หลังรับฟัง ฮุ่ยหลานนั้นไม่มีอะไร ย่อตัวรับคำ “เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
ทว่าเหลียนเหนียงกลับหน้าเปลี่ยนสี เช่นนี้เป็นอันว่า อยู่นอกเรือนสบายกว่าในเรือนเยอะ อย่างน้อยก็ได้เข้าๆ ออกๆ ตอนเข้ามารายงานยังสามารถพูดคุยกับนายท่าน สร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่อยู่ในเรือน ที่แท้ก็ต้องคลุกอยู่แต่ในครัวตลอดทั้งวัน ออกมาไม่ได้! ไหนเลยจะมีโอกาสพบหน้านายท่านเล่า หรือต่อให้บังเอิญได้พบ ไอร้อนและควันดำจากเตาไฟ ถ่านและฟืนกองโตที่ต้องขน ไหนเลยจะอยู่ในสภาพที่พบผู้คนได้
นานวันเข้า ผิวก็จะถูกควันดำและเปลวเพลิงทำลายจนเสียโฉม!
เหลียนเหนียงได้แต่เจ็บใจ ด้วยตนเป็นคนขอจากฮุ่ยหลานเอง จึงเปลี่ยนกลับไม่ได้แล้ว ดวงตากลมโตทั้งสองข้างพลันถูกเมฆหมอกปกคลุมอีกครั้ง ขนตายาวกะพริบ นางก้มหน้าลง ริมฝีปากล่างที่บางดุจกลีบดอกไม้ถูกกัดจนใกล้แตกเต็มที พยายามกดเสียงไม่ให้สั่น เสียงจึงบางเบา จนน้ำตาแทบจะหยดลงมาด้วย
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้วคุณหนูใหญ่”
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางที่ถูกกดดันจนหมองเศร้าของนาง ก็พูดเสริมขึ้นอย่างใจเย็นและเฉยเมย แต่กลับมีน้ำหนักยิ่ง
“เมื่อไปทำงานที่เรือนหลัก สิ่งสุดท้ายที่ต้องเตือนก็คือ ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนให้ดี ต้องตระหนักเสมอว่าอยู่ตำแหน่งไหน ทำอะไร ส่วนวันข้างหน้าโชคชะตาจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ถ้าตอนนี้ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วคิดแก่งแย่งชิงดีกันล่ะก็ จวนรองเจ้ากรมไม่เอาไว้แน่ จะรีบจัดการตามกฎบ้าน แล้วขายทอดตลาดทันที!”
นี่ก็หมายความว่า กระทั่งวางแผนหาโอกาสให้ได้ใกล้ชิดนายท่านก็ยากยิ่ง
เหลียนเหนียงใจสั่น ขณะย่อตัวลงขานรับพร้อมกับฮุ่ยหลานและเถาฮวา
…..
ฟ้าเพิ่งเริ่มค่ำ ระหว่างทางเดินกลับเรือนหยิงฝู
พอเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วง ฝนตกทีหนึ่งอากาศก็เย็นลงทีหนึ่ง แล้ววันต่อๆ มาก็เย็นลงเรื่อยๆ
ค่ำนี้พอเดินอยู่นอกเรือน ก็รู้สึกเย็นจับใจ ชูซย่าจึงคลุมเสื้อคลุมตัวสั้นสีแดงให้อวิ๋นหว่านชิ่น ขณะเดินอยู่บนทางน้อย ก่อนพูดหยั่งเชิงดู
“สาวๆ ที่อยากเป็นอนุทั้งสาม อย่างไรก็ต้องถูกนายท่านเลือกมาเป็นอนุเพียงคนเดียว คนที่คุณหนูมองน่าจะเป็นฮุ่ยหลานนะเจ้าคะ เพราะเถาฮวากับเหลียนเหนียง ดูท่าทางแล้ว คิดแย่งตำแหน่งกันสุดๆ ซึ่งทั้งสองก็ดูมีภาษีมากสุด คนหนึ่งได้ไปอยู่ในที่ที่ดีสุด อีกคนหนึ่งได้ไปอยู่ในที่ที่แย่สุด ย่อมต้องทำให้คนหนึ่งไม่พอใจ ซึ่งถ้าเหลียนเหนียงมีใจทะเยอทะยานจริง ก็ต้องไม่ยอมให้เถาฮวาอยู่เหนือแน่ ทั้งสองต้องสู้กันทั้งที่แจ้งและที่ลับ จนบาดเจ็บและพ่ายแพ้กันทั้งคู่ แบบนี้คุณหนูก็ไม่ต้องลงมือเองแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองชูซย่า “เจ้านี่เชี่ยวชาญยุทธวิธีสู้รบจริงๆ ส่งไปแนวหน้าซะเลยดีไหม”
ชูซย่าแลบลิ้น ไม่พูดมากอีก
ตนมองฮุ่ยหลาน? มองเมิงอะไรกัน? ก็แค่กดให้ผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมาทำอันตรายตน ลงไปอยู่ในจุดต่ำสุด
ทว่าเมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว ฮุ่ยหลานดูซื่อและเชื่อฟังมากกว่า ถ้าที่บ้านเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องมีอนุจริงๆ ก็ต้องเลือกคนที่รู้ใจตน เช่นเดียวกับมารดาที่ยกอนุฟางให้บิดา ก็มิใช่เพราะนางมีวิธีมัดใจชาย จับผู้ชายจนอยู่หมัดหรอกหรือ หากหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นฝ่ามือพระยูไล บิดาเลือกคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ คนที่มีแต่แผนร้ายอยู่เต็มท้อง ก็มิเท่ากับรนหาความทุกข์ใส่ตัวหรอกหรือ
แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็กระชับเสื้อคลุมให้แน่นเดินตรงกลับเรือนพร้อมชูซย่า
วันรุ่งขึ้น เถาฮวาถูกส่งไปเรือนหลัก ปรนนิบัติข้างกายนายท่าน เหลียนเหนียงถูกส่งเข้าห้องครัว ที่ชานเรือนด้านใน ฮุ่ยหลานอยู่นอกเรือนคอยรับส่งข่าวเข้าออก หน้าที่ล้วนถูกจัดสรรเรียบร้อย
พอมาถึง ทั้งสามก็ถูกกระตุ้นเตือนให้จดจำกฎระเบียบต่างๆ ไว้ ทุกคนจึงทำตามสิ่งที่คุณหนูใหญ่กำชับ ไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ ต่างคนต่างทำตามขอบข่ายความรับผิดชอบของตน ที่บ้านจึงเงียบสงบอยู่พักใหญ่
อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งถูกเสนอชื่อในที่ประชุมตำหนักอี้เจิ้ง แม้ยังไม่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นท่านเจ้ากรม แต่ก็ได้ยินข่าวลือมาว่า มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน จึงยินดีปรีดายิ่ง พยายามวิ่งเต้นอุดรอยรั่วทั้งวัน สำหรับเรื่องที่ถงฮูหยินซื้อสาวๆ มาใหม่สามคนนั้น เขาก็รู้ดีว่ามารดาซื้อมาเป็นอนุให้ จึงเรียกสามสาวมาดูตัว แล้วถามไปสองสามประโยค
ด้านอนุฟาง พอรู้ว่าผู้อาวุโสซื้อสามสาวมาจากสมาคมม้าผอม และทั้งสามก็อยู่ในขั้นเตรียมที่จะเป็นอนุโดยเอาไว้ให้นายท่านเรียกใช้ในเรือนหลักก่อน นางก็นั่งไม่ติด ด้วยเกรงว่าจะถูกนางจิ้งจอกที่มาใหม่แย่งความสุขในอนาคตไปจนหมด วันต่อมาจึงมาลากท่านพี่ไปที่เรือนชุนจี้
หลายวันมานี้ ขณะอยู่นอกบ้านอวิ๋นเสวียนฉั่งเอาแต่วิ่งเต้นให้ได้เลื่อนตำแหน่ง พอกลับถึงบ้านก็ถูกฟางเย่ว์หรงพัวพันไม่ยอมปล่อย หลังจากดูตัวเถาฮวา เหลียนเหนียงและฮุ่ยหลานไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีเวลาว่างไปสนใจพวกนางอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งช่วยท่านย่าเลือกอนุให้บิดาเสร็จเรียบร้อย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นับว่าสามารถกลับมาใส่ใจเรื่องร้านที่ถนนจิ้นเป่าได้อย่างสบายใจเสียที
แสงแดดยามบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงทอประกาย ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ แต่อากาศเย็นสบายกำลังดี
หงเยียนมาที่จวนอีก เรียกเมี่ยวเอ๋อร์ให้มาพบที่ประตูข้าง เพื่อถามถึงชื่อร้าน เพราะต้องรีบออกใบเสร็จให้ลูกค้าอย่างเป็นทางการ ไม่ควรลากยาวต่อ
ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะให้เมี่ยวเอ๋อร์กลับออกไปตอบหงเยียน นอกประตูเรือนก็มีเสียงฝีเท้าดังมา ฟังดูแล้วรีบร้อนมาก วิ่งตรงมาที่เรือนฝูหยิง
เมี่ยวเอ๋อร์มองว่าน่าจะเป็นเรื่องด่วน จึงเลิกม่านขึ้นแล้วก้าวออกไป
และแล้ว บ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ก็วิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามาในเรือน แต่ก็หยุดเท้าสะเอว งอตัวลงสูดหายใจ พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ออกมา ค่อยหายใจสะดวกขึ้น แต่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ
“บอก บอกคุณหนูว่า มีคนมาหาที่จวน! เร็วเข้า! มีคนกลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่หน้าประตูจวน!”
นี่กลับเป็นเรื่องแปลก มีคนมาหาคุณหนู แล้วทำไมต้องปิดล้อม…?
ปกติคนที่มาหาคุณหนูมีแต่ผู้หญิง อย่างคุณหนูรองสกุลเฉิน ก็เข้าทางประตูข้าง เอ่ยคำทักทายบ่าว แล้วเดินตรงมาที่เรือนฝูหยิงเลย ส่วนคนที่เข้าทางประตูใหญ่นั้น กลับมีน้อยมาก
เมี่ยวเอ๋อร์จึงมองนิ่ง “เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จมาหรือไง ถึงได้ตกอกตกใจขนาดนี้ ตกลงเป็นใครกันแน่”
ทีแรกเมี่ยวเอ๋อร์นึกว่า บ่าวชราผู้นี้หน้าแดงเพราะรีบวิ่งมาบอก ไม่คาดคิดว่า พอได้ยินคำถามตน บ่าวชรากลับหน้าแดงหนักเข้าไปอีก พูดละล่ำละลักอยู่ครึ่งค่อนวันก็ฟังไม่รู้เรื่อง คล้ายเป็นเรื่องที่คลุมเครือ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก