บทที่ 52 คนผ่านทาง Ink Stone_Romance

ท่านชายโจวหกเดินทางไปเจียงโจวเพียงไม่กี่วันก็กลับมา แถมข้างกายยังมีสาวใช้อายุน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเพิ่มมาอีกคน ทำเอาคนทั้งบ้านต่างตกตะลึง

หลังจากได้พูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว ทุกคนต่างคาดเดาที่มาของสาวใช้นางนี้กันไปต่างๆ นานา และนางก็ได้ตำแหน่งสาวใช้ติดตามท่านชายโจวหกตั้งแต่นั้นมา

ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่เหล่าสาวใช้ในบ้านต้องได้รับการฝึกฝนอย่างน้อยสามปีถึงจะมีโอกาสได้มา

แต่สาวใช้บ้านป่าที่จู่ๆ ก็โผล่นางนี้ กลับได้รับความไว้วางใจจากท่านชายโจวหกมากถึงเพียงนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของคนตระกูลในทันที

หากจะบอกว่านางคือหญิงรับใช้ที่เหล่าฮูหยินโจวซื้อไว้ตอนมีชีวิตอยู่ เพื่อมาดูแลคนบ้าของตระกูลเฉิง พอถึงวันนี้คนบ้าได้กลับบ้านแล้ว นางก็ต้องกลับบ้านตระกูลโจวเป็นธรรมดา ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่ใครเชื่อก็คงบ้าแล้ว

ปั้นฉินถูกหยอกล้อ นางทั้งเขินทั้งไม่สบายใจ เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งนัก อีกยังอาศัยในวัดเต๋าตั้งแต่เล็ก พอได้คบค้าสมาคมกับเหล่าสาวใช้ในบ้าน ในใจก็รู้สึกหวั่นกลัว แต่ก็ยังดีที่ทุกคนเห็นแก่หน้าตาของท่านชายโจวหกจึงได้เอ็นดูนาง

แต่ทว่านางเองก็ยังทำตัวไม่ถูกเวลาทุกคนพูดหยอกล้อ ถ้าหากนายหญิงอยู่ จะพูดว่าอย่างไรกันนะ

ยามเมื่อคำว่า ‘นายหญิง’ สองคำนี้ผุดขึ้นมา ใจของปั้นฉินก็จมดิ่งลงไปในทันที ราวกับตราชั่งเหล็กที่แขวนด้วยลูกตุ้ม ค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ

นายหญิง…

ยังสบายดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ

ตนทิ้งนางแล้วจากมาเช่นนี้ นางจะเสียใจหรือไม่ หรือว่าจะลืมไปแล้วว่าบนโลกนี้มีปั้นฉินคนนี้อยู่

ตอนนี้พอมานึกย้อนดู เหตุใดตอนนั้นถึงได้เหมือนมีอะไรมาดลใจนาง นางถึงได้จากมาโดยไม่ลังเลใจ…

“อ้าว เจ้ามาแล้วหรือ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนลอยมาเหนือศีรษะ

ปั้นฉินเพ่งมองไปยังริมหน้าต่างชั้นสอง เห็นเป็นชายหนุ่มที่ขมวดคิ้วอยู่ มองลงมาด้วยหางตา บนใบหน้ามีเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“เหตุใดถึงได้ช้านัก!” เขาเอ่ยท่าทีเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจนัก

ปั้นฉินรู้สึกถึงเพียงความปิติที่เอ่อล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ลูกตุ้มตราชั่งลูกนั้นหายไปในพริบตา

“เจ้าค่ะ” นางขานรับแล้วรีบเดินก้าวเข้าไปในโรงเหล้า เสี่ยวเอ้อร์ในร้านนำทางเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่เสียงดังวุ่นวายมายังห้องพิเศษส่วนตัว

เมื่อก้าวขึ้นบันได ข้างหน้ามีหญิงสาวสองสามคนเดินมา ส่วนใหญ่ก็ต่างสวมหมวกคลุมหน้าสีสันสดใส มีสองคนจูงเด็กหญิงอายุราวห้าหกขวบอยู่ในมือ

ปั้นฉินเบี่ยงตัวหลบให้ ทันใดนั้นเด็กหญิงคนหนึ่งในนั้นก็ร้อง ’เอ๊ะ’ ขึ้น

“พี่สาว” นางตะโกนเรียก “พี่คือพี่สาวคนนั้นนี่!”

เมื่อเสียงตะโกนนางดังขึ้น ทุกคนจึงหยุดเดินด้วยความสงสัย ปั้นฉินเงยหน้ามองขึ้นไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เด็กหญิงผู้นั้นหน้ายิ้มแป้นด้วยความประหลาดใจมองมาทางตน

“นี่ นี่” เมื่อเด็กหญิงได้เห็นรูปร่างหน้าตาของนางชัดเจนแล้วก็ยิ่งดีใจใหญ่ นางยกมือน้อยของตัวเองขึ้นมา “พี่คือสาวใช้ของนายหญิงผู้นั้นที่เรียกลมฝนได้นี่!”

ปั้นฉินเห็นนางก็นึกออกในทันใด

ท่ามกลางสายฝน ศาลเก่าทรุดโทรม เด็กหญิงที่นั่งพิงผู้เฒ่าอยากกินขนมถั่วแดง

เพียงแต่เวลานี้ ข้างกายเด็กหญิงไม่มีผู้เฒ่า ข้างกายนางเองก็ไม่มีนายหญิงเช่นกัน

ปั้นฉินเศร้าซึมไปชั่วขณะ

“เจ้าเองหรือ” นางกล่าว อดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา “น้องสาว เจ้าก็มาเมืองหลวงหรือ”

เด็กหญิงพยักหน้าด้วยความดีใจ รีบกระตุกดึงแขนหญิงสาวที่จับมือตนอยู่

“พี่สาว พี่สาวท่านนี้คือคนที่ข้ากับท่านปู่พบระหว่างทาง เก่งมากเลยนะ เรียกฝนได้ แล้วยังทำของอร่อยเป็นอีก” นางกล่าวด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว

เหล่าหญิงสาวที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ว่าเด็กหญิงผู้นี้เดินทางมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ เจอกันระหว่างทางแล้วได้พบกันอีกเช่นนี้ถึงแม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ พวกนางมองปั้นฉินผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

หญิงสาวที่จูงมือเด็กหญิงพยักหน้าให้ปั้นฉินเล็กน้อยเป็นการทักทาย

ปั้นฉินรีบคำนับตอบ

“พี่สาว พี่ชื่ออะไรหรือ บ้านพี่อยู่ที่ไหน ข้าชื่อตันเหนียง ข้าอาศัยอยู่ที่…” เด็กหญิงกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ

ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหญิงสาวกระตุกมือเบาๆ ขัดจังหวะ

ส่วนสาวใช้ด้านนั้นก็เร่งเร้า

“ปั้นฉิน เร็วเข้า ท่านชายรออยู่” นางกล่าว

ทั้งสองฝ่ายต่างยินดี ปั้นฉินและเหล่าหญิงสาวเหล่านี้คำนับกันอีกครั้ง ในขณะที่เด็กหญิงยังอาลัยอาวรณ์อยู่ก็ต่างก้าวเดินออกไป

ก็เหมือนกับพบเจอคนรู้จักระหว่างทางแล้วยิ้มให้ สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันไปตามทางของตน

“ตันเหนียงของเราก็มีคนรู้จักแล้วนะ”

หญิงสาวที่มาด้วยกันเอ่ยหยอกล้อเด็กหญิง

เด็กหญิงรู้สึกพอใจไม่น้อย ต้องจากสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมาตั้งแต่เล็กมาอยู่เมืองหลวง เด็กน้อยอย่างนางก็รู้สึกเหงาอยู่เช่นกัน แถมท่านปู่ก็ป่วยอีก…

ท่านปู่!

