ตอนที่ 139 กางปีกปกป้อง พวกเราไม่ใช่คนยอมคนง่ายๆ / ตอนที่ 140 แผนการชั่วร้าย จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 139 กางปีกปกป้อง พวกเราไม่ใช่คนยอมคนง่ายๆ 

 

 

ถ้าหากพูดว่าเหตุวุ่นวายครั้งก่อนของหยางเทียนโย่วเป็นการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเด็กเล่นพ่อแม่ลูก งั้นครั้งนี้ก็คงเป็นเรื่องวุ่นวายเรื่องใหญ่ของจริง กลุ่มคนเหล่านี้ขาดแค่ถือพวงหรีดแห่โลงศพ สวมชุดหมั่วซา[1]ไว้ทุกข์แล้วนั่งร้องห่มร้องไห้ที่หน้าคลินิกเท่านั้น 

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกซาบซึ้งใจในเพื่อนบ้านเหล่านี้มากที่ช่วยทำให้เธอไม่รู้สึกตื่นตกใจจนไร้สติ หลายปีมานี้ ปัญหาฟ้องร้องแพทย์ ไม่พอใจแพทย์แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติในวงการการแพทย์ไปแล้ว มีแพทย์หลายคนที่ได้รับบาดเจ็บและเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างหนักจากปัญหานี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคลินิกเอกชนเล็กๆ ของเธอ แม้แต่โรงพยาบาลชั้นนำขนาดใหญ่ที่ได้รับการการันตีมาตรฐานจากรัฐบาลจีนก็ยังเอาตัวเองไม่รอด 

 

 

คนป่วยวางใจมอบชีวิตให้อยู่ในกำมือของแพทย์ ทุกครั้งที่เธอรักษาและจ่ายยาล้วนระมัดระวังและละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก ไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว 

 

 

อวี๋กานกานสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด มองไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนแล้วกล่าว “วันนั้นที่สามีของคุณมาที่คลินิกเรา ฉันอยู่ก็จริงค่ะแต่ฉันไม่ใช่เป็นคนสั่งจ่ายยา ที่ฉันพูดแบบนี้เพราะฉันต้องการปฏิเสธความรับผิดชอบ ยาเป็นของคลินิกเรา หากเป็นเพราะยาของคลินิกที่ทำให้คุณสูญเสียสามีอันเป็นที่รักไป ทางคลินิกจะรับผิดชอบแน่! แต่เมื่อกี้นี้ฉันก็พูดแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นคนเขียนใบสั่งยา ฉะนั้นจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าสามีของคุณเสียชีวิตจากยาของคลินิกจริงหรือเปล่า จำเป็นต้องให้กรมอนามัยและคณะกรรมการองค์กรตัดสินคดีทางการแพทย์[2]เป็นผู้ตัดสิน หากตัดสินว่าทางเราผิดจริง ทางเรายินดีรับผิดชอบ” 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังไงคลินิกก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เนื่องจากเหอหว่านซินใช้ยาของคลินิก ก่อนอื่นไม่ต้องไปสนใจว่าคุณลุงคนนั้นตายด้วยสาเหตุอะไร ในเมื่อพวกเขามาโวยวายถึงที่คลินิกแล้วแสดงว่าต้องรู้เรื่องมอร์ฟินแล้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาก่อความวุ่นวายอยู่แบบนี้ 

 

 

“แกจะรับผิดชอบอะไร คนตายไปแล้วทั้งคน แกรู้บ้างไหม” หญิงวัยกลางคนร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ 

 

 

“ไม่ว่าใครจะเป็นคนสั่งยาก็ตาม ยังไงซะยาก็มาจากคลินิกของแก ฉะนั้นพวกแกต้องรับผิดชอบ คลินิกที่ฆ่าคนตายน่ะไม่ต้องปงไม่ต้องเปิดมันแล้ว ถล่มเลย!” ชายวัยกลางคนแผดเสียงดังสนั่นด้วยความโมโหโกรธา 

 

 

“ถล่มเลย ถล่มเลย!” มีคนคล้อยตาม 

 

 

“แกนังสารเลว แกฆ่าพ่อฉัน ฉันจะเอาแกตาย” ลูกสาวของหญิงวัยกลางคนด่าอวี๋กานกานด้วยน้ำตาที่นองหน้า เธอพุ่งตรงเข้าใส่อวี๋กานกาน เห็นได้ชัดว่าต้องการจะเข้ามาตะลุมบอนอวี๋กานกาน เหตุการณ์จึงโกลาหลวุ่นวายไปหมด อวี๋กานกานและลุงหวังไม่เพียงแต่จะถูกรุมซ้อม คลินิกยังจะถูกถล่มด้วย เหตุการณ์เริ่มจะไม่สู้ดีเสียแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นคุณป้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือออกมาจับแขนลูกสาวของหญิงวัยกลางคนไว้ “หนูจ้ะ หนูอายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนผู้หญิงกร้านโลกแบบนี้ เมื่อกี้หนูอวี๋ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอไม่ใช่เป็นคนจ่ายยา หนูจะไปตบตีเขาให้ได้อะไรขึ้นมา” 

