มู่เฉิงซีพยายามปรับสีหน้าของตนเอง ทำให้ตนเองแลดูอ่อนโยนขึ้นมา “เธอไม่ใช่คนดีหรอกครับ”
เวินอี๋ไม่สามารถทนฟังคนอื่นต่อว่าเหลิ่งรั่วปิงได้ เธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดอธิบาย “เธอจะไม่ใช่คนดีได้ยังไงคะ ถ้าเธอไม่ใช่คนดีแล้วทำไมถึงต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยฉันด้วย”
“…” มู่เฉิงซีไม่มีอะไรจะพูด จนถึงวันนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เพื่อเสี่ยงชีวิตช่วยเวินอี๋ “เรื่องบางเรื่องคุณไม่เข้าใจ ยังไงก็ตามคุณช่วยอยู่ห่างจากเธอหน่อยนะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงคือปริศนา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่วางใจที่จะให้เวินอี๋เป็นเพื่อนกับเหลิ่งรั่วปิง
ได้ เขายอมรับ วินาทีแรกที่ได้เจอกับเวินอี๋ หัวใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวแล้ว ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่อวี้ไป่หันพูดเลยสักครั้ง นั่นเป็นเพราะเขายังไม่เจอคนที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว
เวินอี๋ไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ และไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยมาก แต่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยหวาน ตัวเล็กและน่ารัก ซึ่งถูกสเปคเขา
ทางด้านเวินอี๋ ตอนนี้เธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก จะเป็นไปได้ยังไงที่มาบอกให้เธออยู่ห่างจากเหลิ่งรั่วปิง พวกเธอเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก อยู่ด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้องมาตั้งสิบสองปี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องทำให้พวกเธอต้องแยกจากกันถึงสิบปี แต่ความรักที่พวกเธอมีให้กันนั้นไม่เคยจืดจางแม้แต่น้อย มาวันนี้เธอกับเหลิ่งรั่วปิงได้เจอกันอีกครั้ง ก็ต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันให้มากที่สุดสิ จะให้อยู่ห่างกันได้ยังไง
ด้วยเหตุนี้ เวินอี๋ที่เชื่อฟังมาโดยตลอดจึงแสดงท่าทีดื้อรั้นออกมา “ดาบตำรวจมู่คะ คุณเป็นถึงตำรวจ เวลาที่คุณทำคดีไม่ต้องมีหลักฐานหรอคะ คุณเหลิ่งเธอสวยเหมือนนางฟ้า อีกทั้งยังมีสง่า เธอมีจุดไหนที่ไม่เหมือนว่าเป็นคนดีคะ”
“…” มู่เฉิงซีตกใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเวินอี๋เป็นกระต่ายน้อยตัวสีขาวที่อ่อนโยนมาโดยตลอด เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เวลาที่กระต่ายน้อยตัวสีขาวนี้โมโหขึ้นมาจะทำท่ากัดคนได้ “ทำไมคุณต้องปกป้องเหลิ่งรั่วปิงขนาดนั้นด้วย”
“เธอเป็นผู้มีพระคุณของฉันค่ะ!” นัยน์ตาของเวินอี๋แน่วแน่ ไม่ยอมให้พูดเถียงได้
“ครับๆ เราไม่พูดเรื่องของเธอแล้วดีไหม” นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉิงซียอมอ่อนข้อให้ผู้หญิง “ผมหางานให้คุณได้แล้วนะครับ คุณสามารถเริ่มงานได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ”
“จริงหรอ คืองานอะไรหรอคะ” เวินอี๋ดีใจมาก ก่อนหน้านี้เวินจี๋ไห่ป่วยหนัก เธอยุ่งอยู่กับการดูแลพ่อของเธอ ทำให้ไม่ได้ออกไปทำงานนานแล้ว และเธอก็เรียนจลแค่มัธยมปลาย จึงหางานทำยากมาก ความเป็นจริงตอนมัธยมปลายผลการเรียนของเธอดีมาก แต่เพราะที่ฐานะทางบ้านยากจนเธอจึงต้องทิ้งความฝันในการเรียนมหาวิทยาลัย
ในที่สุดก็เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของเธอ มู่เฉิงซีโล่งออก “งานแคชเชียร์ที่ห้างสรรพสินค้าเซิ่งหวา คุณชอบไหมครับ?”
มู่เฉิงซีคิดพิจรณาดูแล้ว การศึกษาของเวินอี๋ไม่สูง การจะหางานที่ดีนั้นไม่ง่ายเลย เขาจึงรู้สึกว่าการไปเป็นแคชเชียร์ที่ห้างสรรพสินค้าเซิ่งหวานั้นไม่เลว เธอไม่ต้องตากลมตากฝน อีกทั้งยังได้อยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมดี ไม่ต้องไปเจอพวกอันธพาล
“ชอบค่ะ ขอบคุณดาบตำรวจมู่มากเลยนะคะ” เวินอี๋ดีใจจนกระโดดโล้ดเต้น เธอเหมือนเด็กมากจริงๆ ท่าทีของทำให้คนไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้เธออายุยี่สิบสองแล้ว ห้างสรรพสินค้าเซิ่งหวา คือห้างที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง เธอไม่กล้าแม้แต่จะวาดฝันว่าตนเองจะได้ไปทำงานที่นั่น
“ฮ่าๆๆ…” มู่เฉิงซีคลายยิ้มที่สดใสที่สุดในชีวิตของเขา ท่าทีตอนที่เวินอี๋กระโดดโล้ดเต้นด้วยความดีใจนั้น ตราตรึงใจเขามาก เหมือนขนนกแผ่วเบา ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาในใจของเขา ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้หัวใจ และหวานละมุนไปทั้งใจ
“ดาบตำรวจมู่คะ เพื่อเป็นการขอบคุณ ฉันขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหมคะ” เวินอี๋พูดอย่างใจกว้าง แต่เมื่อคลำจับกระเป๋าสตางค์ของตนเองแล้วนั้น เธอก็พูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “พอดีฉันไม่มีเงิน ถ้าอย่างนั้นฉันทำอาหารให้คุณทานที่บ้านดีไหมคะ คุณ…รังเกียจไหมคะ”
“ไม่รังเกียจครับ” มู่เฉิงซีพูดจบก็เดินสาวเท้าใหญ่ๆเข้าไปห้องรับแขก เขาทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตนเอง