ตอนที่ 57 สถานการณ์ที่น่าอึดอัด

เดิมพันเสน่หา

ต่อหน้าเวินอี๋ มู่เฉิงซีไม่กล้าพูดอะไร แต่แววตาที่มองดูเหลิ่งรั่วปิงนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเป็นมิตร 

 

 

“เวินอี๋?” เวินจี๋ไห่ตะโกนเรียกเวินอี๋ในห้อง 

 

 

“จ้า มาแล้ว” เวินอี๋ยิ้มเจื่อน จากนั้นรีบวิ่งเข้าไปด้านในห้อง 

 

 

ตรงสวนหน้าบ้านจึงเหลือแค่เหลิ่งรั่วปิงและมู่เฉิงซีสองคนเท่านั้น พวกเขาไม่มีใครต้องแสแสร้งเล่นละคร นัยน์ตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความอาฆาต แรงอาฆาตนั้นส่งผ่านอากาศไป บรรยากาศในตอนนี้เคล้าไปด้วยความน่ากลัว 

 

 

นัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงนั้นเลือดเย็น และกำลังพูดเตือน “มู่เฉิงซี คุณมีฐานะที่สูงศักดิ์ อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็ได้หมด แต่อย่ามาทำร้ายผู้หญิงดีๆ และอ่อนโยนอย่างเธอ!” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่เชื่อหรอก คุณชายอย่างมู่เฉิงซี ซึ่งเติบโตในครอบครัวที่ร่ำรวย จะซื่อสัตย์ในความรัก เขาเป็นห่วงเวินอี๋เกินไปแล้ว เวินอี๋เป็นคนที่สำคัญมากๆ สำหรับเธอ เธอจะไม่ยอมให้มู่เฉิงซีมาปั่นหัวเวินอี๋แน่นอน 

 

 

มู่เฉิงซีทำคิ้วขมวด เขาก็รู้สึกตะลึงอยู่เหมือนกัน เขาสามารถอ่านความรู้สึกผ่านนัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงได้ มันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกระวนกระวาย เธอกับเวินอี๋เพิ่งเจอกันครั้งแรก คืนนั้นเธอกลับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยเด็กสาวคนนี้ และตอนนี้ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยเวินอี๋ขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ 

 

 

“เหอะ!” มู่เฉิงซีแสยะยิ้มขึ้น “ผู้หญิงที่ทำงานต่ำๆ เอาตัวเข้าแลกแบบเธอ ทำไมไม่เอาเวลาไปคิดหาวิธีเอาใจหนานกงให้มีความสุข เขาจะได้เปย์เงินให้เธอมากขึ้น มัวแต่มายุ่งเรื่องของคนอื่นทำไม” 

 

 

ม่านตาของเหลิ่งรั่วปิงหดเล็กลงอย่างเย็นยะเยือก กิ่งไม้หนึ่งก้านที่อยู่ในมือของเธอเหมือนลูกดอกธนูพุ่งออกไป มันพุ่งไปอยู่ตรงหน้าของมู่เฉิงซี  

 

 

มู่เฉิงซีนึกไม่ถึงว่าเหลิ่งรั่วปิงจะจู่โจมเขากะทันหันแบบนี้ อีกทั้งฝีมือของเธอก็ว่องไวมาก เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงทำได้เพียงหลบกิ่งไม้ที่พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว สุดท้าย กิ่งไม้จึงเฉียดผ่านหูของเขาไป แล้วเสียบเข้าไปตรงกองฟืนที่อยู่ตรงมุมกำแพง 

 

 

มู่เฉิงซีรู้สึกโมโหมาก เขาคว้าปืนออกมาแล้วเอาปากกระบอกปืนเล็งเหลิ่งรั่วปิงไว้ “เหลิ่งรั่วปิง คุณอยากตายหรือไง!” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด สีหน้าของเธอนิ่งเฉยเหมือนปกติ “นี่เป็นการตอบแทนสำหรับเหล้าแก้วนั้นของคุณในวันนั้น” เธอเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ 

 

 

“เหอะ อย่าได้ใจมากเกินไปหน่อยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนานกงไม่ให้ทำร้ายคุณ ตอนนี้ผมคงยิงคุณทิ้งไปแล้ว” 

 

 

“เหอะ ในเมื่อคุณไม่กล้า ก็อย่าแกล้งทำเป็นเก่งหน่อยเลย” 

 

 

“คุณ!” มู่เฉิงซีจับปืนพกไว้แน่น เขาพยายามอดกลั้นความโมโหที่ลุกเป็นไฟ “ผมไม่รู้ว่าคุณเอายาอะไรให้หนานกง มันถึงเก็บคุณไว้จนถึงตอนนี้ แต่ขอเตือนคุณเอาไว้ก่อน อย่าเล่นอะไรตุกติก เพราะผมไม่มีเห็นใจคุณแน่นอน!” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเตือนคุณ ฉันถูกชะตากับเวินอี๋มากและอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ ดังนั้นคุณอย่าคิดทำอะไรไม่ซื่อกับเธอเด็ดขาด เพราะฉันก็ไม่มีวันไว้หน้าคุณเหมือนกัน!” 

 

 

มู่เฉิงซีกำลังจะเถียงกลับ ทว่าหางตาของเขาเห็นเวินอี๋เดินออกมา เขาจึงรีบเก็บปืนพกไป  

 

 

ถึงแม้เขาจะเก็บไวมาก แต่เวินอี๋ก็เห็นไปแล้ว เธอจึงรีบวิ่งมาด้วยความกระวนกระวาย จากนั้นก็มายืนตรงหน้าของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “ดาบตำรวจมู่ คุณเหลิ่งเป็นผู้มีพระคุณของฉัน เธอเป็นคนดีจริงๆ ทำไมคุณต้องเอาปืนชี้หน้าเธอด้วย” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มและตบไหล่ของเวินอี๋เบาๆ “ไม่เป็นไร เวินอี๋ ฉันกับดาบตำรวจมู่เรากำลังแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันก็เท่านั้น” 

 

 

มู่เฉิงซีให้ความร่วมมือกับเหลิ่งรั่วปิงอย่างคาดไม่ถึง “ใช่ เราแค่แลกเปลี่ยนความรู้กันครับ” 

 

 

“อ่อ” เวินอี๋มองมู่เฉิง แล้วหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง เธอกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย 

 

 

“เวินอี๋ ฉันกลับก่อนนะ ไว้เราค่อยติดต่อกันใหม่” เหลิ่งรั่วปิงบอกลาเธอ 

 

 

“ค่ะ คุณเหลิ่งดูแลสุภาพตัวเองด้วยนะคะ” เวินอี๋พูดขึ้นอย่างมีความหมายแอบแฝง 

 

 

“อื้ม” เหลิ่งรั่งปิงรู้ดีว่าเวินอี๋หมายความว่าอะไร เธอพยักหน้าแล้วเดินผ่านมู่เฉิงซีไปที่ประตู เวินอี๋มองส่งเธอด้วยสายตาเป็นห่วง 

 

 

หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงออกไปแล้วนั้น อยู่ดีๆ มู่เฉิงซีก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังออกคำสั่ง “อย่าคบหากับผู้หญิงคนนั้นอีก!” 

 

 

“คะ?” เวินอี๋ดึงสายตากลับมา แล้วมองมู่เฉิงซีอย่างไม่เข้าใจ “ทา…ทำไมคะ”