ตอนที่ 161 ทันใดนั้นได้ยินว่ามีคนมาเยือน

พันธกานต์ปราณอัคคี

คุณชายหกมองใบหน้าที่แน่วแน่ของมั่วชิงเฉิน ในใจรู้สึกกล้าหาญขึ้นมาทันที ในเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งยังองอาจสง่างามได้ถึงเพียงนี้ ตนยังมีอะไรต้องยำเกรงอีกเล่า จึงพยักหน้าทันทีว่า “ดี เราก็ลองสู้กับอสูรปีศาจพวกนั้นสักตั้ง”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ชี้ที่หมู่หินโสโครกอีกว่า “แม่นางมั่วเจ้าดู อสูรทะเลพวกนั้นก็พำนักอยู่ที่นั่น พวกมันเป็นอสูรปีศาจชั้นหนึ่ง ตัวเดียวพลังไม่แข็งแกร่ง ทว่ามีจำนวนมากนัก ยามที่เราผ่านตรงนั้นจะมีอุปสรรคไม่น้อย สีบนตัวพวกมันไม่ต่างกับหินโสโครกสักเท่าไร มีเพียงเวลาจู่โจมถึงจะแลบลิ้นสีแดงออกมา แม่นางมั่วเจ้าต้องจำไว้ให้มั่น ลิ้นของพวกมันมีพลังดึงดูดพิเศษชนิดหนึ่ง อาวุธเวทเหินหาวของเราไม่อาจใช้ได้ตรงนั้น ยิ่งกว่านั้นหากถูกลิ้นแตะถูกตัวจะสลัดให้หลุดได้ยากนัก กลิ่นที่เหลือทิ้งไว้ยิ่งจะดึงให้อสูรทะเลนับไม่ถ้วนเข้ามาล้อมโจมตี

 

 

“อสูรทะเลชนิดนั้นเรียกว่าอันใด?” มั่วชิงเฉินฟังอย่างตั้งใจจนจบแล้วถามว่า

 

 

คุณชายหกเอ่ยว่า “เพราะว่ารูปร่างคล้ายจำพวกกบอยู่บ้าง คนของเราที่นี่จึงเรียกพวกมันว่าอสูรกบกินตะวัน เป็นอสูรปีศาจธาตุไฟที่พบได้ไม่บ่อยทางเรานี่”

 

 

“จุดอ่อนล่ะ?” มั่วชิงเฉินถามอีกว่า

 

 

คุณชายหกครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “คือจมูก ทว่าจมูกของพวกมันเล็กมาก อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่ว จู่โจมให้ถูกได้ยากนัก ปกติล้วนใช้แข็งปะทะแข็งฆ่าให้ตายหมดเรื่อง อย่างไรเสียระดับชั้นก็ไม่สูง”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าเข้าใจ ไม่ส่งเสียงอีก

 

 

สองคนจัดเตรียมอยู่พักหนึ่ง จึงมุ่งหน้าบินไปที่หมู่หินโสโครก รอถึงยามที่ไปถึง มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่าเรือบินใต้เท้าจมลงจริงๆ ร่วงลงสู่ข้างล่าง

 

 

ไม่รอให้เรือบินร่วงลงไป คุณชายหกก็โบกมือเก็บมันกลับ ทั้งสองคนร่อนลงบนก้อนหินพร้อมกัน

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงสัมผัสนิ่มๆ ส่งมาจากใต้เท้า รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที กระโดดขึ้นอย่างว่องไว สุดท้ายพบอสูรกบขนาดเท่าที่โกยผงตัวหนึ่งแฝงกายเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากไม่ใช่เพราะหลังจากถูกนางเหยียบแล้วโมโหจนท้องพองขึ้นพองลง นางก็มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง

 

 

อสูรกบกินตะวันนั่นเดิมทีกำลังหงายท้องตากแดดอย่างสบายอารมณ์ ไม่คิดว่าจะมีภัยตกจากฟ้า ถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเหยียบจนเกือบขาดใจ จึงยื่นลิ้นสีแดงสด ตวัดไปทางคนคนนั้นทันที

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจนบนลิ้นยาวๆ ของอสูรกบกินตะวันเต็มไปด้วยหนามกลับ ยามเดียวกับที่ตวัดมาทางนางยังพ่นไฟออกมากองหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังอย่างปราดเปรียว ดึงก้อนอิฐออกมาตบไปที่มันอย่างดุดัน

 

 

มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางอย่างแท้จริง ความแรงและพลังวิญญาณที่เกิดจากก้อนอิฐมิใช่สิ่งที่อสูรปีศาจชั้นหนึ่งที่เทียบเท่ากับระดับหลอมลมปราณในมนุษย์พึงจะรับไหว จึงได้ยินเพียงเสียงน้ำดัง ‘พรึบ’ อสูรกบกินตะวันถูกตบกลายเป็นโคลนตมกองหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนี้เองลูกไฟในร่างมันระเบิดออกมา กลายเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนบินไปทุกทิศทุกทาง

