เมี่ยวเอ๋อร์เห็นบ่าวชราพูดจาตะกุกตะกัก ก็ยิ่งสงสัยว่าคนแบบไหนกันที่มาหา จนทำให้พูดไม่ออก ผีหลอกแล้ว!
ผ่านไปสักพัก บ่าวชราจึงเปิดปากพูดพลางหน้าแดง
“เป็นสาววัยรุ่นสามคน บอกว่าเป็นคนของเรือสำราญว่านชุน คนที่เป็นหัวโจกชื่อหานเจียว แต่ละคนดุๆ ทั้งนั้น บอกว่าต้องการพบคุณหนูใหญ่ท่าเดียว พอข้าได้ยินว่าเป็น…โสเภณี ก็สะดุ้ง เลยไม่ให้พวกนางเข้ามา แต่แม่นางทั้งสามดุมาก คนหนึ่งใช้เท้าถีบประตูทันที ดีที่ผู้คุ้มกันรุดมาก่อน ทว่าทั้งสามก็ยังก่อกวนอยู่หน้าประตู ไม่ยอมไป บอกว่าอย่างไรวันนี้ ต้องพบคุณหนูใหญ่ให้ได้…”
“อะไรนะ? โสเภณี?” เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าอุทานขึ้นพร้อมกัน
แม้หลายวันมานี้ ทั้งสองเจอหงเยียนบ่อย ฝ่าฝืนข้อห้ามในการคบสาวจากหอนางโลมไปบ้าง แต่ก็เจอกันเป็นการส่วนตัว และการพบเจอกับหงเยียนก็มิได้เป็นเช่นนี้ ผู้มาในวันนี้เป็นนางโลมแปลกหน้าที่มาหาคุณหนูใหญ่ด้วยการเอะอะโวยวายที่หน้าประตูกลางวันแสกๆ พฤติกรรมต่างกันลิบ
เมี่ยวเอ๋อร์จึงตะคอกกลับ “พวกนางมาหาคุณหนูใหญ่ทำไม! โรคจิตหรือเปล่า ที่นี่จวนขุนนาง ไม่ใช่สถานบันเทิง ไม่ต้องพูดแล้ว จับโยนออกไปให้หมด หรือไม่ก็ส่งไปที่ว่าการอำเภอ แต่อย่าให้ใครรู้นะ มีอย่างที่ไหน!”
“แม่นางเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าก็ด่าว่าพวกนางไปแบบนี้ล่ะ แต่…แต่หานเจียวนั่นบอกว่าอะไรนะ ใบหน้านางถูกคุณหนูใหญ่ทำพังหมด…วันนี้จึงอยากมาฟังคำอธิบาย อย่าว่าแต่จวนขุนนางเราเลย ต่อให้เป็นปราสาทราชวัง พวกนางก็จะปักหลักรอ ไม่ยอมไปไหน!” บ่าวชราพูดอย่างขมขื่นใจ
ม่านถูกเลิกขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกมา ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง “เชิญแม่นางทั้งสามเข้ามา”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่” พอได้ยิน ชูซย่าก็รีบก้าวตามออกมาขวาง “พวกนางเป็นผู้หญิงจากหอโคมเขียว ให้เข้ามาหากลางวันแสกๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่คนนอกรู้เลย คุณหนูใหญ่เองก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย และถ้านายท่านรู้เข้า ต้องตำหนิแน่!”
