ตอนที่ 160 แสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า

พันธกานต์ปราณอัคคี

อสูรปีศาจชั้นสามเทียบได้กับตบะของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางในมนุษย์ เพียงแต่อย่างไรเสียอสูรปีศาจก็ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่รู้จักใช้อาวุธเวท รู้จักกินโอสถ การสู้รบของอสูรปีศาจในขั้นนี้ยังคงอาศัยสัญชาตญาณ พลังเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์แล้วยังคงด้อยกว่าสักหน่อย

 

 

มั่วชิงเฉินมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อหน้าอสูรแปดขาจึงไม่ตื่นเต้นเท่าคุณชายหก เพียงแต่อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยสู้กับอสูรปีศาจในทะเลมาก่อน ด้านหนึ่งจึงรับมือไปพลาง อีกด้านหนึ่งแอบสังเกตเงียบๆ

 

 

ในมือคุณชายหกถืออาวุธเวทเหมือนง่ามปลาเล่มหนึ่ง ตามหลักแล้วต้องเป็นอาวุธเวทที่ข่มอสูรปีศาจจำพวกปลาพอดี เพียงแต่ปลาแปดขานี้เป็นเงาลื่นเหมือนผ้าต่วนทั้งตัว ขาเขื่องทั้งแปดยิ่งทั้งลื่นทั้งนิ่ม หนึ่งคนหนึ่งอสูรโรมรันพันตูต่อให้ง่ามปลาแตะถูกตัวมันก็ต้องลื่นออก แม้แต่รอยตื้นๆ ก็ไม่อาจทิ้งไว้ได้

 

 

คุณชายหกขยับตัวไม่หยุดต้านอสูรแปดขาอย่างสุดกำลัง กลับเหมือนเกาไม่ถูกที่คันไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ ให้มันได้

 

 

สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างสูญเสียอย่างรวดเร็ว สีหน้าคุณชายหกค่อยๆ ซีดเซียวลง เขาไม่พูดสักคำแล้วกลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปสองสามเม็ด ปากตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง ปลายนิ้วพลิกผันตีคาถาออกไปสายหนึ่งเข้าที่ง่ามปลา แล้วก็เห็นง่ามปลาสีดำมืดสั่นในบัดดล เงารูปง่ามมหึมาอันหนึ่งบินออกจากยอดง่าม ตอกเข้าบนขาเส้นหนึ่งของอสูรแปดขา

 

 

ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้ยินอสูรแปดขาแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ ขาสี่เส้นที่รับมือมั่วชิงเฉินในตอนแรกไม่คิดเลยว่าจะแบ่งออกมาสองเส้นฟาดไปพร้อมกันที่คุณชายหก

 

 

คุณชายหกตกใจจนหน้าถอดสี ยกมืออัญเชิญอาวุธเวทที่เหมือนกระดองเต่าอันหนึ่งออกมา

 

 

ได้ยินเพียง ‘ผัวะ’ เสียงหนึ่งขาของอสูรแปดขาฟาดไปบนกระดองเต่า กระดองเต่าส่ายไปมาแม้ไม่แตกร้าว ทว่าคุณชายหกกลับ ‘อั่ก’ เสียงหนึ่งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่ง อสูรปีศาจชั้นสามยังไม่ใช่สิ่งที่ตนสามารถต่อกรได้ในยามนี้จริงๆ

 

 

ยามนี้ได้ยินเสียงหวีดแหวกผ่านอากาศ เขาอดมองไปที่มั่วชิงเฉินไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินแม้พันตูกับขาทั้งสี่ของอสูรแปดขามาตลอด แต่กลับใช้พลังกายใจที่มากกว่าในการสังเกตจุดเด่นของอสูรแปดขาและพลังของคุณชายหก ยามนี้เห็นคุณชายหกยากจะประคองไว้ได้แล้ว อีกทั้งในใจตนก็ประมาณการไว้แล้ว จึงทิ้งก้อนอิฐออกไป พร้อมด้วยพลังมหาศาลบินไปที่ปลาแปดขา