 

 

เมื่อสะเก็ดไฟกระเด็นไปรอบทิศ จึงสะกิดถูกอสูรกบกินตะวันที่อยู่รอบๆ นับไม่ถ้วน พวกมันต่างพองหนังท้องส่งเสียง ‘อ๊อบๆ’ แลบลิ้นจู่โจมไปที่มั่วชิงเฉิน

 

 

น่าสงสารมั่วชิงเฉินแม้แต่ก้อนอิฐก็ไม่ทันได้เก็บกลับมา ก็ต้องตบลงไปอีก ถึงตอนหลังนางไม่ต้องดูอย่างละเอียดแล้ว แต่ละทีที่ก้อนอิฐตบลงไปก็ต้องมีอสูรกบกินตะวันตัวสองตัวกลายเป็นโคลนตมที่มีน้ำสีเหลืองเขียวไหลออกมากองหนึ่ง นางยังต้องหลบลูกไฟที่พวกมันระเบิดออก อีกทั้งต้องระวังอย่าเหยียบถูกอสูรกบกินตะวัน ในชั่วเวลาหนึ่งมือไม้พัลวันพัลเกไปหมด

 

 

“แม่นางมั่ว อย่าฝักใฝ่การสู้ เดินหน้าไป!” คุณชายหกตะโกนบอกเสียงดัง

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปทางเขา พบว่าเขาก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน กำลังโบกง่ามปลาใหญ่อันนั้นเสียบไปที่อสูรกบกินตะวัน บนขายังถูกลิ้นของอสูรกบกินตะวันตัวหนึ่งพันไว้ไม่ปล่อย สะบัดไปสะบัดมาตามการขยับของเขา ดูแล้วทั้งน่าขยะแขยงทั้งตลก

 

 

มองดูบนพื้นที่ไม่มีที่ให้ยืน มั่วชิงเฉินเม้มปาก เคลื่อนพลังวิญญาณเสกคาถาเคลื่อนเงาเลือนราง ร่างกายเบาโหวงกระโดดออกไปไกลสี่ห้าจั้ง

 

 

เป็นเช่นนี้ด้านหนึ่งใช้ก้อนอิฐตบอสูรกบกินตะวันที่ดาหน้าเข้ามาตาย อีกด้านหนึ่งเสกคาถาเคลื่อนเงาเลือนรางบินทะยานไปข้างหน้า ไม่นานนักก็ทิ้งคุณชายหกออกไปไกล

 

 

ด้านนี้มั่วชิงเฉินวิ่งอย่างรวดเร็ว อสูรกบกินตะวันที่ถูกนางกระตุ้นจึงต่างวิ่งไปหาคุณชายหก คุณชายหกที่บนแขนบนขามีกบตัวใหญ่เกาะอยู่หลายตัวยิ้มระทมเสียงหนึ่ง ล้วงยันต์ระเบิดไฟใบหนึ่งโยนออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น หันหน้าไปดู ข้างหน้าคุณชายหกเก็บกวาดออกมาได้เป็นบริเวณกว้าง อีกทั้งยังมีกลิ่นกบย่างลอยมา

 

 

คุณชายหกหน้าบึ้ง เสกคาถาเหยียบลมทะยานไปข้างหน้า เมื่อสลัดไม่หลุดจริงๆ จึงทิ้งยันต์ระเบิดไฟออกมาอีกใบเพื่อเปิดทาง

 

 

หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็หลุดออกจากหมู่หินโสโครกจนได้

 

 

“สะ…สะใจจริงๆ!” คุณชายหกแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขับเคลื่อนเรือบินก็ไม่มีแล้ว จึงปล่อยให้เรือเล็กลอยอยู่บนผิวทะเล ตนนอนหงายอ้าซ่าอยู่บนเรือ ไม่มีมาดสง่าอ่อนโยนของคุณชายผู้สูงศักดิ์เหลืออยู่อีก

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ กลับเจริญหูเจริญตาขึ้นมาหน่อย ถอนใจเช่นกันว่า “น่า…น่าขยะแขยงจริงๆ!”

