บทที่ 51 เร็วมาก Ink Stone_Romance

ยามท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น นายรองเฉิงรออยู่หน้าตรอกแห่งหนึ่งในเมืองได้สักพักแล้ว บ่าวสองคนที่ติดตามมาอยู่ด้านหลังถือกล่องที่อัดแน่นไปด้วยของกำนัลยืนจนขาเริ่มชา

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคาะประตู แต่เคาะแล้วไม่มีใครตอบรับ

นายรองเฉิงจึงได้แต่ยืนรออยู่อย่างนั้น

เรือนหลังนี้ไม่สะดุดตาเลยสักนิด เหมือนกับบ้านคนธรรมดาที่อยู่รอบข้าง แต่ผู้ว่าการเมืองกลับมิกล้าดูแคลน

เนื่องด้วยที่แห่งนี้คือที่พำนักเดิมของอาจารย์ของเขา นามว่าจางฉุน หากเป็นเพียงแค่ที่พำนักเดิมก็คงไม่มีอะไร แต่ตอนนี้ภายในมีผู้เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่

ท่านพ่อของจางฉุนกลับมาจากเมืองหลวงเมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่าคิดถึงบ้านจึงตั้งใจมาอาศัยอยู่ในบ้านเก่าสักพัก

เมื่อตะวันฉายแสง นายรองตระกูลเฉิงจึงส่งสัญญาณให้บ่าวไปเคาะประตูอีกครั้ง คราวนี้ผ่านไปเพียงครู่ก็มีคนตอบรับจากด้านใน

“ใครน่ะ มาแต่เช้าขนาดนี้” ประตูบานเก่าเปิดอ้าออก ชายชราตาพร่ามัวเดินสั่นออกมา

นี่ยังเช้าอยู่อีกหรือ! จะสายอยู่แล้ว

นายรองเฉิงอมยิ้มคำนับ

“ข้าเฉิงต้ง เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ข้าเคยมาเยี่ยมท่านผู้เฒ่าแล้วครั้งหนึ่ง” เขากล่าว

จางฉุนเคยเปิดสำนักเพื่อสอนวิชาที่เจียงโจวและเว่ยโจวมาหลายสิบปี ตอนนี้ได้รับเชิญให้ไปสอนวิชาที่สำนักบัณฑิตในเมืองหลวง เป็นที่เคารพนับถือของลูกศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ถึงแม้จางฉุนจะจากเรือนหลังนี้ไปนานแล้ว ญาติพี่น้องส่วนมากต่างก็ย้ายเข้าเมืองหลวง แต่เรือนเก่าหลังนี้ยังคงมีลูกศิษย์มากมายมาเยี่ยมเยือนอยู่ทุกปี เหล่าบัณฑิตที่ท่องไปเรียนตามสำนักต่างๆ บ้างก็ตั้งใจแวะเวียนมาทีนี่ บ้างก็เดินทางผ่านมาทางนี้

โดยเฉพาะยามเมื่อท่านพ่อของจางฉุนกลับมานั้นมักจะคึกคักเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ท่านพ่อเฒ่าจางถูกรบกวนจนรำคาญแล้วโมโหใส่ เกรงว่าจะคึกคักต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

ชายชราดูจะคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว

“บังเอิญว่า ท่านผู้เฒ่าออกไปแต่เช้าแล้วยังไม่กลับมา” เขากล่าว

เช้าเพียงนี้เลยหรือ! นายรองเฉิงตกใจอย่างมาก

ตอนนี้เป็นเวลากินอาหารเช้าของเฉิงเจียวเหนียง สาวใช้เลื่อนกล่องอาหารมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง

นอกจากข้าวต้มถ้วยหนึ่งและกับข้าวแล้ว ยังมีส้มที่นึ่งจนสุกลูกอีกหนึ่ง เมื่อเปิดฝาออกกลิ่นหอมก็ลอยออกมาเตะจมูก

สาวใช้ตักไข่ปูขึ้นมาช้อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยกให้เฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือมารับไว้แล้วจิ้มเกลือและน้ำส้มสายชูนิดหน่อย นางกินได้เพียงคำหนึ่งแล้ววางลง

