บทที่ 63 ภัยที่มาโดยไม่รู้ตัว

ราชาซากศพ

บทที่ 63 ภัยที่มาโดยไม่รู้ตัว

ในช่วงมื้ออาหารเย็น หลินเว่ยปรุงเนื้อย่างที่มาจากเนื้อของหนูศิลา เนื่องจากภายในร่างของเขามีเพียงศพของหนูศิลาเพียงเท่านั้น ส่วนเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้ปฏิเสธเนื้อย่าง และเขาไม่สนใจว่าจะเป็นหนูแบบใด เพียงแต่อย่าเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตระดับต่ำเหล่านี้กับเขาก็เพียงพอแล้ว

หลังจากพักผ่อนไม่นาน หลินเว่ยก็เอาของเหลวรวมวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดงา มาเจือจางลงในขวดน้ำ หลังจากจิบแล้ว เขาก็นั่งสมาธิหลับตาและเริ่มตั้งสมาธิ และดูดซับพลังของของเหลว
สำหรับเสี่ยวไป๋เขาแอบคว้าขวดน้ำจากหลินเว่ย วิ่งไปที่มุมหนึ่ง จากนั้นหันหลังให้หลินเว่ยและเริ่มฝึกฝน

ภายในป่าใหญ่ในม่อเทียนหลิง
…………
“หวือ!”
“ฉึบ … ” มีเงาร่างสองสามร่างกระโดดไปมาและวิ่งไล่กัน ด้วยความรวดเร็วราวกับสายลม
“ตูม!” เสียงระเบิดดังขึ้นและเงากำปั้นสีทองปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าหลังชายชราและเด็กสาวคนหนึ่ง ชายคนหนึ่งไล่ทุบตีพวกเขาโดยตรง ร่างของพวกเขากระแทกกับต้นไม้อย่างรุนแรง
จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาทั้งสามคน ต่างกระอักเลือดออกมา จากนั้นพวกเขาก็รีบช่วยกันลุกขึ้นยืน

“ถงเสวี่ยเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้” ชายชราหันไปหาชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสอง พลางกล่าวให้รีบหนีไป

“ท่านปู่สาม พวกเราจะไม่ทิ้งท่านไว้ผู้เดียว” หญิงสาวมีนามว่าถงเสวี่ยน้ำตาอาบแก้ม เงยหน้ามองชายชรา ด้วยสายตาแน่วแน่
“ใช่! พวกเราจะตายด้วยกัน” ชายหนุ่มอีกคนยังพูดอย่างรีบร้อน
“ฮึ่ม! ไร้สาระ จะไม่มีใครได้หนีออกไปทั้งนั้น” ก่อนที่ชายชราจะพูดก็มีเสียงหนึ่งดังก็มาจากด้านหลังพวกเขา
“สวบสาบ” “กรอบแกรบ!” รอบ ๆ ทั้งสาม มีร่างทั้งห้าปรากฏขึ้นในทันทีล้อมรอบพวกเขา

“ตามหาคนไม่พบ แต่กลับมาไล่ทำร้ายพวกเราแบบนี้ เจ้าคิดจะสร้างความขัดแย้งของสองตระกูลงั้นหรือ?” ชายชราที่มีใบหน้าอดกลั้น ถามขึ้นหนึ่งประโยค

“ฮ่าฮ่า! ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะสับสนอะไรบางอย่าง ข้าเพิ่งสังหารตระกูลเย่ของเจ้า ไม่คิดว่าจะมันเป็นเรื่องตลกหน่อยหรือ ที่เจ้าพูดแบบนี้กับข้า ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซุยของข้าหวาดกลัวตระกูลเย่ของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด
อาศัยแค่ตระกูลหลิวช่วยเหลือในตอนนั้น ไม่เช่นนั้นป่านนี้พวกเจ้าคงจะถูกตระกูลซุยของข้าทำลายอย่างย่อยยับ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ชายในตระกูลซุยก็มองขึ้นไปบนฟ้า แล้วหัวเราะลั่นอย่างเหยียดหยาม

“เจ้า…”! พวกคนชั่วที่น่ารังเกียจ หากเจ้าไม่ฉวยโอกาสโจมตีและทำร้ายปู่สามของข้า หากไม่ใช่การฉวยโอกาสโจมตี ด้วยพละกำลังของเจ้าก็ไม่มีค่าพอที่จะแตะปลายเท้าของท่านปู่ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า อาหยางก็จะไม่ตายอย่างน่าอนาถ
“ชายในตระกูลซุยอดไม่ได้ที่เพ่งมองใบหน้าของเด็กสาว ที่อยู่ข้าง ๆ ชายชรา ที่กำลังสาปแช่งตระกูลของเขา

“ฮึ่ม! เด็กน้อย เจ้ายังอ่อนต่อโลกเกินไป ตั้งแต่สมัยโบราณความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ที่กระบวนท่า ข้าไร้ยางอายแล้วอย่างไร ผลสุดท้ายคือข้าที่ยังมีชีวิตอยู่และพวกเจ้าก็จะตายลงไปโดยไม่มีใครรู้ และข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปยังปรโลกเพื่อตามเพื่อนที่เจ้ารักหนักหนา ”

เด็กสาวนั้นพูดไม่ออกหลังจากได้ยินชายเบื้องหน้าพูด แม้ว่าใบหน้าของเธอจะดูไร้กังวล แต่เธอก็รู้สึกไร้พลังในใจ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นถูกต้อง พวกเขากำลังจะตาย พวกเขาเสียชีวิตโดยไม่มีใครรู้ แล้วใครเล่าจะรู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น?