 

 

พูดจบสองคนประสานตากันปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

สองคนที่หมดเรี่ยวแรงพักได้ชั่วครู่ นี่ถึงลุกขึ้นมานั่งสมาธิปรับลมหายใจ รอฟื้นฟูพลังวิญญาณในกายแล้ว ถึงขับเคลื่อนเรือเล็กบินขึ้นเหนือผิวน้ำ บินไปข้างหน้าใหม่

 

 

คุณชายหกก้มหน้ามองความทุลักทุเลเต็มตัวของตน แล้วกวาดสายตามองเสื้อผ้ามั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอีก เอ่ยว่า “แม่นางมั่ว เจ้าอดทนสักหน่อย รอเราบินผ่านเกาะชี้นำเกาะนั้น ค่อยหาสถานที่ชำระล้างเปลี่ยนเสื้อสักหน่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดใส่ตาดูตนเองปราดหนึ่งตามเรื่องว่า “ไม่เป็นไร เรื่องเป็นการเป็นงานสำคัญกว่า”

 

 

คุณชายหกผ่อนคลายลงสักหน่อย ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเรือบินมากขึ้น เร่งให้แล่นไปข้างหน้า

 

 

เป็นเช่นนี้บินอยู่เหนือผิวน้ำมาสามชั่วยามกว่า ในยามที่ทั้งสองคนเบิกตากว้างค้นหาเกาะชี้นำจนต่างรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยนั้น ในที่สุดก็ค้นพบหมู่เกาะที่ยกตัวสูงขึ้นมาลอยอยู่บนผิวทะเล

 

 

“แม่นางมั่ว ถึงแล้ว!” คุณชายหกสีหน้าดีใจ เร่งเรือบินให้เร็วขึ้นอีกทันที

 

 

ไม่นานนักทั้งสองคนก็เร่งมาถึง มั่วชิงเฉินพบว่าพื้นที่เกาะชี้นำนี้เล็กมาก กลับเหมือนประภาคารที่สูงและเล็กมากกว่า บนยอดแหลมมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ออกผลเพียงผลเดียว

 

 

คุณชายหกกระโดดลงจากเรือบินลงบนเกาะ สองสามก้าวก็ปีนไปถึงจุดสูงสุด ยืนมองอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ แล้วถึงวกกลับไป ยิ้มบอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ไปเถอะ”

 

 

พูดพลางปรับเปลี่ยนทิศทางเรือบิน แล้วขับเคลื่อนบินไป

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างอย่างฉงน “คุณชายหก เกาะชี้นำนี้ชี้นำทิศทางเช่นไร?”

 

 

คุณชายหกยื่นมือชี้ว่า “เจ้าเห็นต้นไม้ต้นนั้นหรือไม่? ก็คือผลไม้บนต้นไม้นั้น อาศัยการเปลี่ยนแปลงของสีของมันมาแยกแยะทิศทาง”

 

 

 “หรือว่าจะเป็นเมื่อก่อนมีคนเคยมา แล้วจดทิศทางไว้เช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินอดถามไม่ได้ แม้นางเข้าใจว่าการที่คุณชายหกทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ทำเรื่องเกินจำเป็น ทว่ายังคงอยากถามให้รู้เรื่องอยู่ดี

 

 

คุณชายหกส่ายศีรษะหัวเราะว่า “น่านน้ำผืนนั้นของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่มีหลักแหล่งแน่นอน แต่จะเปลี่ยนแปลงปีละครั้ง อยากหาทิศทางที่ถูกต้อง ก็จะไม่มีเกาะชี้นำนี้ไม่ได้ นี่ยังเป็นเรื่องที่ท่านบรรพบุรุษระดับก่อกำเนิดของตระกูลหวังเราเมื่อพันปีก่อนเป็นผู้ค้นพบ เล่าลือกันว่าเกาะชี้นำนี้มีค่ายกลที่เขาตั้งเองกับมือถึงมีผลอัศจรรย์เช่นนี้ สามารถชี้แนะรุ่นหลังระดับสร้างรากฐานเช่นพวกเราไปตามหาโอกาสวาสนา”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าธรรมชาติช่างอัศจรรย์ ไม่คิดว่าน่านน้ำก็สามารถย้ายที่ได้อย่างไม่มีใครรู้ ส่วนวิธีการต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เก่งกาจเหล่านั้น ยิ่งทำให้คนหลงใหล จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เล่าลือกันว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมีความสามารถในการพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร[1] หากมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาสักครา ต้องได้รับประโยชน์เป็นแน่”

 

 

“แม่นางมั่วไม่เคยพบเช่นนั้นหรือ?” คุณชายหกถาม

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก “เป็นอันใดหรือ หรือว่าข้าควรได้พบหรือ?”

 

 

คุณชายหกหัวเราะคิกคักว่า “ตระกูลหวังเราไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมานานแล้ว บัดนี้ที่สูงที่สุดก็คือระดับก่อแก่นปราณระยะปลายเท่านั้น พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่รุ่นต่อรุ่น ย่อมไม่มีวาสนาได้พบ ทว่าแม่นางมั่วเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ สิ่งที่รู้ที่เห็นต้องมากกว่าพวกเราเป็นแน่”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหกตัดสินจากอันใดว่าข้าเป็นศิษย์สำนักใหญ่?”