“นายหญิง ใช้ไม่ได้หรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย

“ส้มสุกไม่พอ ไข่ปูเยอะไม่พอ เหล้าดีไม่พอ รสชาติดีไม่พอ กลืนไม่ลงจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว มองดูสีหน้าของสาวใช้แล้วยิ้มเล็กน้อย “แม่บ้านที่ดีก็หุงข้าวโดยไม่มีข้าวสารมิได้ ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก”

สาวใช้โล่งใจไปเล็กน้อย

“รอข้าเข้าเมืองแล้วจะเลือกของดีๆ มานะเจ้าคะ” นางกล่าว “ของที่บ้านตระกูลเฉิงส่งมาให้ใช้ไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงไม่พูดว่าอย่าลำบากไปเลย แต่กลับพยักหน้า

“เลือกวัตถุดิบดีๆ ได้แล้วค่อยทำแล้วกัน ไม่มีวัตถุดิบดีๆ ไม่ต้องเสียแรงทำหรอก” นางกล่าว

สาวใช้ขานรับ นางมองดูเฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ กินข้าวต้มและกับข้าว แล้วจึงเก็บกวาดกล่องอาหาร

เฉิงเจียวเหนียงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ บันทึกความรุ่งเรืองของต้าโจวที่พกมาจากบ้านเล่มนี้ ในที่สุดนางก็อ่านจบหนึ่งหน้าแล้ว

สาวใช้ยืนอยู่ข้างๆ เปิดม่านออก ก่อนจะหันกลับไปมองเฉิงเจียวเหนียง

นางยังเงียบสงบดังเดิม ราวกับว่าเมื่อคืนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าสองคนนั้นไม่ได้ตายจากไป แต่ไม่เคยมีอยู่เลยด้วยซ้ำ…

มีคนตายนะ ตายแล้วนะ คนตายทั้งคน แถมยังตายสองคนอีก จู่ๆ ก็ตายไปอย่างนั้น

สาวใช้ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้

“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้ทนไม่ไหวจนเอ่ยพึมพำออกมา

เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียง ‘อืม’ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่นางกลับไม่ได้ยินสาวใช้พูดต่อ

“ฟ้าทำผิด อภัยได้ คนทำชั่ว สมควรตาย” เฉิงเจียวเหนียงเปิดพลิกหนังสือหน้าหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “คนไม่สน ฟ้าก็จะจัดการ หญิงผู้นั้นทำกรรมไว้จึงถูกฟ้าผ่า เป็นฟ้าที่เก็บชีวิตนาง เจ้าจำเอาไว้”

สาวใช้รีบหันไปคุกเข่าลง

“เจ้าค่ะ บ่าวจำได้ ไม่เจ้าค่ะ…บ่าว…ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ

นางเข้าใจแล้ว ที่แท้ฆ่าคนไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ที่แท้ฟ้านั้นลิขิตได้

นางยังคงไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเพียงแค่วางแท่งเหล็กไว้บนหลังคา ผูกว่าวกระดาษเอาไว้แล้วโยนเชือกลงมา

จึงสามารถชักนำสายฟ้าลงมาได้

นางไม่เข้าใจว่านายหญิงรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นจะฝนตกฟ้าร้อง

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญเลยสักนิด นางรู้เพียงว่าตนเองนั้นฟังคำนายหญิงก็พอแล้ว

สาวใช้ยกกล่องอาหารเดินออกมา แล้วจึงได้พบกับแม่ชีสองคนที่ยื่นน้ำมาให้

“พี่ปั้นฉิน” พวกนางคำนับอย่างนอบน้อม

นายหญิงผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาที่ยื่นมือช่วยคนบนเขาตอนนั้น

นอกจากนี้จากที่ได้ทำความรู้จักกันหลายวันมานี้ นางนั้นเข้ากับคนง่าย เป็นหญิงที่จิตใจดี มีเมตตาเสียจริง

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ คนในวัดต่างชื่นชอบนางกันทั้งนั้น

สาวใช้ยิ้มให้พวกนางแล้วกล่าวขอบคุณ ตอนนี้พวกนางยังคงแยกออกไปก่อไฟทำอาหารเองอย่างเช่นเคย