 

 

ในเมื่ออสูรแปดขานี้ลื่นจนจับไม่ติด อาวุธเวทที่บางและคมยากจะทำร้ายมันได้ เช่นนั้นก็ไม่สู้ใช้พละกำลังที่เหนือกว่ามาพิชิตเถอะ

 

 

เพราะการปิดบังซ่อนเร้นของมั่วชิงเฉิน อสูรแปดขาจึงใช้พลังกายใจส่วนใหญ่ไปทางคุณชายหกนั่นตลอด ยามนี้ได้ยินเสียงหวีดร้องจึงหันหน้าไป เห็นของมหึมาสิ่งหนึ่งเปล่งแสงทองแสบตาบินมาทางมัน โดยสัญชาตญาณรู้สึกว่าไม่ดี จึงเคลื่อนขาเจ็ดขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพันไปที่ของที่บินมาทันที

 

 

มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ปลายนิ้วปล่อยแสงวิญญาณอีกสายหนึ่งตีเข้าในอาวุธเวท แล้วก็เห็นก้อนอิฐกลางอากาศใหญ่ขึ้น ในชั่วเวลาหนึ่งแสงทองอะร้าอร่าม

 

 

อสูรแปดขาใช้ขาจับก้อนอิฐได้สมใจ กลับค้นพบอย่างน่าตระหนกว่าก้อนอิฐไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ดิ้นหลุดจากขาของมันด้วยพละกำลังที่มันไม่อาจควบคุมได้แล้วบินต่อไปข้างหน้า

 

 

แล้วก็ได้ยินเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่ง ร่างกายมหึมาของอสูรแปดขาร่วงลงในทะเล คลื่นยักษ์กระเพื่อมขึ้นสูงเสียดฟ้า

 

 

มั่วชิงเฉินขยับมือ ก้อนอิฐหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ ‘สวบ’ เสียงหนึ่งบินกลับเข้ามือนาง

 

 

อสูรแปดขาลอยขึ้นมาอีก มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา แอบระแวงพลางอยากดูให้รู้เรื่อง แล้วก็เห็นปลาแปดขาที่ดูแล้วอ่อนยวบไม่มีแรงกระโดดขึ้นมาในทันใด

 

 

“แม่นางมั่วรีบหลบเร็ว มีพิษ!” คุณชายหกตะโกนเสียงหลง

 

 

ในขณะที่มั่วชิงเฉินบินโฉบไปข้างหลัง ก็เห็นอสูรแปดขาอ้าปากกว้าง พ่นน้ำที่ดำเหมือนหมึกออกมากองหนึ่ง

 

 

เมื่อน้ำหมึกกองนี้โผล่ออกมากลางอากาศไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเมฆหมึกก้อนหนึ่ง ลอยมาหาพวกมั่วชิงเฉินสองคนด้วยความเร็วยิ่ง มาถึงหน้าพวกเขา ตกลงมาเป็นหยดหมึกนับไม่ถ้วนเหมือนพายุฝน อีกทั้งยังมาพร้อมกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนอยากอาเจียน

 

 

ยามนี้อาวุธเวทรูปกระดองเต่าของคุณชายหกได้มาขวางอยู่หน้าสองคนแล้ว เปล่งเสียงดัง ‘ฟู่ๆ’

 

 

“แม่นางมั่ว ไม่นึกเลยว่าปลาแปดขานี้จะกลายพันธุ์ เจ้าอย่าให้หยดหมึกพวกนั้นกระเด็นถูกเด็ดขาด” คุณชายหกเตือนเสียงหลง แล้วหายใจหอบ เห็นชัดว่าสูญเสียพลังวิญญาณเกินขีดจำกัด อยากจะช่วยแต่ก็เหลือบ่ากว่าแรง

 

 