นางโลมเหล่านี้ใจกล้าและไม่กลัวขายหน้าอยู่แล้ว ถ้าวันนี้ไล่ไป พรุ่งนี้ก็ต้องมาอีก และถ้าตนออกไปหน้าประตู ก็ยิ่งแล้วใหญ่ สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นเฉยชา พลางว่า
“คนเขาก็บอกแล้วว่า ถ้าไม่ได้พบข้า จะปักหลักรอไม่ไปไหน พวกเจ้ามิใช่กลัวว่าพวกนางจะร้องแรกแหกกระเชออยู่หน้าบ้านจนผู้คนได้ยินกันหมดรึ! เชิญพวกนางเข้ามานี่ล่ะ ถึงจะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด”
บ่าวชราจึงไม่รอช้า รีบหันกาย วิ่งไปเชิญคนเข้ามา
เมี่ยวเอ๋อร์ย่ำเท้า “คุณหนูใหญ่อยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยล่วงเกินอะไรใคร แล้วจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ได้อย่างไร ใครกันแน่ที่คิดให้ร้ายคุณหนูใหญ่! ข้าจะฆ่ามันให้ตาย ต่ำช้าเกินไปแล้ว ไปหานางโลมกลุ่มหนึ่งมาเคาะประตูบ้าน ทำให้คนนอกที่ไม่รู้ นึกว่าคุณหนูใหญ่ไปมาหาสู่กับพวกนาง นี่มันทำลายชื่อเสียงกันเห็นๆ! มีอย่างที่ไหน! บ้าตายชัก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว กะพริบขนตา พอชูซย่าเห็น ก็นึกได้ จึงหน้าเปลี่ยนสี
“หรือจะเป็นคุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอวี้ บ่าวว่าแล้ว คุณหนูอวี้นั่นถูกคุณหนูใหญ่บีบให้ยอมจำนน ถึงไม่ยอมรามือ สูงส่งขนาดนั้นน่ะ วันนั้น…จู่ๆ ลวี่สุ่ยมาเอายาสระผมกับครีมทาหน้าไปหลายกระปุกนั่น หรือว่า…”
แปดถึงเก้าในสิบส่วน
เกรงว่าเป็นการกลั่นแกล้งของอวี้โหรวจวง นางหาทางส่งครีมทาหน้าที่ตนทำ ไปให้สาวๆ บนเรือสำราญใช้ แล้วปล่อยข่าวว่า เป็นเครื่องสำอางที่คุณหนูจวนรองเจ้ากรมทำเองกับมือ โดยไม่รู้ว่าใส่อะไรเพิ่มเติมลงไปในครีม ถึงทำให้ผิวหน้าของสาวๆ มีปัญหา ซึ่งพวกนางต้องมาเอาเรื่องกับอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างแน่นอน ด้วยหญิงสาวในหอโคมเขียวขายใบหน้ากิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใบหน้าสำคัญกับพวกนางขนาดไหน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกนางไม่ยอมจากไป
ขณะครุ่นคิด สามสาวก็ก้าวอาดๆ เข้ามาโดยมีผู้คุ้มกันขนาบข้าง แต่ปากแดงๆ ทั้งสามก็ยังก่นด่าไม่หยุด ขนาดบ่าวข้างกายก็ยังปรามไม่อยู่
พอก้าวเข้าประตูวงเดือน เดินเข้ามาในเรือนฝูหยิง หัวโจกอย่างหานเจียวค่อยหยุดด่า แล้วเงยหน้าขึ้น เห็นบนชานเรือนมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยยืนอยู่คนหนึ่ง อายุไม่เกินสิบสี่สิบห้า มวยผมเป็นห่วงย้อยแบบเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน บนศีรษะประดับดอกชบาเล็กๆ สองดอกติดกัน ข้างหูปล่อยผมยาวลงมามัดหนึ่งถักเป็นเปียหลวมๆ สวมชุดกระโปรงยาวหกจีบ ช่วงบนสวมเสื้อกั๊กผ้าแคชเมียร์สีเงินปักลายดอกไม้ กำลังใช้ดวงตาสวยใสจ้องมองมาอย่างเฉยชา
หานเจียวกับสองสาวรุ่นน้อง จื่อเหิน กับเหมยเซียน ที่ตั้งใจมาช่วยกันเอาเรื่อง ล้วนคิดไม่ถึงว่า คนทำครีมทาหน้าจะเด็กขนาดนี้ จึงยืนอึ้งไปสักพัก ความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอกลดลงกว่าครึ่ง แต่ไม่นาน หานเจียวก็เรียกสติกลับคืน ปลายคิ้วดั่งต้นหลิวตั้ง ก้าวไปข้างหน้า แล้วว่า
“เจ้าคือคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นสินะ บ่าวในบ้านเจ้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าเรามาหาเจ้าด้วยเรื่องอะไร?!”
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นสามสาวแสดงท่าทียียวนกวนบาทาไม่เบา อยากกระโดดเข้าไปตบมาก จึงก้าวออกมาด้านหน้า แล้วตวาด
“พูดกันดีๆ ก็ได้ คุณหนูเราหูดีตาดี ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดนี้หรอก!”
