บทที่ 64 เจรจา

ราชาซากศพ

บทที่ 64 เจรจา

หญิงสาวที่ถูกด่าว่าใบหน้ายุ่งเหยิง หลังจากนั้นไม่นานน้ำตาเม็ดโตก็ไหลลงมาอาบแก้มแล้วพูดว่า: “เจ้าเป็นคนเลว คนเลวที่สุด”
“ต้องขออภัยจริง ๆ น้องสาวของข้า แค่เป็นห่วงท่านปู่มากเกินไป ข้าขออภัยแทนนางด้วย แต่ตอนนี้เจ้าต้องรีบหนีไป! ที่นี่มันอันตราย” เด็กสาวถูกหลินเว่ยด่า จนร้องไห้ ชายหนุ่มข้าง ๆ เธอ ก็กระตุกมือเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับหลินเว่ยด้วยใบหน้าที่เขินอาย

“จะไปไหน ต้องขอความเห็นข้าก่อน หากทำตัวดี ๆ ข้าจะปล่อยเจ้าไป” ชายตระกูลซุยเดินมาเปิดปากพูดขึ้น พร้อมกับคราบเลือดอยู่ที่มุมของปาก เขาพูดอย่างดุดัน เมื่อมองไปที่ดวงตาของหลินเว่ย เขาแสดงให้เห็นถึงความเย็นชา

“เจ้าจะฆ่าข้าหรือ? เจ้ากำลังจะฆ่าข้าเพียงเพราะข้าอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า…เจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ? เจ้าแห่งเมืองเฮยสุ่ย? หรือเจ้าของหุบเขาเวเนเชี่ยน?” จากการมองดูของอีกฝ่าย
หลินเว่ยรับรู้ได้ถึงไอสังหาร หลินเว่ยขมวดคิ้วและกล่าวด้วยใบหน้าที่อดกลั้น

“ฮ่าฮ่า! เป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาอีกคนหนึ่ง อย่าพูดว่าแบบนั้นเลย เป็นคราวเคราะห์ของเจ้าที่เผลอเข้ามาที่นี่ เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะสังหารเจ้า” ซุยอู่จี้ส่ายหัวและมองไปที่หลินเว่ย ด้วยความรังเกียจบนใบหน้าของเขา เขาพูดอย่างหยิ่งยโส

“ฮ่าฮ่า! ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของซุยอู่จี้ หลินเว่ยก็หัวเราะกับตนเองถึงสองครั้ง

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะดูว่าความแข็งแรงของเจ้า เท่ากับฝีปากหรือไม่?” ใบหน้าของหลินเว่ยเชิดตรง และแรงกดดันของนักรบขั้นสีาระดับสี่ก็พลุ่งพล่านออกมาในทันที เกราะพลังปราณห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ในพริบตา และมองไปที่ดวงตาของซุยอู่จี้ด้วยความเย็นชา
“หึ่ง!” “หึ่ง!” เสียงกระซิบกระซาบดังอยู่รอบตัวของหลินเว่ย
“ ……”
ซุยอู่จี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันในร่างกายของหลินเว่ย และชุดเกราะพลังปราณที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนพึมพำไม่หยุดหย่อน มาจากรอบ ๆ ตัวเขา
ทุกคนตกตะลึง และสายตาของพวกเขาก็จ้องมองออกไป ในตอนนี้มีคนที่อดใจไหวต้องหยิกแขนตนว่าเขานั้นฝันไปหรือไม่? หลังจากหยิกอยู่หลายครั้ง พวกเขาก็หันไปมองคนอื่น เพื่อดูให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังฝันอยู่หรือไม่?