“อืม ไร้สาระมากพอแล้ว ข้าจะมอบของขวัญให้แก่พวกเจ้าเสียที” ดูเหมือนว่าชายชรานั้นยังคงต้องการที่จะพูดคุยกับชายตระกูลซุย ดังนั้นชายในตระกูลซุยจึงเอ่ยปากขัดจังหวะเขาตรง ๆ

ทันทีที่สิ้นเสียงลงไป ร่างที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด มือขวาของเขากำหมัดแน่นห่อหุ้มด้วยพลังปราณและปล่อยหมัดของเขาไปที่ชายชราและรีบวิ่งไปที่ตระกูลเย่

“ซวนเจี๋ยศิลปะการต่อสู้ขั้นกลางหมัดพยัคฆ์พราวทอง หนึ่งในสุดยอดศิลปะการต่อสู้ของซวนเจี๋ย”
ใบหน้าของชายชรานั้นสงบนิ่ง หากเขาเคยเผชิญกับการโจมตีนี้มาก่อน เขาคงไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้พลังปราณของตัวเองเพื่อเอาชนะได้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
ตอนนี้เขาเหลือกำลังเพียงหนึ่งส่วนและต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับตระกูลซุย

ชายชรายื่นมือขวาออกและใช้พลังปราณ​เพื่อสกัดกั้นการโจมตีของตระกูลซุย จากนั้นเขาพ่นเลือดออกจากปากทันที อย่างไรก็ตามเขากัดฟันสร้างพลังปราณเพื่อสะท้อนหมัดของอีกฝ่ายออกไป

“หืม?” เมื่อชายตระกูลซุยเห็นการโจมตีของชายชราดวงตาของเขาก็หรี่เล็กลง และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นเขาก็กัดฟันและเพิ่มพลังปราณเข้าไป เพราะเขาเห็นว่าชายชรากำลังใช้ทักษะศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงของตระกูลเย่
ฝ่ามือทลายซึ่งเหนือกว่าหมัดพยัคฆ์พราวทองของเขามาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงต้องเสี่ยงโชค

“ตูม” เมื่อหมัดและฝ่ามือปะทะ ระลอกคลื่นในอากาศผันผวนแตกออกและฝุ่นฟุ้งกระจายสูงถึงครึ่งฟุต ซึ่งทำให้ผู้คนรอบข้างแตกตื่น
“ เหวอ!” “ พรึ่บ!” สองร่างที่ปะทะกัน ต่างก็ปลิวออกไปคนละทิศทาง

ร่างของชายตระกูลซุยปลิวออกไปชนต้นไม้ใหญ่สองสามต้น แล้วกระเด็นไปเป็นระยะทางไกล ๆ และหยุดลง สภาพเลือดไหลออกมาเต็มปาก ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
ในไม่กี่นาที ร่างกายดูอ่อนแรงอย่างมาก

ร่างของชายชรานั้นปะทะกับต้นไม้ใหญ่หลายต้น จากนั้นเขาก็ทะลุถ้ำและปลิวเข้าไป

เมื่อจ้องมองชายชราที่นอนอยู่บนพื้น และกระอักเลือดออกมาต่อหน้าเขา ใบหน้าของหลินเว่ยนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและภายในใจมีคำถามเต็มไปหมด
สิ่งที่เขาทำคือขุดถ้ำเพื่อฝึกฝนเป็นเวลาหลายชั่วโมง ไม่คาดคิดว่าชายชราคนหนึ่งจะปลิวเข้ามา และผลุบเข้ามาในถ้ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่หลินเว่ยไม่ได้รับบาดเจ็บ
สำหรับเสี่ยวไป๋นั้นน่าอนาถ เขาถูกชายชรากดทับอยู่ใต้ร่างและหมดสติไปทันที

“ไอ้หยา….โชคร้ายอะไรอย่างนี้ กลิ่นเลือดโชยไปในอากาศ ทำให้หลินเว่ยขมวดคิ้วและพึมพำ
จากนั้นมือข้างหนึ่งก็จับชายชราขึ้น ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับเสี่ยวไป๋ที่หมดสติและออกไปจากถ้ำ
เมื่อเห็นตระกูลซุยอยู่ไกล ๆ เขาก็รีบโยนชายชราลงกับพื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ใครที่ไหนกันมาเอะอะ โวยวาย … ”
“ท่านปู่สาม!” “ ท่านปู่สาม!”
“ท่านปู่! ท่านปู่ฟื้นขึ้นมา เจ้าทำอะไรท่านปู่ของข้า?” โดยไม่รอให้หลินเว่ยพูดจบ ร่างทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างของชายชราไว้ในอ้อมแขน จากนั้นหญิงสาวก็มองไปที่หลินเว่ยและถามอย่างดุเดือด พลางด่าว่า คนเลว
“ฮึ! ข้ากำลังฝึกฝนที่นั่น ชายชราปลิวเข้ามาและกระแทกโดนข้า ขัดขวางฝึกฝนของข้า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย! ใครกันแน่ที่เป็นคนเลว “ หลินเว่ยนั้นมีโทสะท่วมท้น เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายด่าทอเขา ความโกรธของเขาก็พุ่งสูงขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หลินเว่ยไม่สนใจและเปิดปากด่าไม่ไว้หน้า