นางนำทางแม่ชีทั้งสองที่ตักน้ำมาจากหุบเขาเพื่อเทลงในโอ่งน้ำ

แม่ชีรูปหนึ่งได้กลิ่นหอมที่ลอยมาจากครัวก็เกิดความสงสัย

“หอมจัง” นางสูดกลิ่นแล้วเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้

สาวใช้ร้อง ‘อ้อ’ แล้วยื่นกล่องอาหารให้

“อาหารว่างพวกนี้ พวกท่านเอาไปกินเถอะ” นางกล่าว

แม่ชีสองคนตกใจรีบโบกมือ

“ไม่เป็นไรหรอก” พวกนางกล่าว “ให้นายหญิงกินเถิด”

“นายหญิงไม่ชอบ ข้าทำไว้เยอะ วางไว้เฉยๆ ก็เสียดาย” สาวใช้กล่าว

กลิ่นหอมเพียงนี้ ทำไมจึงไม่ชอบเล่า

ดูเหมือนว่าคนบ้าจะไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ

เมื่อเห็นนางพูดเช่นนี้ บวกกับกลิ่นหอมเย้ายวนใจ แม่ชีทั้งสองจึงกล่าวขอบคุณแล้วรับมา

ผู้เฒ่าเดินลงมาจากเขาด้วยท่าทางสดชื่น ด้านหลังนอกจากบ่าวชราที่ติดตามด้วยเมื่อคราวก่อนแล้ว ยังมีบ่าวคนหนุ่มเพิ่มขึ้นมาอีกคน

“นายท่าน กลับกันได้แล้วกระมังขอรับ” บ่าวชราเอ่ยถาม

“หมอก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรแล้ว ครั้งนี้ข้ากินข้าวมาแล้ว ไม่เป็นอะไรไปอีกหรอก” ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว

บ่าวชราสีหน้ากังวล

“แต่ถึงเช่นนั้นนายท่านก็กินมาไม่เยอะนะขอรับ” เขากล่าว

ผู้เฒ่าหัวเราะออกมาทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วยื่นมือชี้ไปที่ไหล่เขา

“ไม่เห็นเพียงไม่กี่วัน ป่าในเขานั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว มาครั้งแล้ววัดเต๋านั้นยังไม่ได้บูรณะเลย” เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวขึ้น

“วัดเต๋านั้นถูกฟ้าผ่าขอรับ” บ่าวคนหนุ่มรีบตอบ สีหน้าเบิกบานเล็กน้อย “คนเขาลือกันว่าเจ้าอาวาสนั่นเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกาย เลยนำพาฟ้าผ่ามา ตอนนั้นไฟฟ้าผ่าลุกโชน ยังมีคนเห็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้ากับตาด้วยขอรับ”

เรื่องเล่าพื้นบ้านมักจะเกินจริงเช่นนี้เสมอ ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง สายตามองไปที่วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล

ยามมองไปยังวัดแห่งนั้นก็รู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมา นึกถึงส้มเชื่อมที่ได้ในกินวันนั้น หลังจากกลับมาเขาก็ให้แม่ครัวลองทำ ส้มเชื่อมดูเหมือนจะทำง่ายแต่กลับทำออกมาแล้วรสชาติไม่ค่อยถูกปากนัก ไม่รู้ว่าเพราะวันนั้นตัวเองป่วยอยู่ หรือว่าส้มเชื่อมนั้นมีสูตรลับซ่อนอยู่จริง

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปขอน้ำที่นั่นดื่มสักหน่อย” เขากล่าวแล้วก้าวเดินไปก่อนใคร

เมื่อเห็นผู้เฒ่าก้าวเท้าเข้ามา เด็กน้อยที่กำลังกวาดพื้นอยู่ก็ส่งเสียงร้องตกใจขึ้นมา

“ผู้เฒ่าที่ป่วยเป็นโรคหิวอาหารผู้นั้นนี่” นางเอ่ยขึ้นในทันใด

หากพูดออกมาก็จะเสียมารยาทเกินไป แม่ชีที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงรีบยื่นมือออกมาห้ามปรามนาง ก่อนจะรีบเข้ามาต้อนรับ

“โยม” นางเอ่ยพลางคำนับ

ผู้เฒ่าได้ยินคำพูดของเด็กน้อยแล้ว ทำได้เพียงอมยิ้มเล็กน้อย

“ครั้งนี้ไม่หิวแล้ว ข้ามาขอน้ำดื่มน่ะ” เขากล่าวพลางอมยิ้ม

เด็กน้อยเขินอายจนยิ้มออกมา นางโยนไม้กวาดลงก่อนจะรีบเอาเบาะรองมาปู แล้วไปเทน้ำมาให้

“ศิษย์น้อง เจ้าดูสิว่าข้าเอาของดีอะไรมา”

ด้านหลังเรือนมีแม่ชีสองนางพูดคุยยิ้มหัวเราะเดินมาอย่างว่องไว ในมือยกกล่องอาหารกล่องหนึ่ง เมื่อเห็นผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงทางเดิน พวกนางก็ประหลาดใจจนส่งเสียงร้องออกมา

“ผู้เฒ่า ท่านมาแล้วหรือ มาได้จังหวะพอดี” แม่ชีหนึ่งในนั้นรีบเอ่ยขึ้น “นายหญิงที่พบบนเขาครั้งนั้นอยู่ที่นี่น่ะ”

ผู้เฒ่าและบ่าวชราต่างตกใจ

“เช่นนั้นก็ดีเลย” ผู้เฒ่ากล่าว เดิมทีเขาจะลุกขึ้น แต่พอนึกถึงหญิงสาวผู้นั้นจึงนั่งลง “รบกวนท่านเซียนหญิงไปถามให้หน่อยว่าขอพบได้หรือไม่”

แม่ชีขานรับ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินมุ่งไปทางด้านหลัง

เด็กน้อยยกน้ำมาให้ ขณะที่ผู้เฒ่ากำลังจะยกขึ้นดื่ม จมูกก็ได้กลิ่นหอมหวนลอยมา เขาหันไปมองอย่างอดไม่ได้ สายตามองไปที่กล่องอาหารในมือแม่ชีรูปหนึ่งที่กำลังจะเปิดกล่องนั้นให้ศิษย์น้องดูกัน

“ท่านเซียนหญิง ของดีอะไรหรือ” เขาเอ่ยถาม

แม่ชียิ้มพลางยกผลส้มออกมาจากในกล่อง

“ส้มเจ้าค่ะ” นางกล่าว พูดแล้วก็คลี่เปลือกที่ถูกกรีดออกแล้วปิดทับลงไปใหม่บนผลส้มออก “ข้างในเป็นเนื้อเจ้าค่ะ”

เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมที่ตามมาก็ฟุ้งกระฉายทั่วทิศ

ผู้เฒ่าสูดลมหายใจลึกอย่างอดไม่ได้ ในท้องส่งเสียงร้องขลุกขลัก ความอยากอาหารก่อตัวขึ้นอย่างท่วมท้น

แม่ชีพอจะดูออกจึงยิ้มพลางส่งส้มให้เขาลูกหนึ่ง

“ท่านผู้เฒ่าท่านลองชิมสินี่เป็นเนื้ออะไร” นางกล่าว

ผู้เฒ่ารับมาดูแล้วพยักหน้า

“เนื้อปูไข่” เขาพูดขึ้น นำเนื้อปูมาทำเช่นนี้อย่างนั้นหรือ ยอดเยี่ยมจริงๆ เขาหยิบตะเกียบแล้วคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ทันใดนั้นบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ดี ดี ดี”

เมื่อพูดสามคำนี้จบ ก็ไม่กระจิตกระใจจะพูดต่อแล้ว เขาเริ่มกินเข้าไปคำโต บ่าวชราและบ่าวคนหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกดีใจ

“ดีจัง ในที่สุดนายท่านก็อยากอาหารแล้ว!” บ่าวคนหนึ่งกล่าว

แม่ชีทั้งสามมองตากัน ผู้เฒ่าผู้นี้ป่วยเป็นโรคหิวอาหารอีกแล้ว…

ผู้เฒ่าผู้นี้ต้องป่วยเป็นโรคหิวอาหารเป็นแน่

เหล่าแม่ชีมองดูส้มที่ว่างเปล่าสามลูกบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองผู้เฒ่าที่รับผ้ามาเช็ดปาก

“ถ้ามีข้าวต้มสักถ้วยก็จะยิ่งดี” เขายังไม่หายอยาก

ในวัดเต๋ามีเงินกินที่ไหนกัน

“มีแค่น้ำชา โยมจะรับหรือไม่” แม่ชีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