พอนึกถึงท่านปู่ เด็กหญิงก็รีบร้อนขึ้นมา

“รีบกลับบ้าน รีบกลับบ้าน ข้าจะไปบอกท่านปู่” นางเอ่ยอย่างดีใจ

ได้ยินนางพูดถึงท่านปู่ ความเศร้าก็ลอยขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาวเหล่านั้น หญิงสาวลูบหัวเด็กหญิงแล้วลงไปขึ้นรถ

รถม้าวิ่งผ่านท้องถนน เลี้ยวเข้าตรอกซอยเปลี่ยวเงียบสงัดและจอดลงหน้าเรือนที่แสนจะธรรมดา

ตัวเรือนธรรมดา แต่คนที่ออกมาต้อนรับกลับไม่น้อย ดูเอิกเกริกไม่เบา

เด็กหญิงสลัดมือแม่นมทิ้ง

“ข้าจะไปหาท่านปู่” นางเอ่ยขึ้นแล้งวิ่งไปยังเรือนหลังหนึ่ง

แม่นมรีบตามไป

เด็กหญิงตัวเล็กเบาหวิวสลัดแม่นมออกแล้ววิ่งเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง แต่ทว่ากลับชนเข้ากับคนที่สวนมา ยังดีที่คนผู้นั้นตาไวมือเร็วคว้าตัวเธอไว้ได้ จึงไม่ได้หกล้มลงไป

ถึงเช่นนั้นเด็กหญิงก็ยังกุมจมูกน้ำตาคลอเบา

“ยกโทษให้ข้าด้วย ยกโทษข้าให้ด้วย ข้าไม่เห็นนายหญิงน้อยน่ะ” ชายชราผมขาวตัวสั่นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ รีบกล่าวปลอบใจ

ชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างชายชราสีหน้าเคร่งขรึม

“ตันเหนียง เสียมารยาท” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา

การอบรมสั่งสอนของบ้านตระกูลเฉินนั้นเคร่งครัดนัก ไม่ว่าชายหญิงล้วนเริ่มตั้งแต่อายุเพียงสี่ปี ตันเหนียงที่ตอนนี้อายุเพิ่งจะครบห้าปีก็รู้จักหลักปฏิบัติมารยาทแล้ว เมื่อเห็นว่าท่านพ่อไม่พอใจ ตันเหนียงจึงรีบคำนับชายชรา

“ตันเหนียงเสียมารยาทเองเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างเชื่อฟัง

ชายชราอมยิ้มลูบเคราพลางพยักหน้า

สีหน้าของเฉินเซ่าผ่อนคลายลง

“ท่านพ่อ ข้าอยากไปเยี่ยมท่านปู่” ตันเหนียงรีบเอ่ยพลางสำรวจสีหน้าท่านพ่อ

“อย่าไปเลย ท่านปู่เพิ่งกินยาไป อย่าไปทำท่านตื่นเลย” เฉินเซ่ากล่าว เขามองดูแม่นมที่ตามมาอย่างกระวนกระวายแล้วโบกมือให้ “พานายหญิงออกไป”

เหล่าแม่นมรีบเข้าไปรั้งตัวเด็กหญิงไว้ พลางเอ่ยปลอบประโลมแล้วอุ้มออกไป

เฉินเซ่าถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

ชายชรามองดูเขาอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือมา

บ่าวที่ติดตามอยู่ด้านหลังเอากล่องยามาให้ทันที ชายชราหยิบขวดดินเผาออกมาจากในกล่องส่งให้เฉินเซ่า

“สิ่งนี้ท่านคงได้ใช้เป็นแน่” เขากล่าว

เฉินเซ่าสีหน้าประหลาดใจ แล้วจับมือชายชราไว้

“หมอหลวงหลี่ ให้ยานี้กับท่านพ่อของข้าไว้หรือ…” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ

ชายชราส่ายหน้า

“ให้ท่านไว้ใช้” เขากล่าวแล้วนำขวดดินเผาตบไว้ในมือเฉินเซ่า ก่อนจะกดเสียงให้เบาลง “ใต้เท้าเฉินกังวลหนักเกินไป ต้องระวังสุขภาพ ยานี้บำรุงเลือดลมประสาท บรรเทาอาการอ่อนล้าจากการกินไม่ได้นอนไม่หลับของใต้เท้าได้”

พูดจบก็ตบแขนของเฉินเซ่า

“ใต้เท้า ต้องนิ่งไว้” เขากล่าว

เมื่อเผชิญหน้ากับญาติผู้ป่วย หมอหลวงกลับไม่พูดคำว่าต้องรักษาตัวดีๆ หรือให้ทำใจ แต่เป็น ’ต้องนิ่งไว้’ ฟังแล้วแปลกพิลึก แต่เฉินเซ่ากลับสะดุ้งได้สติกลับมา