เป็นตามที่มั่วชิงเฉินคาดไว้จริงๆ เมื่อยามที่เม็ดฝนยิ่งตกยิ่งเร็ว กระดองเต่าใบนั้นสั่นทีหนึ่ง เท่าที่ดูจะยันไม่อยู่แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินตะเบ็งเสียงเบาๆ เสียงหนึ่ง กระบี่ไม้ในมือขวาวาดแสงวิญญาณสีเขียวออกกลางอากาศสายหนึ่ง จากนั้นก็เห็นดอกไม้สดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในอากาศ

 

 

ดอกไม้สดดอกใหญ่มากมายหมุนอยู่กลางอากาศ ในชั่วอึดใจกลีบดอกไม้กระจายออกเป็นใบๆ ตกลงมาเหมือนฝน

 

 

ฝนดอกไม้ตกลง ดูดเอาฝนหมึกเข้าไปจนหมดทันที กลิ่นเหม็นคาวกระจายหายไปสิ้นในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมของบุปผา

 

 

อสูรแปดขาดูเหมือนเกรงกลัวฝนดอกไม้ยิ่งนัก รวมทั้งขาที่ได้รับบาดเจ็บ ขาใหญ่ทั้งแปดโบกไปโบกมาอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก ขัดขวางไม่ให้กลีบดอกไม้ตกลงบนตัว

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง เถาวัลย์สีเขียวเข้มในมือซ้ายเปรียบดั่งงูหลามยักษ์อันน่ากลัว แนบไปบนน้ำทะเลว่ายไปยังอสูรแปดขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงแต่กลับเร็วปานดาวตก

 

 

ในยามที่อสูรแปดขากำลังสะบัดขาต้านฝนดอกไม้นั้น เถาวัลย์สีเขียวเข้มได้มาถึงข้างหน้าแล้ว กระโดดขึ้นในบัดดลผูกขาของอสูรแปดขาให้เป็นช่อ

 

 

มั่วชิงเฉินมือซ้ายออกแรง ลากอสูรแปดขาตกลงมาบนเรือเล็ก แล้วก็ได้ยินเสียงปึงดังขึ้น อสูรแปดขาที่น่ายำเกรงถูกโยนลงบนเรือเหมือนบ๊ะจ่างลูกใหญ่ ร่างกายมหึมาเบียดอยู่บนเรือเล็กจนไม่มีที่ให้สองคนยืนทันที เรือเล็กส่ายไปมาอย่างรุนแรงอยู่ครึ่งค่อนวันถึงค่อยๆ สงบลงมา

 

 

“คุณชายหก เจ้านี่จะจัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินมองไปที่คุณชายหกที่เหม่อลอยเล็กน้อย

 

 

คุณชายหกนี่ถึงได้สติคืนมา มองมั่วชิงเฉินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่งว่า “น้ำหมึกที่อสูรแปดขานี้พ่นออกมาสามารถแปลงเป็นเมฆได้ เป็นอสูรแปดขากลายพันธุ์ที่ในร้อยตัวก็หาไม่ได้สักตัว เดิมทีเจออสูรแปดขาชนิดนี้เป็นเรื่องที่โชคร้าย ทว่ามาเจอแม่นางมั่วกลับกลายเป็นเรื่องโชคดี”

 

 

“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไป กำลังฟื้นฟูพลังวิญญาณ

 

 

คุณชายหกว่า “น้ำหมึกของอสูรแปดขาชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นจำเป็นต้องเก็บตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ผล แม่นางมั่ว หากเจ้าเชื่อใจข้า ข้าน้อยเก็บน้ำหมึกของมันเอาไว้ก่อน ทุกอย่างรอพวกเรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน เจ้าดูเป็นเช่นไรบ้าง?”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ย่อมได้”

 

 

คุณชายหกนี่ถึงเดินไปข้างอสูรแปดขา เพิกเฉยต่อการดิ้นรนด้วยความโกรธาสิ้นหวังของอสูรแปดขา แล้วหยิบถุงมือสีขาวข้างหนึ่งใส่ไว้ ยื่นมือเข้าไปในปากอสูรแปดขา

 

 

อสูรแปดขาไม่มีฟัน มันที่ถูกมัดขาและร่างกายไว้สูญเสียพลังโจมตี ดูคุณชายหกยื่นมือเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ตาปริบๆ ถึงท้ายสุดก็ยื่นเข้าไปทั้งแขนแล้ว

 

 

ได้ยินเพียงเสียงคำรามอย่างอนาถ มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจนถึงสายตาของอสูรแปดขาที่มองนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่ยอมและโกรธแค้น สุดท้ายไม่ขยับเขยื้อนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก อารมณ์พูดไม่ได้ว่ารื่นรมย์ แต่ก็ไม่มีความเวทนาที่มากเกินความจำเป็น

 

 

คนและอสูรปีศาจ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นความสัมพันธ์แบบห้ำหั่นกันอยู่แล้ว ก็เป็นเพียงปลาใหญ่กินปลาเล็กที่เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง

 

 

ในยามนี้คุณชายหกยืนขึ้นมา พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว เนื้อของอสูรแปดขานี้เหม็นจนทนดมไม่ไหว นอกจากน้ำหมึกนี้แล้วก็ไม่มีอะไรดีแล้วล่ะ เจ้าแก้เถาวัลย์ออก ทิ้งมันลงทะเลเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูของในมือคุณชายหกปราดหนึ่ง มันคือของสีดำลักษณะเหมือนถุงขนาดเท่ากะละมังใบหนึ่ง คิดว่าน้ำหมึกก็เกิดมาจากข้างในนี้

 

 

นางเก็บเถาวัลย์ขึ้น ก็เห็นคุณชายหกยกเท้าเตะไปที่ศพของอสูรแปดขา กลับได้ยินเสียงอันร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นในสมอง “อย่าทิ้ง ข้าจะกิน!”

 

 

ไม่คิดว่าจะเป็นเสียงของอีกาไฟ

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “คุณชายหกช้าก่อน”

 

 

เห็นคุณชายหกมองมาอย่างประหลาดใจ มั่วชิงเฉินยิ้มๆ “อสูรแปดขานี้คนทางเรานั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าอยากนำศพมันกลับไป ให้อาจารย์และศิษย์พี่น้องสำนักเดียวกันดู ต่อให้ไร้ซึ่งประโยชน์ เพียงแค่เปิดหูเปิดตาก็เป็นเรื่องดี”

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด ฟังมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้แล้ว คุณชายหกในใจสะดุดทีหนึ่ง หดเท้ากลับมาว่า “นึกไม่ออกจริงๆ คนที่สามารถเป็นอาจารย์ของแม่นางมั่ว ควรจะเป็นบุคคลลักษณะเช่นไร”

 

 

ในสมองมั่วชิงเฉินจึงมีเงาของคนผู้นั้นแวบผ่าน ตนจากมาครั้งนี้ ไม่คิดเลยว่าจะผ่านไปสี่ปีกว่าแล้ว

 

 

“แม่นางมั่ว?” เห็นมั่วชิงเฉินเหมือนใช้ความคิด คุณชายหกเรียกเสียงหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินดึงความคิดกลับมา ยิ้มนิ่งเรียบว่า “คุณชายหกชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถเดินถึงระดับก่อแก่นปราณ มีใครบ้างไม่ใช่บุคคลที่มีฝีมือสูงล้ำ ข้าน้อยสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ได้ ก็เป็นโชคอย่างเหลือล้นแล้ว”

 

 

คุณชายหกยิ้ม ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแม้ไม่นับว่าเท่าไร ทว่าระหว่างคนกับคนสุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนคนเข้าใจดูก็รู้ว่าถึงขีดสุดแล้ว ไม่อาจก้าวหน้าแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรบางคนดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป อนาคตต้องไปถึงความสูงที่ไม่อาจคาดเดาได้

 

 