“ปีนี้ เจ้าอายุเท่าไหร่?” ซุยอู่จี้จ้องมองไปที่หลินเว่ยด้วยใบหน้าตกใจ เขาทำท่าราวกับเห็นผีและถามด้วยความงุนงง
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!” หลินเว่ยตอบโดยไร้ซึ่งความรู้สึก

“เจ้า…!” ความโกรธแล่นผ่านบนใบหน้าของซุยอู่จี้ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้า เขาพูดกับหลินเว่ยด้วยรอยยิ้มที่แข็งกร้าว “น้องชาย เจ้าเป็นใคร บางทีเราอาจจะพูดคุยตกลงกันได้
“เจ้าไม่ต้องสอบถามรายละเอียดของข้า ข้าบอกได้แค่ว่าข้าเป็นแค่คนคนหนึ่ง ไม่มีครอบครัวหรือเจ้านาย ข้าเป็นชนชั้นรากหญ้า ถ้าเจ้าต้องการจะสู้อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง รีบ ๆ ทำอะไรเสียที ” หลินเว่ยกล่าวอย่างไม่อดทน

“ไม่ต้องกังวล น้องชาย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสนใจที่จะเข้าร่วมกับตระกูลซุยของข้าหรือไม่? ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าสามารถรับประกันได้ว่า จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูลซุยของเรา เจ้าจะก้าวเข้าสู่นักรบขั้นสี่ระดับสูง
ในเวลาไม่ถึงสองปีและได้เลื่อนระดับเปลี่ยน ขุนศึกขั้นห้าภายในสิบปี” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หัวใจของซุยอู่จี้ก็เต็มไปด้วยความสุข และเขาก็เปิดปากของเขาเพื่อชักชวนหลินเว่ยอย่างรวดเร็ว

“ตระกูลซุยเป็นแบบใดกันแน่? ต้องใช้ระยะเวลาสิบปีเพื่อปีนไปถึงขั้นขุนศึก ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งใครและข้าแน่ใจว่าจะสามารถได้เลื่อนขั้นเป็นขุนศึก ในอีกห้าปีข้างหน้า” หลินเว่ยเม้มริมฝีปากและพูดด้วยความรังเกียจ
“เจ้า…!” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย รอยยิ้มบนใบหน้าของซุยอู่จี้ก็แข็งค้างและหายไปเล็กน้อย ความโกรธของเขาปรากฏขึ้นทันที เขาสูญเสียการเสแสร้งไปโดยปริยายและข่มขู่ว่า
“เด็กน้อย ช่างมีใบหน้าที่ใหญ่โต เจ้าจะเข้าร่วมกับตระกูลซุยหรือจะตายอยู่ที่นี่ในวันนี้

“ถูกต้อง! ตอนนี้ข้าเบื่อกับการแสดงออกที่เสแสร้งของเจ้าเหลือเกิน แต่ข้าจะเลือกอีกแบบหนึ่ง คือเจ้าจะตายที่นี่ในวันนี้” หลินเว่ยมองเห็นว่า ซุยอู่จี้เลิกปั้นหน้าเสแสร้ง เขาจึงพูดเหน็บแนมอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ตายซะ! ในสายตาของข้า อัจฉริยะที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ คือคนที่ควรสาปแช่ง” เมื่อเห็นการปฏิเสธของหลินเว่ยอีกครั้ง ความผิดปกติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“อย่ามัวแต่มอง ไปสังหารมันลงซะ” การฝึกฝนของซุยอู่จี้นั้นถึงขั้นนักรบขั้นสี่ระดับเก้า ซึ่งสูงกว่าหลินเว่ยที่มีระดับเล็ก ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งต่อสู้กับชายชราของตระกูลเย่
และได้รับบาดเจ็บภายใน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เขาจึงเรียกให้พรรคพวกเข้าร่วมการต่อสู้

เมื่อได้ยินคำสั่งของซุยอู่จี้ คนอื่น ๆ มองหน้ากัน แล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจโดยปริยาย พวกเขาวิ่งเข้าไปและถ่ายเทพลังลมปราณเข้าไปในร่างของพวกเขา และมุ่งหน้าสังหารหลินเว่ยอย่างรวดเร็ว

“โอ้! เทียบกันแล้ว ข้าไม่เคยหวาดกลัวผู้ใด นอกจากสัตว์อสูร”
เมื่อเห็นว่า ตระกูลซุยส่งคนจำนวนมากมาปิดล้อมเขาไว้ หลินเว่ยบิดปากขึ้นและแสดงท่าทีประชดประชัน บนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มอัญเชิญสัตว์โครงกระดูกออกมา
มีโครงกระดูกทั้งหมดเพียง 15 โครงเท่านั้น แต่ทั้งหมดอยู่ในขั้นสี่ ในบรรดาห้าโครงกระดูกที่อัญเชิญออกมา ถูกส่งมาเพื่อดูแลซุยอู่จี้เป็นพิเศษ
ทั้งห้าตนมีระดับการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดระดับเก้า และต่ำสุดระดับเจ็ด

ส่วนที่เหลือค่อนข้างมีระดับต่ำกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของตระกูลซุยแล้ว พวกมันก็ถือว่าไม่เลว โครงกระดูกทั้งขั้นสี่นั้นถือว่าต่ำกว่าระดับพลังของซุยอู่จี้ที่เป็นนักรบขั้นสี่ระดับเก้า
เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์โครงกระดูกที่ปรากฏตัวข้างๆ หลินเว่ย ดวงตาของพวกเขาก็แทบถลนออกมา แต่มันสายเกินไปที่จะทำอะไรได้ แม้ว่าพวกเขาจะหยุดแต่สัตว์ร้ายโครงกระดูกก็ไม่สามารถหยุดได้
ตราบใดที่หลินเว่ยไม่ได้ออกคำสั่งใหม่ มันจะปฏิบัติตามคำสั่งก่อนหน้านี้เสมอ
ซุยอู่จี้ถูกโจมตีโดยโครงกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดขั้นห้า ในขณะที่คนอีกสี่คนของซุยอู่จี้ถูกทุบตีด้วยโครงกระดูกเต็มไปหมด สนามรบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

“พวกเรามาจากตระกูลซุย ในเมืองเฮยสุ่ย หากเจ้ากล้าฆ่าพวกเรา ตระกูลซุยจะไม่ปล่อยเจ้าไป ข้าแนะนำให้เจ้านั้นยั้งมือ จากนั้นเรามาสร้างสันติสุขซึ่งกันและกัน ในอนาคตเจ้าจะเป็นสหายของข้า ตระกูลซุยสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนอีก ”
เมื่อซุยอู่จี้ถูกล้อมรอบด้วยโครงกระดูกขั้นห้าด้วยร่างกายที่อ่อนแรง ถ้าต่อสู้อย่างยืดเยื้ออาจจะทำให้เสียเปรียบ

“อย่าเชื่อสิ่งที่เขาพูด เขาโกหกเจ้า ตราบใดที่ปล่อยเขากลับไป เขาจะพาผู้แข็งแกร่งมาสังหารเจ้า ตระกูลซุยมีขุนศึกหลายคนภายในตระกูลซุย” ไม่ต้องให้หลินเว่ยพูด ชายหนุ่มแห่งตระกูลเย่ กล่าวอย่างรีบร้อน
“อือ!” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ หลินเว่ยก็พยักหน้าให้เขา บ่งบอกว่าเขาเข้าใจ ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่รับรู้ถึงไอสังหารของซุยอู่จี้ อย่างไรก็ตามหลินเว่ยยังคงแสดงความขอบคุณเล็กน้อยที่เขาช่วยแนะนำ

“ตระกูลซุยเอ๋ย ตระกูลซุย พออ้าปากเจ้าก็พูดถึงตระกูลซุยทั้งวัน ในสายตาของข้านั้น ตระกูลซุยคือ ผายลมไร้แก่นสาร ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเจ้าตายหมดแล้ว ใครจะรู้ว่าถูกข้าสังหารล่ะ?” หลินเว่ยแคะหูของเขา และมองไปที่ซุยอู่จี้