เหลียนเหนียงไม่คิดว่าจะถูกคุณหนูใหญ่สอนเรื่องมารยาทเช่นนี้ จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมท่าทางน่าเอ็นดู ใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือขาวเนียนไร้ที่ติ ดวงตาใสกระจ่างดุจกระจก คลับคล้ายมีเมฆหมอกบังตา กัดริมฝีปากเบาๆ แล้วว่า
“คุณหนูใหญ่ เหลียนเหนียงตื่นเต้นไปหน่อย ขออภัยด้วย”
หน้าตาแม้ไม่นับว่าสวยมาก แต่ท่าทางที่อ่อนแอน่าสงสารเช่นนี้ เหมือนกับชื่อนางคำว่าเหลียนที่แปลว่าน่าสงสารไม่มีผิด และท่าทางเช่นนี้ก็เป็นแบบที่ผู้ชายชอบเสียด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองถงฮูหยิน เมื่อได้รับอนุญาต จึงมองทั้งสามพลางว่า
“สิ่งที่สมาคมม้าผอม สอนเป็นเพียงทฤษฎี แต่ที่บ้านนายนี่ล่ะ ของจริง ใช่ว่าขายความน่ารักไร้เดียงสาแล้วนายจะเอ็นดูเสมอไป ไม่ควรโง่แล้วอวดฉลาด วันนี้เมื่อมาเป็นวันแรก ข้าก็ถือโอกาสเตือนพวกเจ้าหน่อยว่า นายของบ้านนี้เป็นขุนนางในราชสำนักที่ใจซื่อมือสะอาด รักความยุติธรรม ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนถูกคนนอกจับตามอง จะเดินพลาดก้าวผิดไม่ได้ เพราะไม่ใช่มหาเศรษฐีมั่งคั่งร้อยพ่อพันแม่เหล่านั้น เมื่อเข้ามาในจวน ไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าจะได้เป็นบ่าว หรือเป็นอนุ ก็ต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม ร้อยเล่ห์เพทุบายสารพัดสารพันที่เรียนรู้มาจากภายนอก อย่าเอามาใช้ในบ้านสกุลอวิ๋นเป็นขาด มิเช่นนั้นต่อไป แม้ผู้อาวุโสเมตตาและใจกว้างกับพวกเจ้า แต่ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
ก่อนที่ทั้งสามจะถูกซื้อตัวมา เคยได้ยินป้าหลิวว่า ฮูหยินใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋นล่วงลับไปนานแล้ว ฮูหยินคนต่อมาหลังจากป่วยหนัก ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพระ ไม่สนใจการบ้านการเรือน และผู้ที่จัดการเรื่องหลังบ้านในตอนนี้ ก็มีเพียงผู้อาวุโสที่เพิ่งมาจากชนบทกับอนุที่ค่อนข้างสูงวัย
ไหนเลยจะคิดว่าเบื้องหลังยังมีคุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋นคอยกำกับอยู่อีกคน มิหนำซ้ำยังร้ายกาจถึงเพียงนี้! พอมาถึงก็ให้ทิ้งสิ่งที่เรียนมา ตั้งกฎใหม่ แล้วไม่ให้ใครโต้แย้งด้วย
พอเถาฮวาเห็นว่าเหลียนเหนียงมาถึงบ้านนายก็ถูกบีบให้ยอมจำนนเช่นนี้ ตนก็ย่อมมีโอกาสมากขึ้น จึงได้ใจ ยกมุมปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเหล่ตามองเหลียนเหนียงพร้อมสีหน้าเย้ยหยันเล็กน้อย
ส่วนฮุ่ยหลาน ยังคงเป็นเช่นเดียวกับตอนแรก ดูประหม่า มึนงง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เหมือนเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง
ถงฮูหยินจึงบอกให้ทั้งสามถอยไปยืนด้านข้างก่อน จากนั้นก็หันไปหารือเสียงเบา
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่า สาวๆ ทั้งสามเป็นอย่างไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางมอบอำนาจตัดสินใจให้ท่านย่า “หลานมิบังอาจวู่วามพูด อยากฟังท่านย่าพูดก่อน” ฟังความเห็นจากท่านย่าก่อน แล้วค่อยว่ากัน
แม้บอกให้หลานพูด แต่ถ้าหลานพูดก่อน ถงฮูหยินต้องไม่สบอารมณ์ ตอนนี้พอเห็นหลานรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ยิ่งพอใจ จับถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ไว้ในมือ พลางค่อยๆ พูด
“เดิมทีข้าคิดว่าเถาฮวาอายุมากสุด รู้กาลเทศะมากสุด เหมาะที่จะแต่งเข้าเป็นอนุ แต่พอดูให้ถ้วนถี่อีกที ก็รู้สึกว่า ยิ่งอายุมาก ความรู้สึกนึกคิดก็มากตาม ซับซ้อนไป เมื่อครู่ข้าเห็นนางลุกลี้ลุกลนก้าวออกมาประจบประแจง ไม่เหมือนหญิงสาวที่อ่อนโยนเจียมเนื้อเจียมตัว…พฤติกรรมที่คนเป็นอนุไม่พึงมีก็คือ ขวัญกล้าเทียมฟ้าและเหลี่ยมจัด มิฉะนั้นแล้วบ้านจะไม่สงบสุข เรื่องของไป๋ฮูหหยินเพิ่งผ่านพ้น ข้ายังติดอยู่ในใจ ถ้าเอาคนใจแคบคิดไม่ซื่อมาอีก ก็แย่กันหมดพอดี! ส่วนเหลียนเหนียง ข้าเห็นว่านางไม่แก่งแย่ง ยอมเป็นคนสุดท้าย อ่อนโยนนอบน้อม พูดเสียงอยู่ในลำคอตลอด ไม่กล้าพูดเสียงดัง จึงถูกใจข้าเป็นที่สุด เจ้าล่ะเห็นว่าอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “หลานกลับคิดต่างจากท่านย่า เมื่อท่านย่าดูนิสัยของเถาฮวาออกได้ในทันที ก็แสดงว่านางไม่ใช่คนซับซ้อน ก่อกวนอะไรไม่ได้มาก เพียงภายนอกดูร้ายกาจเท่านั้น คนแบบนี้จริงๆ แล้ว รับมือและกำราบได้อยู่หมัดสุด ส่วนคนที่ดูไม่ออกในคราวเดียว ทำให้ท่านย่าหลงใหลได้ปลื้มว่าดีสุดนั้น กลับเป็นคนที่ทำให้เราต้องไตร่ตรองมากสุด”
คำพูดนี้มีเหตุผล เพราะที่ถงฮูหยินตัดสินใจเลือกอนุให้ลูกชายนั้น นอกจากอยากให้มีทายาทแล้ว ก็อยากได้อนุที่มีจิตใจดีและมีพฤติกรรมเหมาะสม ที่จะไม่ทำให้หลังบ้านยุ่งวุ่นวายอีก แต่จุดนี้ ตนกับหลานกลับคิดเห็นไม่ตรงกัน คิดๆ ดู จึงว่า
“เช่นนั้นเจ้าลองดูสิว่า จะแบ่งงานอะไรให้ทั้งสามคนทำดี ข้าคิดว่าจะให้พวกนางไปรับใช้ที่เรือนหลักก่อน เจ้าลองเสนอมาดูหน่อยว่า จะให้พวกนางทำอะไร”
ครั้งนี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดจะยอมให้อีก จึงเรียกทั้งสามมา
เถาฮวา ฮุ่ยหลาน และเหลียนเหนียง ถูกเรียกให้มาพบเป็นครั้งที่สอง จึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ ทั้งสามรู้ว่าต้องถูกส่งให้แยกกันไปทำงานที่เรือนหลัก แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะให้ทำอะไร เช่นปรนนิบัตินายท่านข้างกาย ย่อมแตกต่างกับทำงานเบ็ดเตล็ดนอกเรือนมากโขอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองเถาฮวาก่อน แล้วค่อยๆ กวาดตามองอีกสองคน
“เถาฮวาเป็นพี่ใหญ่สุด รู้งานมากสุด เรือนหลักมีเรื่องจุกจิกมากมาย ต้องการคนละเอียดอ่อนหน่อย เจ้าคอยดูแลจัดการก็แล้วกัน…”
พอได้ยิน เถาฮวาก็แสดงท่าทางยินดีปรีดาออกมา ถ้าได้อยู่ในเรือนหลัก ก็เท่ากับได้พบหน้านายท่านทั้งเช้าและเย็น ได้ใกล้ชิดนายท่าน จึงพลันก้าวไปข้างหน้าโดยที่อวิ๋นหว่านชิ่นยังพูดไม่จบ คุกเข่าโขกศีรษะสองที
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่! ขอบคุณคุณหนูใหญ่!”