ผู้เฒ่าส่ายหน้า

“ไม่ดี ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นจะล้างรสชาติที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่” เขากล่าว เมื่อส้มเนื้อปูสามลูกลงท้องไป ก็รู้สึกเพียงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขาปรบมือแล้วยืนขึ้น

“เช่นนี้ก็ได้ พวกเรารีบกลับบ้านไป ต้มข้าวสักถ้วย เอาแบบข้นๆ แล้วทำผักกวางตุ้งคลุกมาอีกสักจาน” เขากล่าว มีความรีบร้อนรอไม่ไหวเป็นอย่างมาก

บ่าวชราและบ่าวหนุ่มรีบนำทาง นายท่านเบื่ออาหารมานาน รีบร้อนอยากกินข้าวเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องดีเรื่องใหญ่เสียจริง

แม่ชีผู้หนึ่งวิ่งรีบร้อนมาจากด้านหลัง

“บังเอิญว่านายหญิงผู้นั้นออกไปข้างนอกแล้วน่ะโยม” นางกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

ผู้เฒ่ายื่นมือมาตบหัวตน เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนนั่งอยู่ตรงนี้ทำไม

เขากำลังรอที่จะขอบคุณผู้มีพระคุณ แต่พอส้มเนื้อปูสามลูกลงท้องแล้วกลับลืมเสียหมด

ออกไปแล้วหรือ ไปแล้วมากกว่ากระมัง

“ช่างบังเอิญเสียจริง” เขาเอ่ยขึ้นแล้วขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ขอถามหน่อยว่านายหญิงเป็นคนตระกูลใด”

เหล่าแม่ชีมองตากัน

“แท้จริงแล้วนางไม่ใช่นายหญิงหรอก” เด็กน้อยกล่าว

ผู้เฒ่าส่งเสียง ‘อืม’ แต่ก็ยังไม่เข้าใจนัก

“ถ้าเช่นนั้นนางเป็นฮูหยินตระกูลใดหรือ” เขาเอ่ยถาม หรือว่าจะเป็นหญิงในหมู่บ้านในเขา “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ก็บอกข้าเถิด ข้าจะให้คนส่งของกำนัลไปให้ หมอเคยบอกว่าวันนั้นดีที่ช่วยไว้ทัน ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องนอนติดเตียงไปหลายวัน”

ส้มเชื่อมนั้นมีฤทธิ์น่าทึ่งเพียงนี้เชียวหรือ เหล่าแม่ชีต่างพากันประหลาดใจ

สาวใช้ผู้นี้ไม่เพียงแต่จิตใจดี ยังทำอาหารเก่งอีก

“ไม่ใช่นายหญิงหรอก นางเป็นคนรับใช้ของนายหญิง เป็นสาวใช้น่ะ” แม่ชีผู้หนึ่งรีบกล่าว

ผู้เฒ่าร้อง ‘อ้อ’

“สาวใช้บ้านใด ช่างเก่งกาจฉลาดเพียงนี้” เขาถามอย่างสงสัย

“ของบ้านเป่ยเฉิง ชื่อปั้นฉินเจ้าค่ะ” แม่ชีกล่าว

ผู้เฒ่าร้อง ‘อ้อ’ อีกครั้ง พยักหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่

“นายท่านพวกเรารีบกลับกันเถอะขอรับ ในเมื่อรู้ว่านายหญิงผู้นี้เป็นคนบ้านนั้น ก็ง่ายต่อการขอบคุณแล้ว” บ่าวชราเร่งเร้า

กว่าจะมีความอยากอาหารได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ล่าช้าอีกเลย หากอารมณ์อยากอาหารหายไปอีก คงแย่น่าดู

ผู้เฒ่าหัวเราะออกมา คำนับเหล่าแม่ชีแล้วบอกลา

เมื่อเห็นว่ารถม้าของผู้เฒ่าวิ่งออกไปแล้ว แม่ชีทั้งสามที่ไปส่งถึงหน้าประตูนั้นก็หลังกลับ ใบหน้าตายิ้มแย้มดีใจ

“โยมผู้นี้ดูบุคลิกท่าทางไม่ธรรมดา หากให้คนไปขอบคุณที่บ้านตระกูลเฉิงจริง พี่ปั้นฉินคงได้รับการชมเชยจากคนในบ้าน ไม่ต้องมารับใช้คนบ้าลำบากไปทั้งชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว” แม่ชีผู้หนึ่งกล่าว

