วันจันทร์ บนชั้นสูงสุดของบริษัทหนานกง ณ ออฟฟิศของท่านประธาน
หนานกงเยี่ยหันหลังให้กับหน้าต่างบานใหญ่ที่กระจกยาวจรดถึงพื้น เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานเหมือนราชา ลำตัวของเขาสวมใส่ชุดสูทสีดำสั่งตัดเย็บให้เข้ากับสัดส่วน ทำให้เขาดูทรงอำนาจและเย็นชามากกว่าเดิม แสงแดดในยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่าง กระทบลงบนไหล่ทั้งสองข้างและแผ่นหลังของเขา ทำให้ตัวของเขาประกายด้วยแสงสีทอง
เขาเหมือนราชาของบนโลกนี้ เขาสามารถทำให้คนที่มองดูเขาแค่พริบตาเดียว ยินยอมที่จะกราบลงแทบเท้าของเขาอย่างเชื่อฟัง
ก่วนอวี้ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ จากนั้นก็เอาเอกสารชุดหนึ่งยื่นให้หนานกงเยี่ย “คุณชายเยี่ย เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นที่คุณเหลิ่งช่วยชีวิตเอาไว้ได้จัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
หนางกงเยี่ยรับเอกสารมาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จากนั้นก็พลิกอ่านไปทีละหน้าด้วยความตั้งใจ เพราะว่าเวินอี๋อยู่ในเมืองหลงมาโดยตลอด ดังนั้นเอกสารของเธอก่วนอวี้สามารถสืบหาได้อย่างละเอียด เขาสามารถสืบรู้ว่าเธอเกิดเมื่อไหร่ เข้าเรียนในโรงเรียนตั้งแต่ตอนไหน และเคยทำงานอะไรหรือรู้จักใครบ้าง ข้อมูลทุกอย่างได้เรียงเอาไว้เป็นข้อๆ
เอกสารฉบับนี้ คือแฟ้มประวัติของผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ผิดกับที่มู่เฉิงซีบอกว่าประวัติของเธอนั้นธรรมดาทั่วไป
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม หรือว่าจะเป็นอย่างที่เหลิ่งรั่วปิงพูดจริงๆ เธอช่วยผู้หญิงคนนั้นเอาไว้เพราะว่าเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน?
ต่อให้คำพูดของเธอจะสมเหตุสมผล ทว่าหนานกงเยี่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขาไม่รู้ เขาไม่มีหลักฐานอะไร นี่เป็นแค่เซ้นส์ของเขาเท่านั้น
เขาวางเอกสารลง แล้วหลับตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามก่วนอวี้ “นายบอกว่า ก่อนที่เวินอี๋จะอายุสิบสองขวบ เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของตระกูลที่มีฐานะร่ำรวย พ่อของเธอเป็นพ่อบ้านของบ้านหลังนั้นหรอ”
“ใช่ครับ คุณชายเยี่ย” ก่วนอวี้ตอบกลับด้วยความเคารพ “ปีที่เธออายุสิบสองขวบ จู่ๆ ครอบครัวตระกูลที่พ่อของเธอทำงานด้วยนั้นได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จนทำให้พ่อของเธอต้องลาออกครับ”
“ครอบครัวที่พ่อเธอทำงานด้วยคือใคร”
“เป็นเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เคยมีชื่อเสียง เขาชื่อว่าเจียงเฉิง ห้างจิ่นซินในเมืองหลงเขาเป็นคนสร้างเองครับ ธุรกิจของเขาถือว่าดำเนินได้ไม่เลว แต่เสียดายที่หลังๆ มาสุขภาพร่างกายของเขาไม่ดี สุดท้ายก็ล้มป่วยจนเสียชีวิต หลังจากที่เสียชีวิตวิลล่าของเขาก็เกิดเหตุไฟไหม้ เขามีลูกสาวเพียงคนเดียว แต่น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นถูกไฟไหม้จนเสียชีวิต และภรรยาคนที่สองของเขาก็ได้ฮุบสมบัติทั้งหมดของตระกูลเจียงแล้วแต่งงานกับลั่วเฮิ่งครับ”
“ลั่วเฮิ่ง?” จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็ถลึงตาโต “ลั่วเฮิ่งที่เป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างหงเฉินหรอ”
“ใช่ครับ คุณชายเยี่ย”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิม เขารู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้ความจริงแล้ว ตอนนี้มีเพียงผ้าตาข่ายบางๆ ที่กั้นกลางอยู่เท่านั้น แต่ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ไม่สามารถทะลุผ่านผ้าตาข่ายนั้นได้
คนที่ชื่อลั่วเฮิ่งเขาไม่ค่อยชอบ ทว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างหงเฉินนั้นทำงานได้ดีกว่าเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าทางด้านฝีมือหรือความสามารถก็ตาม ดังนั้นโปรเจคของบริษัทหนานกงจึงได้ให้เขาเป็นคนทำ
สำหรับบริษัทของเขาที่เป็นราชาของโลกธุรกิจที่มีความโดดเด่น ไม่สามารถเลือกผู้ร่วมงานโดยตัดสินใจว่าคนๆ นั้นเขาชอบหรือเกลียด แต่ตัดสินใจจากผลประโยชน์ที่จะได้รับ การเป็นนักธุรกิจที่สำเร็จคนหนึ่ง ใจต้องกว้างเหมือนทะเลที่สามารถรองรับแม่น้ำนับร้อยสาย ขอเพียงแค่ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถร่วมงานให้หมด
หนานกงเยี่ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาไม่เคยเปลืองสมองกับเรื่องอะไรมากเท่าเรื่องนี้มาก่อน ลั่วเฮิ่งก็ดี เวินอี๋ก็ดี ทำไมเขาถึงไม่สามารถเอาพวกเขามาเชื่อมโยงกับเหลิ่งรั่วปิงได้
“คนที่ไปสืบเรื่องของซีหลิงได้อะไรเพิ่มเติมรึยัง” หนานกงเยี่ยถามขึ้น เขาไม่เคยหยุดสืบประวัติและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหลิ่งรั่วปิง เขารู้สึกว่าเธอมีอะไรที่ลึกลับมากกว่านี้
“ไม่มีครับ” ก่วนอวี้ก็ทนรอไม่ไหวเหมือนกัน อีกอย่าง ประเทศซีหลิงอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากๆ อิทธิพลและอำนาจของพวกเขายังไม่ครอบคลุมถึงประเทศนั้น อีกอย่างเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหลิ่งรั่วปิงมีแค่เท่านี้จริงๆ และไม่สามารถสืบค้นประวัติอะไรได้มากกว่านี้c]h;
หนานกงเยี่ยถอนหายใจ “ทางฝั่งซีหลิงก็สืบค้นต่อไป”
“ครับ”
“ผลสรุปของการออกแบบโปรเจคอิมพิเรียลออกมาหรือยัง”
“ออกมาแล้วครับ” ก่วนอวี้จึงรีบยื่นเอกสารอีกชุดในมือให้กับหนานกงเยี่ยด้วยความเคารพ