เป็นคนเก็บงำอะไรไม่ได้จริงๆ หลานสาวพูดไม่ผิด ถงฮูหยินรู้สึก
เหลียนเหนียงขยับแก้มชมพู หนังตาจึงหลุบตาม แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรกับความโชคดีของเถาฮวา เพียงก้มใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวเนียนสวยลงไปอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของนางแล้วเก็บไว้ในใจ ก่อนพูดเสียงเรียบ
“ส่วนอีกสองคน อย่างไรเป็นคนของเรือนหลัก จะอยู่นอกเรือน หรือในเรือน ก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นพวกเจ้าแบ่งงานกันเองก็แล้วกัน ลองปรึกษากันดู”
การให้แบ่งงานกันเอง จะได้ดูนิสัยของทั้งสองไปในตัว
นอกเรือน อยู่ห่างจากนายท่านหน่อย ตามความคิดของคนทั่วไป ในเรือนย่อมดีกว่า แม้ทั้งนอกและในไม่มีงานสบาย แต่ถ้าได้ใกล้ชิด ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่า เหลียนเหนียงตัดสินใจได้ในทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเห็นกับตาว่า เหลียนเหนียงที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้ถูกกระทำ หรือรอให้คนอื่นทำก่อน ครั้งนี้กลับหันมองฮุ่ยหลาน เข้าไปจับมือนาง แล้วเขย่าเบาๆ พลางพูดเสียงเบา
“ฮุ่ยหลาน ทำงานอยู่นอกเรือน ไม่รู้ว่าต้องเฝ้าประตูตลอดเวลาหรือเปล่า นอกเรือนแดดแรง ข้ามักปวดหัวอยู่ด้วยสิ…”
ดูไปแล้ว ตอนอยู่สมาคมม้าผอม ฮุ่ยหลานน่าจะยอมให้เหลียนเหนียงเสมอ อีกอย่าง คุณหนูใหญ่ก็บอกแล้วว่านอกในไม่ต่างอะไรกัน พูดอะไรมานางก็เชื่อหมด นิสัยไม่คิดมาก จึงพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าอยู่นอกเรือน เจ้าอยู่ในเรือนก็แล้วกัน ไม่ต่างอะไรกันมากนี่”
และแล้ว การปรึกษาหารือ ก็สามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนทะเยอทะยาน
พื้นที่หลังบ้าน ผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ย่อมอยู่ไม่ได้
ชาติก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นกับเหลียนเหนียงไม่เพียงไม่เคยขัดแย้งกัน สุดท้ายเหลียนเหนียงยังลอบส่งจดหมายให้นางเปิดโปงไป๋เสวี่ยฮุ่ยอีก แต่นางรู้ว่า อนุรองทำเพื่อตัวเองเท่านั้น โดยความตั้งใจแต่แรกคือ ใช้ตนเป็นเครื่องมือ ลากไป๋เสวี่ยฮุ่ยลงจากหลังม้า แต่ชาตินี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกอวิ๋นหว่านชิ่นกำราบให้ไปอยู่ในห้องพระได้ก่อน และแม้ตอนนี้เหลียนเหนียงยังมิได้คุกคามอะไรตน แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็รับประกันไม่ได้ว่า ถ้าเหลียนเหนียงได้เป็นอนุ ความทะเยอทะยานจะทำให้นางเปลี่ยน หันมาทำร้ายน้องชายและคนอื่นๆ หรือไม่
เมื่อคาดเดาอะไรไม่ได้กับคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก และชาติก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยลิ้มลองมาแล้ว ชาตินี้ แม้คนผู้นี้ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน ด้วยการกำราบนางไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ปรึกษากันเสร็จแล้วใช่ไหม”
เหลียนเหนียงกัดริมฝีปาก ก้มหน้า แล้วบอกการตัดสินใจของพวกตนให้ฟัง
ริมฝีปากของอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏรอยยิ้มบางๆ แต่ลึกล้ำ
“ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่พวกเจ้าตกลงกันไว้ ฮุ่ยหลานรับใช้อยู่นอกเรือน เหลียนเหนียงอยู่ในเรือน ข้าจะบอกหน้าที่รับผิดชอบให้ฟังคร่าวๆ นอกเรือนดูแลเรื่องการรับส่ง อาจต้องเข้าๆ ออกๆ ส่งข่าว รายงานข่าว ส่วนในเรือน โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไร ไปที่ครัวตรงชานเรือน ดูเตา เฝ้าของบนเตา คอยจับตาดู ไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด เพราะบ่าวในเรือนต้องไปตักน้ำ หรือยกน้ำชาให้นายเป็นครั้งคราว ข้าพูดเช่นนี้ พอจะเห็นภาพไหม รายละเอียดกับกฎระเบียบต่างๆ ไว้มอมอข้างกายท่านย่าจะเป็นคนบอกพวกเจ้าเอง”