อีกสองคนพยักหน้า

“บุคลิกท่าทางไม่ธรรมดาหรือ โยมผู้นี้คงไม่ใช่ว่ายากจนมากหรอกนะ ทำไมทุกครั้งที่มาถึงได้หิวเพียงนี้”

นางก้าวเข้าประตูมามองดูถ้วยน้ำและเปลือกส้มอันว่างเปล่าที่ยังวางอยู่บนโต๊ะ เด็กน้อยเอ่ยขึ้น

“ของสิ่งนี้อร่อยเพียงนั้นเชียวหรือ” นางถือเปลือกส้มขึ้นมาดูอย่างสงสัย

เปลือกส้มเย็นชืด เนื้อถูกกินไปหมดแล้ว ไม่มีความหอมหวนเหมือนก่อนหน้านี้ มีแต่กลิ่นเปรี้ยวที่ออกมาหลังการนึ่ง ดูแล้วไม่น่าอร่อยสักเท่าไหร่

“นั่นสิ พี่ปั้นฉินบอกว่านายหญิงไม่กิน คนบ้ายังไม่กิน จะถือว่าเป็นของดีได้อย่างไร” คนหนึ่งกล่าว

“หา นี่ก็ปั้นฉินทำหรือ” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างตกใจ

เมื่อครู่ที่ศิษย์พี่สองคนถือกล่องอาหารออกมา ยังไม่ทันได้ถามว่าคืออะไร ก็ถูกขัดจังหวะเพราะผู้เฒ่าผู้นี้

ที่แท้สาวใช้แสนฉลาดผู้นั้นเป็นคนทำหรอกหรือ

“พี่ปั้นฉินช่วยผู้เฒ่ารักษาโรคหิวอาหารถึงสองครั้ง” เด็กน้อยกล่าว “นางสมควรได้รับการขอบคุณจากเขา พวกเรารีบไปบอกข่าวดีนี้กับนางกันเถอะ”

นางกล่าวจบจะวิ่งเข้าไปข้างใน ถูกคนอื่นลากเอาไว้

“อย่าเพิ่งไปบอก” แม่ชีคนหนึ่งกล่าว

“ทำไมเล่า นี่เป็นเรื่องดีนี่ พี่ปั้นฉินจะได้ถือโอกาสนี้ขอร้องให้ผู้เฒ่าผู้นั้นดูแล จะไปจากที่นี่อย่างไรเล่า” เด็กน้อยไม่เข้าใจ

“รู้บุญคุณหวังทดแทนปากพูดนั้นง่าย แต่คนทำจริงไม่มากนัก” แม่ชีสูงวัยกล่าว “ไม่บอกปั้นฉินจะดีกว่า หากผู้เฒ่านั้นมีใจอยากขอบคุณจริงๆ สำหรับปั้นฉินแล้วจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่หากเขาพูดไปอย่างนั้นแล้วก็ลืมไป ปั้นฉินไม่รู้ก็จะไม่หวังไม่เฝ้ารอ เช่นนั้นแล้วนางจะได้ไม่ต้องเสียใจ”

เป็นจริงอย่าที่ว่า สองคนพยักหน้า

“อย่างนั้นก็หวังว่าพี่ปั้นฉินจะได้รับข่าวดีนี้นะ” เด็กน้อยยิ้มกล่าว

วัดเสวียนเมี่ยวน้อยที่เนินเขาเสียงดังคึกโครม เจ้าอาวาสซุนไม่ประสงค์ให้สร้างเรือนของเจ้าอาวาสที่ถูกไฟไหม้ขึ้นมาใหม่ แต่กลับให้ทุบทิ้งเป็นที่โล่งแล้วสร้างศาลาเล็กๆ ขึ้นมาหลังหนึ่ง

แน่นอนว่า ประสงค์ของเจ้าอาวาสซุนก็คือประสงค์ของเฉิงเจียวเหนียง

ไม่ต้องสร้างเรือนใหม่ เรือนเก่าห้องอื่นก็ทาสีซ่อมแซมเล็กน้อย บวกกับเงินค่าจ้างเจ้าอาวาสซุนก็ให้มากพอและตรงเวลา งานก่อสร้างก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่แน่ว่าสิบห้าค่ำก็ย้ายเข้าไปได้แล้ว”