 

 

“ใช่ บอกพวกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่ามีอะไรก็ให้ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา พวกคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่” 

 

 

“พวกเราต่างก็รู้กันดีว่าข้อพิพาทระหว่างแพทย์และคนไข้แบ่งออกเป็นสองชนิดคือฟ้องร้องอย่างถูกกฎหมายกับจงใจก่อความวุ่นวายซึ่งผิดกฎหมาย พวกคุณสามารถยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่ไม่ควรจะรวมตัวกันก่อความวุ่นวายใช้วิธีสกปรกซึ่งผิดกฎหมายแบบนี้” 

 

 

“อย่าคิดว่าเห็นหนูอวี๋เฝ้าคลินิกอยู่คนเดียวแล้วพวกคุณจะกลั่นแกล้งได้ พวกคุณหัดดูซะบ้างว่าที่นี่ที่ไหน” 

 

 

ก่อนหน้านี้บรรดาคุณป้าคุณลุงที่ยืนมุงอยู่มีท่าทีที่นุ่มนวลอ่อนโยน นั่นเป็นเพราะนึกว่าอวี๋กานกานเป็นคนสั่งจ่ายยา เมื่อได้ยินว่าอวี๋กานกานไม่ใช่คนเขียนใบสั่งยา บรรดาคุณลุงคุณป้าก็มีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นทันที ต่างพากันออกมายืนอยู่แถวหน้าสุด มีผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายเขาถือไม้หน้าสามไว้ในมือ คุณลุงคนหนึ่งเหมือนร่ายรำมวยไทเก๊กฉกไม้หน้าสามออกมาจากมือของเขา  

 

 

คุณป้าคนหนึ่งเดินออกมายืนอยู่ข้างๆ อวี๋กานกาน กางปีกปกป้องเหมือนกับเป็นลูกของตนเอง กล่าว “หนูอวี๋ ใบสั่งยาหนูไม่ได้เป็นคนเขียนหนูไม่ต้องกลัวนะ เรื่องมันเป็นมายังไงก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย พวกเขาจะทุบตีหนูจะถล่มคลินิกของหนู พวกเราคนถนนหนานเจิ้นไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแกกันง่ายๆ” 

 

 

สมาชิกของคนในครอบครัวนั้นสะดุ้งตกใจกลัว ยืนงงเป็นไก่ตาแตก “…” 

 

 

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน คนพวกนี้เป็นอะไรไป ไม่รู้จักเห็นใจผู้อื่นบ้างหรือไง ครอบครัวของพวกเขาต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ว่าพวกคนพวกนี้ควรยืนอยู่ข้างคนไข้หรอกหรือ ทำไมถึงเฮโลกันไปช่วยหมอคนนั้นกันหมด 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ชุดหมั่วซา เป็นชุดไว้อาลัยสำหรับลูกหลานที่จะใส่ในงานกงเต๊ก ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาว คลุมทับด้วยชุดและหมวกที่ทำจากผ้ากระสอบ  

 

 

[2] ที่ประเทศจีนจะมีหน่วยงานที่ไว้ตรวจสอบคดีทางการแพทย์โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ มีหน้าที่ตรวจสอบและชันสูตรถึงสาเหตุการเสียชีวิต ตัดสินและสรุปสำนวนคดี 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 140 แผนการชั่วร้าย จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง 

 

 

ในเมื่อทำร้ายร่างกายไม่สำเร็จ จะถล่มคลินิกก็ถล่มไม่ได้ หญิงวัยกลางคนและลูกสาวจึงทำได้เพียงร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างน่าอเนจอนาถใจ ร้องโหยหวนให้อวี๋กานกานชดใช้ด้วยชีวิต ร้องคร่ำครวญไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร  

 

 

รถตู้คันหนึ่งจอดเทียบอยู่บริเวณข้างฟุตบาท นักข่าวสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ ตามมาด้วยช่างกล้องอีกหนึ่งคน เริ่มทำการรายงานข่าวภาคสนามทันที “สวัสดีค่ะ ดิฉันนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไป๋หยาง วันนี้เกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงขึ้นที่คลินิกแห่งนี้ค่ะ สามีภรรยาคู่หนึ่งได้รับยาจากคลินิกนี้ ซึ่งเดิมทีป่วยเป็นเพียงแค่โรคไข้ข้อเท่านั้น ผลปรากฏว่าเมื่อรับประทานยาจีนเหล่านี้เข้าไปกลับทำให้เขาถึงแก่ชีวิต สมาชิกในครอบครัวกอดรูปงานศพของผู้ตายพร้อมกับทำการประท้วงอยู่บริเวณหน้าทางเข้าคลินิกค่ะ…” 

 

 

ข่าวนี้ฉายออกผ่านทางโทรทัศน์พร้อมทั้งกระจายไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เนื้อหาหลักในข่าวคือคลินิกฆ่าคนไข้ คนในครอบครัวผู้ตายโศกเศร้าสิ้นหวัง แต่แพทย์เจ้าของไข้อวี๋กานกานกลับนิ่งเฉย ไม่ชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งยังเรียกพรรคพวกมารุมทำร้ายคนในครอบครัวของผู้ตาย ทำให้อวี๋กานกานกลายเป็นหมอกำมะลอฆ่าคนที่ไร้ศีลธรรม 

 

 

ในโลกอินเทอร์เน็ตเกิดการเคลื่อนไหวทันที ชาวเน็ตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงพากันด่าประณามโจมตีอวี๋กานกานและคลินิก เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในโลกอินเทอร์เน็ต 

 

 

“ทุเรศ! น่ากลัว! ทำไมถึงได้มีหมอแบบนี้ นางสมควรไปตายได้แล้ว!” 

 

 

“คนแบบนี้ไม่ใช่หมอแน่ ต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎแน่นอน มันไม่ควรจะอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีก ไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะทำลายชีวิตผู้คนไปอีกกี่ชีวิต” 

 

 

“สมัยนี้ใบประกอบวิชาชีพแพทย์สอบกันง่ายขนาดนี้แล้วเหรอ สมัยนี้ใครหน้าไหนก็เป็นหมอได้หมด?” 

 

 

“หมอคนนี้สวยอยู่นะเนี่ย นี่มันเป็นแผนโปรโมตหรือเปล่า เดี๋ยวผ่านไปสองสามวันแก้ข่าวว่าเป็นการเข้าใจผิด จากนั้นหมอคนนี้ก็ไปเซ็นสัญญาค่ายหนังเปิดตัวเดบิวต์เป็นดารา” 

 

 

… 

 

 

ในตอนที่นักข่าวทำข่าวนอกจากจะสัมภาษณ์คนในครอบครัวผู้ตายแล้ว ยังมีช่วงหนึ่งของคลิปวิดีโอที่สัมภาษณ์เพื่อนบ้านด้วย เป็นคุณป้าที่มีอายุแล้วคนหนึ่ง เธอมองกล้องแล้วพูดอย่างโมโหเดือดดาล “คลินิกนี่มันหลอกลวงเอาเงินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยสนหรอกว่าจะป่วยเป็นโรคอะไร สนแค่จะจ่ายยาที่แพงที่สุด ปีที่แล้วฉันป่วยเป็นไข้หวัดนิดๆ หน่อยๆ แต่กลับเสียเงินให้คลินิกนี้ไปพันกว่าหยวนแถมยังรักษาฉันไม่หายอีก สุดท้ายฉันไปโรงพยาบาลเสียไปแค่สิบกว่าหยวนก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว คุณว่าคลินิกนี้มันใช่มนุษย์เป็นคนเปิดไหมล่ะ สัตว์เดรัจฉานเปิดชัดๆ” 

 

 

นักข่าวมีอาการหวาดผวา กล่าวอย่างโกรธเคือง “นี่มันเกินไปจริงๆ ไม่มีใครคิดจัดการเลยเหรอคะ” 

 

 

คุณป้ากล่าว “เมื่อก่อนก็มีคนเคยโวยวายนะ แต่ยังไม่มีใครตาย ชดใช้นิดๆ หน่อยๆ เรื่องก็เงียบไป แต่ครั้งนี้ถึงขั้นทำคนตาย พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องจบง่ายๆ แน่” 

 

 

… 

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันแปลกประหลาดเกินไปหน่อย ต่อให้เหอหว่านซินจ่ายยาผิดก็ไม่มีทางถึงขั้นทำให้คุณลุงคนนั้นเสียชีวิตได้ ตอนแรกอวี๋กานกานคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะยาตีกันเองหรือเปล่าถึงทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ขึ้น แต่ทว่านักข่าวก็มาไวเกินไป ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงๆ เป็นมาเป็นไปอย่างไรกลับรายงานข่าวออกไปทั้งแบบนั้น ผลักเธอและคลินิกให้ตกเป็นขี้ปากของสังคม และยังมีคุณป้าคนนั้นอีก อวี๋กานกานไม่รู้จักป้าคนนั้นเสียด้วยซ้ำ เธอไม่ใช่คนในถนนหนานเจิ้นอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการทำลายชื่อเสียงของเธอให้ป่นปี้ ต้องการให้คลินิกถูกปิด ต้องการประทับตราบาปให้อวี้หมิงถางสามคำนี้  

 

 

แต่จะเป็นใครกัน  

 

 

ลุงใหญ่และเหอหว่านซินคือพวกแรกที่แวบเข้ามาให้หัวของอวี๋กานกาน เพราะพวกเขาจ้องจะขายคลินิกอยู่แล้ว แต่ว่าคนอย่างลุงใหญ่ ถึงแม้จะเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นเงินแล้วตาลุกวาว แต่ตอนที่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็กตัญญูต่อคุณปู่มาก ไม่มีทางที่จะทำลายชื่อเสียงของคุณปู่ ถ้าไม่ใช่ลุงใหญ่กับเหอหว่านซิน งั้นก็ต้องเป็นคนที่อยากจะซื้อคลินิกของเธอ คนตระกูลเฉียว!