อาการป่วยของท่านพ่อสาเหตุตอนแรกเกิดจากหกล้มกระทันหัน คนชราหกล้มกลัวแค่เรื่องเอ็นขาดกระดูกหัก

แต่โชคดีที่ท่านพ่อมีเพียงแค่แผลถลอกเท่านั้น หมอหลายคนดูแล้วก็บอกว่ารักษาตัวสักพักก็หาย

แต่คิดไม่ถึงว่า รักษาตัวครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่หายแล้ว กลับเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม

เริ่มแรกคือลุกไม่ขึ้น ตามมาด้วยขาและเท้าไร้ความรู้สึก อีกไม่นานต่อมาถ่ายหนักถ่ายเบาก็ควบคุมไม่ได้ มาถึงตอนนี้นอนไม่ได้สติเป็นครึ่งค่อนวัน

จากผู้เฒ่าที่สดใสคล่องแคล่วจนกระทั่งมานอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงไม่รับรู้ใดๆ นี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน เพียงแค่เวลาครึ่งเดือนเท่านั้น ช่างเร็วนัก! ช่างกระทันหันนัก!

หมอก็เปลี่ยนดังขี่ม้าเล่น แต่กลับพูดเหมือนกันว่าไม่ทราบสาเหตุการป่วย สุดท้ายเฉินเซ่าก็ไม่กล้าเชิญหมอจากที่ใดมารักษาอีก

เนื่องจากข่าวที่ท่านพ่อป่วยหนักแพร่ออกไป ในราชสำนักนั้นเริ่มถกเถียงกันเรื่องที่เขาไว้ทุกข์แล้ว ทั้งยังได้ยินว่ามีคนถวายฎีกาแด่ฮ่องเต้เตรียมเสนอคนมาแทนเขาแล้ว

เพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ได้เริ่มทำการงานอันใดก็ต้องจากไปอีก หากครั้งนี้ต้องจากไปอีกก็ตั้งอีกสามปี สามปี…ชีวิตคนเรามีสามปีสักกี่ครั้งเชียว!

เขาจะยอมได้อย่างไร จะยอมได้อย่างไร

อาการป่วยของท่านพ่อ อนาคตของตนเอง อนาคตของตระกูลเฉิน รุมเร้าทั้งวันทั้งคืน ทำให้ปัญญาชนที่ท่าทางสง่างามอย่างเฉินเซ่าแทบจะสลัดรูปลักษณ์เดิมไป

สภาพเช่นนี้หากให้คนนอกเห็นเข้า ข่าวลือคงโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่

เฉินเซ่ากำขวดดินเผาในมือไว้แน่น ยาพวกนี้คงทำให้เขาคุมสติ ท่าทางดูสุขุมหนักแน่นขึ้นกระมัง

หมอหลวงเองก็ คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ

เฉินเซ่ามองไป แผ่นหลังของชายชราเพิ่งจะก้าวออกประตูไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ

มีใครฝากเขามากำชับตนกันหรือ

นิ่งไว้ นิ่งไว้

เฉินเซ่ากำขวดดินเผาไว้แน่น เขารวบรวมสติครุ่นคิดไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน

เงาน้อยๆ ฉวยโอกาสตอนที่สาวใช้ยกถ้วยยาออกไปก็แอบเข้าไปในห้อง

กลิ่นยาและกลิ่นคาวผสมปนเปกันไปคละคลุ้งไปทั่วห้อง ตันเหนียงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่รีบร้อนมองไปที่หลังม่าน บนเตียงตั่งนั้นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนอนหลับอยู่

“ท่านปู่ ท่านปู่” ตันเหนียงเอ่ยเรียกแล้วเดินย่องเข้าไป

ผู้เฒ่าที่ห่มผ้านวมสองชั้นบนเตียงหลับตาไร้เสียง ปากที่อ้าเล็กน้อยและเสียงลมหายใจ เป็นการบ่งบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่

ตันเหนียงยังแยกป่วยกับตายไม่ออก นางรู้แต่ว่าท่านปู่เหนื่อยแล้วต้องพักผ่อนเยอะๆ เวลานี้นางนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงแล้วชูของเล่นในมือขึ้นมา

“ท่านปู่ ท่านปู่ ท่านดูสิว่าข้าซื้ออะไรมา” นางกล่าว

เสียงของเด็กหญิงนั้นใสเจื้อยแจ้ว ผู้เฒ่าค่อยๆ ตื่นขึ้นมา หันหน้ามาแล้วมองด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว เวลาที่เขามีสติอันหายากนั้นได้มาถึงแล้ว

ดีใจเสียจริง ได้เห็นหลานสาวของตน

“อ่า ตันเหนียง…” เขาส่งเสียงอันแหบพร่าออกมา

เด็กหญิงเห็นท่านปู่ตื่นแล้วก็ยิ่งดีใจใหญ่ เล่าเรื่องที่ตนได้พบได้เจอบนท้องถนนให้ท่านปู่ฟังเจี๊ยวจ๊าว กินอะไรไปเล่นอะไรไป

“ท่านปู่ รีบหายดีนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางเขย่าแขนท่านปู่ ดวงตาสุกใส “วันขึ้นสิบห้าเราไปดูไฟกันนะเจ้าคะ ข้าจะให้ท่านปู่อุ้มข้าไปดู ท่านปู่ยกข้าสูงๆ นะเจ้าคะ”

ในตาขุ่นมัวของผู้เฒ่ามีน้ำตาไหลออกมา

ไม่หายแล้วล่ะ ตันเหนียง ปู่ไปดูไฟเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ปู่ไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้อีกแล้ว…

“อ้อ จริงสิ ท่านปู่ วันนี้ข้าเจอพี่สาวคนนั้นด้วยเจ้าค่ะ” ตันเหนียงกล่าว แล้ววางของเล่นในมือลง “พี่สาวที่ให้ขนมถั่วแดงข้ากินน่ะ”

ผู้เฒ่าความคิดหยุดอึ้งไปสักครู่

ขนมถั่วแดง…

“ท่านปู่ ท่านยังจำได้หรือไม่ คนนั้นที่…ตอนที่พวกเรารีบเดินทางแล้วฝนตก นายหญิงผู้นั้นบอกว่าฝนตก แล้วฝนก็ตก บอกว่าไม่ตกก็ไม่ตก นายหญิงผู้นั้น สาวใช้ของนายหญิงผู้นั้น ให้ขนมถั่วแดงข้า อร่อยมาก”

คำพูดเด็กน้อยยุ่งเหยิงไปหมด พูดมาเป็นคำๆ นึกถึงอะไรก็พูดอะไร ไม่มีหลักการ ไม่มีแบ่งคำ

คำพูดยุ่งเหยิงเหล่านี้เข้าไปในหูของผู้เฒ่าที่ความคิดยุ่งเหยิง กลับชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น

นายหญิงผู้นั้น…

นายหญิงผู้นั้น!

ผู้เฒ่า อาการป่วยของท่านต้องรีบรักษา…

น้ำเสียงแข็งทื่อดังกระหึ่มขึ้นในหู ผู้เฒ่ายกตัวขึ้นในทันใด แต่สุดท้ายกลับหมดเรี่ยวแรง ได้แต่ยกมือขึ้น ส่งเสียงในลำคอ

“นายหญิงผู้นั้น!” เขาตะโกนเสียงแหบพร่า

เด็กหญิงตกใจมาก อึ้งมองดูท่านปู่ทุรนทุรายไม่รู้จะทำอย่างไร คนข้างนอกได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามา เฉินเซ่าก็เข้ามาด้วย เห็นท่านพ่อสีหน้าซีดเซียว ดวงตาจ้องแข็ง จู่ๆ ก็เหงื่อตกท่วมตัว

ไม่ไหวแล้วหรือ…เร็วเพียงนี้ก็จะ…

ในหัวเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ

“ท่านพ่อ” เขากระโจนเข้าไปจับมือท่านพ่อไว้

มือของท่านพ่อก็จับเขาไว้ทันทีเช่นกัน เขาออกแรงเยอะมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ชายสาม นายหญิงผู้นั้น…” เขามองดูลูกชาย ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีตะโกนออกมา “ช่วยด้วย!”

…………………………………………………………