ปั้นฉินละสายตาหันมามองแล้วพูดกับเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่บนโขดหิน

“ใกล้จะสิบห้าค่ำเดือนแปดแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม

“เจ้าค่ะ” ปั้นฉินกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ มองดูวัดเสวียนเมี่ยวน้อยที่หน้าตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สิ ที่นี่ไม่ได้ชื่อวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแล้ว

ใหญ่เล็กรวมเป็นหนึ่ง หลังใหญ่คือเสวียนเมี่ยว วัดเล็กขึ้นกับวัดใหญ่ มีอีกชื่อว่าไท่ผิง

“เร็วดี” นางกล่าว

ตั้งแต่เดือนเจ็ดที่นางจากมา จนกระทั่งครึ่งหนึ่งของเดือนแปด จากวัดเสวียนเมี่ยวน้อยจนกลายเป็นวัดไท่ผิง ช่วงเวลาเดือนกว่านี้ช่างเร็วเสียจริง

ใกล้วันไหว้พระจันทร์แล้ว บนท้องถนนในเมืองหลวงคึกคักแปลกตา ที่นั่งในร้านเหล้าโรงน้ำชาไม่เคยว่างเว้นตลอดทั้งวัน แต่ละบ้านก็พาลูกเล็กเด็กแดงผู้เฒ่าผู้แก่ออกมาเที่ยวเล่นชมวิวทิวทัศน์

เหล่าหญิงสาวบนท้องถนนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รถม้าของคนตระกูลร่ำรวยวิ่งขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย เสียงหัวเราะและเสียงตะโกนขายของดังไปทั่ว

“พี่ปั้นฉิน เร็วเข้า” สาวใช้ผู้หนึ่งเรียก

ปั้นฉินที่ยืนดูคนเป่าลูกกวาดที่แผงขายของอย่างตั้งอกตั้งใจขานรับ นางกอดกล่องอาหารไว้แน่นแล้วเดินเบียดฝูงชนตามมา

“ถนนนี่คึกคักจัง” นางกล่าว

“นี่ยังไม่ถือว่าคึกคักนะ รอวันสิบห้าค่ำเสียก่อน สองสามวันนั้นค่อยออกมาดูอีกที คึกคักกว่านี้อีก” สาวใช้ยิ้มกล่าวแล้วคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม “ถึงเวลาพี่ก็ออกมาดูได้จนพอใจเลย พวกเราคงได้แต่ไหว้พระจันทร์อยู่ในบ้าน”

“แล้วทำไมข้าถึงออกมาได้เล่า ทุกคนก็เหมือนกันแหละ” ปั้นฉินยิ้มกล่าวอย่างเขินอาย

“จะเหมือนกันได้อย่างไร ท่านชายหกโปรดปรานพี่เพียงนั้น ขอแค่พี่บอกว่าจะออกมาเที่ยว เขาก็ต้องยอมพาพี่มาด้วยแน่” สาวใช้กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก

คำพูดนี้ทำเอาปั้นฉินหน้าแดงไปหมด

“ใช่ที่ไหนกัน ท่านชาย…ท่านชาย ข้าก็แค่สาวใช้เท่านั้น” นางกล่าวตะกุกตะกัก รู้สึกทั้งสับสนทั้งอธิบายไม่ถูก

“สาวใช้งั้นหรือ แม้แต่ท่านชายออกมากินข้าวก็ยังไม่ลืมที่จะพาพี่มา” สาวใช้กล่าว

“นั่นเป็นเพราะท่านชายแค่อยากกินผลไม้ทอดต่างหาก” ปั้นฉินก้มหน้ากล่าว

“ของแบบนี้มีแต่พี่คนเดียวที่ทำได้ก็พอแล้ว ที่บ้านมีสาวใช้มากมาย มีกี่คนที่ท่านชายจำได้เช่นนี้” สาวใช้ยิ้มเอ่ย ก่อนจะคล้องแขนนาง ประจบเอาใจทั้งที่อิจฉา “ถึงว่าท่านชายถึงได้พาพี่มาจากที่ไกลขนาดนั้น”

……………………………………………………………