หลังจากที่พูดคุยกันพักหนึ่ง เพราะสุขภาพร่างกายที่ไม่ดี เวินจี๋ไห่จึงกลับเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน
ทางด้านเหลิ่งรั่วปิงก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้ว เธอหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาแล้วยื่นให้กับเวินอี๋ “เวินอี๋ ด้านในบัตรนี้มีเงินห้าแสนหยวน เธอเอาไปคืนพวกหนี้นอกระบบพวกนั้นให้หมด แล้วเอาเงินที่เหลือไปซื้อบ้านหลังที่ดีกว่านี้ อย่าลืมซื้ออาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้ลุงเวินด้วยนะ”
“ไม่ค่ะ พี่รั่วปิง พวกเราอยู่ที่นี่ก็สบายดีค่ะ ไม่ต้องไปซื้อบ้านแล้ว ส่วนเรื่องหนี้นอกระบบนั้น ดาบตำรวจมู่ได้จัดการให้กับเวินอี๋แล้ว คนพวกนั้นไม่กล้ามามีปัญหากับฉันแล้วค่ะ”
“มู่เฉิงซี?”
“ใช่ค่ะ ดาบตำรวจมู่เป็นคนที่ดีมากเลยนะคะ นอกจากจะช่วยฉันเรื่องหนี้นอกระบบแล้วนั้น เขายังสัญญาว่าจะช่วยหางานให้กับฉัน ทั้งยังทำเรื่องยื่นขอบ้านเอื้ออาทรให้กับพวกเราด้วย คุณตำรวจบอกว่าใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็จะเรียบร้อยค่ะ”
“…”เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ มู่เฉิงซีใจดีถึงขั้นนี้? เขาเป็นตำรวจในเมืองหลง ทำหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของคนในเมือง และจัดการกับพวกอาชญากรรมต่างๆ ในสายตาของเธอนั้น เขาชื่นชอบในการฆ่าคนร้ายมากกว่า เขาเป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ควรจะเป็นงานของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไม่ใช่หรอ
“พี่รั่วปิง เงินก้อนนี้พี่เก็บเอาไว้เถอะค่ะ การที่พี่จะทำงานใหญ่นั้นจำเป็นต้องใช้เงิน” เวินอี๋เป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ดี ต่อให้ชีวิตจะลำบากมากแค่ไหน ก็ไม่มีวันโลภมาก
เหลิ่งรั่วปิงนำบัตรเอทีเอ็มใบนั้นยัดใส่ในมือของเวินอี๋อีกครั้ง “ในเมื่อมู่เฉิงซีช่วยเธอจัดการเรื่องงานกับเรื่องที่อยู่แล้ว เงินก้อนนี้เธอก็เก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็นนะ สุขภาพร่างกายของลุงเวินต้องการการดูแลอย่างดี ตอนนี้เงินเดือนของพี่สูงมาก เงินแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา”
หลังจากที่ปฎิเสธไปหลายครั้ง เวินอี๋ก็ไม่สามารถพูดโน้มน้าวเหลิ่งรั่วปิงได้ เธอจึงทำได้เพียงรับเงินก้อนนี้เอาไว้
ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะบอกลาเวินอี๋ ก็มีรถออฟโรดคันสีดำรุ่นท็อปมาจอดเทียบที่หน้าประตู เธอรู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถคันนั้น เขาคือมู่เฉิงซี
เป็นจริงตามนั้น หลังจากจอดรถเสร็จ มู่เฉิงซีก็เดินลงมาจากรถยนต์ เขาเป็นผู้ชายตัวโตและสูงมาก วันนี้เขาใส่ยูนิฟอร์มตำรวจสีกรมท่า รองเท้าบูทมาร์ตินทรงสูง ตรงช่วงเอวของเขาใส่เข็มขัดสีน้ำตาลเอาไว้ ตรงเข็มขัดนั้นมีปืนเงาวับแนบชิดลำตัว มองดูแล้วเขาเป็นคนที่รูปร่างกำยำ ตัดสินใจฆ่าคนได้อย่างเฉียบขาด เต็มไปด้วยความจริงใจ
ตอนที่เขามองมานั้น เหลิ่งรั่วปิงสัมผัสได้ถึงนัยน์ตาสังหารจากแววตาคู่นั้น ผมของเขาทั้งสั้นและหนา แต่ละเส้นนั้นเหมือนกับตัวของเขา เย็นยะเยือกจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
ไม่รู้ว่าเธอตาฝาดไปรึเปล่า เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่ามีออร่าบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวของเขา ออร่านั้นไม่เข้ากลับรังสีสังหารบนตัวของเขาเลย
เธอมองดูมู่เฉิงซีเดินเข้ามาด้านใน เวินอี๋เดินออกไปต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น “ดาบตำรวจมู่ คุณมาได้ยังไงคะ”
ไม่ง่ายเลยกว่าที่คนอย่างมู่เฉิงซีจะคลายยิ้ม ตอนที่เขายิ้มนั้นเหมือนหยดน้ำที่อบอุ่นหยดลงมาในต้นฤดูใบไม้ผลิ เขาหันไปออกคำสั่งกับคนที่อยู่ด้านหลัง “ขนเข้ามา”
สิ้นเสียง ด้านหลังของเขาก็มีตำรวจอีกหลายนายเดินเข้ามา ในมือของทุกคนเต็มไปด้วยข้าวสารอาหารแห้ง ผลไม้และเนื้อสัตว์ต่างๆ ตำรวจพวกนั้นเดินผ่านพวกเธอสองคนไป เพื่อขนของเข้าไปด้านในห้องรับแขก จากนั้นก็เดินออกมาด้านนอกอย่างสุภาพ
เวินอี๋ไม่เข้าใจ “ดาบตำรวจมู่ คุณกำลังทำ?”
มู่เฉิงซีคลายยิ้ม “ดูแลประชาชนครับ”
เวินอี๋คลายยิ้ม รอยยิ้มของเธอเหมือนดอกบีโกเนียที่กำลังผลิบาน “ขอบคุณนะคะ ดาบตำรวจมู่” เวินอี๋เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตอนที่เธอยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉิงซีนั้นเธอเหมือนกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“ครับ” มู่เฉิงซีคลายยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เขาปรายตามองดูเหลิ่งรั่วปิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปในทันที เขาพูดกับเธอด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณมาทำอะไรที่นี่”
เหลิ่งรั่วปิงกำลังครุ่นคิดว่ามู่เฉิงซีคิดจะทำอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที
เวินอี๋หันไปมอง จากนั้นจึงรีบพูดขึ้น “ดาบตำรวจมู่ นี่คือคุณเหลิ่ง เธอเป็นคนดี วันนั้นเธอเป็นคนช่วยชีวิตฉันเอาไว้ และวันนี้ก็ยังมาเยี่ยมฉันอีก”