 

 

คุณชายหกยิ้มแต่ไม่พูด

 

 

สองคนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาถึงบัดนี้ ความสัมพันธ์สนิทสนมขึ้นมาก มั่วชิงเฉินจึงว่า “ทางพวกเรานั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ไม่ใช่พบได้ทั่วไปเหมือนผักกาดดังที่คุณชายหกคิดหรอกนะ”

 

 

คุณชายหกอักอ่วนว่า “แม่นางมั่ว ข้าน้อยไม่เคย…ไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเป็นผักกาดมาก่อน…”

 

 

“หึๆ เอาเป็นว่าต่อให้เป็นสำนักใหญ่บางสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็น้อยนักที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน นอกเสียจากจะมีเรื่องสำคัญอันใด มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นพวกเราหากอยากพบผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิด ก็ได้แต่อาศัยโอกาสวาสนาแล้ว” มั่วชิงเฉินอธิบายว่า

 

 

จากคำพูดของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกฟังออกว่าสำนักที่นางสังกัดมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจริงๆ จึงอดสนใจขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าทางพวกเจ้านั่นเรื่องเช่นไรถึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วว่า “ที่เห็นบ่อยที่สุด น่าจะเป็นศิษย์ในสำนักสำเร็จได้แก่นทอง จัดพิธีก่อแก่นปราณ ผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิดในสำนักหากไม่ใช่กักตนอยู่หรือว่าออกมาฝึกตนล่ะก็ ก็จะเข้าร่วมพิธี”

 

 

คุณชายหกเอ่ยอย่างหลงใหลว่า “พิธีก่อแก่นปราณของพวกเจ้าทางนั้น คงต้องครึกครื้นมากเป็นแน่สินะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ที่จริงตั้งแต่ข้าเข้าสำนัก ยังไม่เคยเห็นพิธีก่อแก่นปราณมาก่อน ทว่าได้ยินว่าเวลามีพิธีก่อแก่นปราณ ในสำนักสูงจนถึงผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิด ต่ำจนกระทั่งถึงศิษย์ระดับหลอมลมปราณต่างไปอวยพร ครึกครื้นนั้นต้องแน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

ในใจแอบคิดว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนล่าสุดในพรรคเหยากวงก็คืออาจารย์ของตนแล้ว พริบตาเดียวหลายสิบปีผ่านไป เล่าลือกันว่าศิษย์พี่ทั้งชายหญิงระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์หลายคนต่างทะลวงแก่นปราณล้มเหลว บัดนี้คนที่เป็นตัวเลือกในการก่อแก่นปราณ ก็คือศิษย์พี่เยี่ยผู้ได้รับความเมตตาจากฟ้าผู้นั้นแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้วทอดถอนใจอยู่บ้าง ส่วนคุณชายหกได้ฟังแล้วก็ยิ่งสะกิดความรู้สึกยิ่งนัก ในชั่วเวลาหนึ่งทั้งสองคนจนด้วยคำพูด ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่ในเรือปล่อยให้บินไป ข้างหูล้วนเป็นเสียงหวีดร้องของลมทะเลและเสียงคลื่น

 

 

“แม่นางมั่ว เราก็พักผ่อนที่นี่สักหน่อยเถอะ” เดินทางอีกระยะหนึ่ง ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว คุณชายหกจึงค่อยๆ ร่อนเรือบินลงบนเกาะเกาะหนึ่ง

 

 

จากบนฟ้าสามารถดูออกว่าพื้นที่ของเกาะนี้เล็กนัก ไม่มีปราณวิญญาณสักสาย ต้นไม้ก็กะหร็อมกะแหร็ม ดูท่าทางไม่น่ามีอสูรปีศาจชั้นสูงอยู่ เป็นสถานที่เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ

 

 

ทั้งสองคนขึ้นเกาะ ใช้จิตตระหนักกวาดหมู่เกาะรอบหนึ่ง ไม่พบสิ่งผิดปกติ คุณชายหกจึงอาศัยต้นไม้ผูกเปลไว้สองหลัง

 

 

เขาบอกกล่าวทีหนึ่ง หาสถานที่เปลี่ยวชำระล้างสิ่งสกปรกบนตัว ถึงหันมาหามั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว เจ้าก็ไปชำระล้างเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า หาสถานที่เสกคาถาธาตุน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด แล้วใช้คาถาอบเสื้อผ้าให้แห้ง ยามที่กำลังจะย้อนกลับไปนั่นเอง ทันใดนั้นจิตตระหนักก็สัมผัสความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณระลอกหนึ่งได้ มีผู้บำเพ็ญเพียรกำลังมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาอยู่!

 

 

 

 

——

 

 

[1] พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร หมายถึง มีพลังมหาศาล