกอบคนนั้น แต่ว่าทว่าไฟจากฟ้าผ่านั้นคนสามารถควบคุมได้อย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้เลย มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่จะทำได้

แต่ความคิดแบบนั้นยังวนเวียนอยู่ในใจไปมา นางไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความคิดเช่นนั้นได้

“นั่นสิ น่ากลัวเสียจริง” นางกล่าวพึมพำ

………………………………………………………………..