แม้เขาตบะไม่สูง พลังสายตากลับยังมีอยู่ ดูออกว่าแม่นางมั่วผู้นี้ต่อให้อยู่ในสำนัก ก็ต้องเป็นบุคคลลักษณะเป็นที่โปรดปรานจากฟ้า เกรงว่ายอดฝีมือระดับก่อแก่นปราณที่อยู่สูงเกินเอื้อมในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาเหล่านั้นก็ต้องแย่งกันรับเป็นศิษย์

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บศพของอสูรแปดขา ทั้งสองคนกินโอสถเติมวิญญาณอีกแล้วนั่งปรับลมหายใจคราหนึ่ง นี่ถึงเคลื่อนเรือบินขึ้นมาใหม่

 

 

“แม่นางมั่ว เกรงว่าฟ้าจะสว่างในทันทีแล้ว เจ้านั่งให้ดี ข้าจะเพิ่มความเร็วแล้ว!” คุณชายหกตะโกนเสียงหนึ่ง ถ่ายพลังวิญญาณใส่เรือบินมากขึ้น ความเร็วของเรือบินก็เร็วขึ้นในทันที

 

 

เรือบินยิ่งบินยิ่งเร็ว มองด้วยตาก็จะถึงแหล่งหินโสโครกนั้นแล้ว ทว่าก็ในยามนี้เอง ทางด้านตะวันออกที่ฟ้าและน้ำเชื่อมติดกัน ตะวันสีแดงดวงหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมา

 

 

ในยามที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ทันใดนั้นแหล่งหินโสโครกผืนนั้นส่องแสงสว่างไสว จากนั้นผิวทะเลที่เงียบสงบก็กระจายออกรอบๆ เหมือนม่าน เผยให้เห็นกลุ่มหินโสโครกรูปร่างประหลาดทั้งแถบ ตามติดมาด้วยเสียงร้องประหลาดเหมือนบรรเลงดนตรี เสียงร้องดำเนินอยู่ชั่วครู่ ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบ

 

 

คุณชายหกยิ้มระทมเสียงหนึ่ง บังคับเรือบินร่อนลงบนผิวทะเล หยุดอยู่ที่เดิมว่า “แม่นางมั่ว ทีนี้แย่แล้ว เดิมทีข้านึกว่าต้องผ่านตรงนี้ไปได้ก่อนฟ้าสางแน่นอน ใครจะรู้ว่าโรมรันพันตูกับอสูรแปดขากลายพันธุ์ใช้เวลามากเกินไป คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตจริงๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้วว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรารอพระอาทิตย์ตกค่อยผ่านไปเป็นเช่นไร?”

 

 

เมื่อครู่โรมรันกับอสูรแปดขาใช้เวลาไปไม่น้อยจริงๆ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากสู้รบการปรับลมหายใจพักเอาแรงยิ่งเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

คุณชายหกยิ้มระทมอีกครั้งว่า “แม่นางมั่ว ยังจำที่ข้าพูดว่าวันนี้เป็นกำหนดการสุดท้ายที่จะไปทะเลใต้ได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

คุณชายหกพูดต่อว่า “ก็คือเพราะว่าพวกเราจำเป็นต้องเร่งเดินทางให้ถึงเกาะที่ชี้เฉพาะแห่งหนึ่งก่อนพรุ่งนี้ เกาะเกาะนั้นเมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จะจมหายลงในทะเล จนกระทั่งเดือนสามปีหน้าถึงโผล่พ้นขึ้นมาได้อีกครั้ง”

 

 

ที่แท้คุณชายหกคนนี้รอตนอยู่ตลอดจริงๆ หากสุดท้ายตนไม่ไป เขาจะทำเช่นไรนะ?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินอดนับถือความห้าวหาญในการทุบหม้อจมเรือส่วนนี้ของคุณชายหกไม่ได้ จึงแย้มหนึ่งยิ้มทันที “คุณชายหก ในเมื่อหลบไม่พ้น เช่นนั้นพวกเราก็สู้เถอะ!”