จื่อเหินความรู้สึกไวสุด คิดว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดดูถูกพวกตน จึงถกแขนเสื้อ พลางฮึดฮัด
“ทำไม ในเมื่อทำให้โฉมหน้าพี่หานเจียวของเรากลายเป็นแบบนี้ มันจะต่างอะไรกับทุบชามข้าวพี่เรา แล้วยังไม่กล้าให้เราเข้าใกล้อีก! กินปูนร้อนท้องหรือไง…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ทั้งสามก็ได้ยินเสียงลอยมาจากชานเรือน
เสียงของเด็กสาวนิ่งและมีพลังอย่างหนึ่ง แม้ไม่สูง แต่ก็ทำให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ลง
“แม่นางทั้งสาม ถ้าข้ากินปูนร้อนท้อง จะบอกให้คนในบ้านปล่อยพวกท่านให้เข้ามาทำไม แล้วยังบอกให้พามาที่เรือนข้าโดยเฉพาะอีก ก็เพราะอยากจะแก้ไขปัญหา แต่ถ้ายังไม่ทันได้พูดจา พวกท่านก็เอะอะโวยวายเหมือนตอนอยู่ด้านนอกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องคุยกันอีก เด็กๆ…”
“ช้าก่อน” หานเจียวเหลือบมองจื่อเหิน แล้วจึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางว่า
“น้องสาวข้าวู่วามไปหน่อย ขอคุณหนูอวิ๋นอย่าได้ถือสา พวกเขาเพียงเห็นว่า เพราะครีมของคุณหนูอวิ๋น หน้าข้าถึงได้เป็นเช่นนี้ แต่เราสามคนก็ร้อนใจเช่นเดียวกัน วันนี้ถึงได้มาขอคำอธิบายจากคุณหนูอวิ๋น!”
ตอนคนทั้งสามก้าวเข้ามานั้น อวิ๋นหว่านชิ่นได้สำรวจมองหานเจียวเงียบๆ แล้ว
แก้มของนางไล่ลงมาจนถึงบริเวณกรามล่าง มีรอยแดงอยู่ปื้นใหญ่ ในนั้นมีผื่นที่นูนออกมาและเป็นหนองอยู่หลายเม็ด ร่วมกับรอยขีดข่วนเลือดไหลซิบๆ อยู่หลายรอย ดูแล้ว ไม่น่ามองจริงๆ
นี่คืออาการแพ้ที่พบบ่อยสุด
ซึ่งเดิมทีในแผ่นดินต้าเซวียน ไม่ว่าจะในตำราหมอหรือตำราสูตรลับสมุนไพรเพื่อความงาม ล้วนไม่มีคำว่า “ภูมิแพ้” แต่ที่อวิ๋นหว่านชิ่นรู้เพราะอ่านจากตำราเวชสำอางของดินแดนตะวันตกที่นำเข้ามาทางเรือ
โดยสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ร่างกายไม่สบายและมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างผิดปกติ เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งถ้าร่างกายเราสัมผัสถูกสิ่งเหล่านี้ ก็จะเกิดอาการแตกต่างกัน ในหนังสือบอกว่า สารก่อภูมิแพ้มีเป็นร้อยเป็นพัน มากมายหลายชนิด และผลจากอาการแพ้ที่รุนแรงมากสุด ถึงขั้นเสียชีวิตก็มี
ดูไปแล้ว อาการแพ้ของหานเจียวในข้างต้นไม่ถือว่ารุนแรงมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะคันจนทนไม่ไหว ถึงได้ใช้มือเกา จนอักเสบและบวมไม่หยุด และมีสภาพอย่างที่เห็น
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดอย่างสงบนิ่ง “ขอละลาบละล้วงถามหน่อย ครีมซึ่งแม่นางหานเจียวบอกว่าข้าเป็นคนทำนั้น นำมาจากไหน”
“เครื่องสำอางที่เราใช้กัน ปกติแล้วจะให้เด็กรับใช้ในเรือสำราญไปซื้อทุกๆ สิ้นเดือน แล้วนำมาแจกจ่ายให้ถ้วนทั่ว แต่เนื่องจากเด็กรับใช้กับข้าสนิทกัน ข้าจึงมักบอกให้เขาช่วยเก็บของที่ดีหน่อยไว้ให้ข้าโดยเฉพาะ! หลายวันก่อนตอนแจกจ่ายเครื่องสำอาง เด็กรับใช้ก็นำครีมกระปุกหนึ่งมาให้ โดยบอกแค่ว่าเป็นเครื่องสำอางสูตรลับเฉพาะของคุณหนูบ้านรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ซึ่งตอนนี้ กำลังเป็นที่นิยมของเหล่าคุณหนูในเมือง พอข้าได้ยินก็ดีใจมาก นำไปใช้ทันที ใครจะรู้ว่า วันถัดมาจะกลายเป็นแบบนี้! ผ่านไปอีกสองวันก็ยังไม่หาย อย่าว่าแต่ไม่มีหน้าไปรับแขกเลย แม้แต่มาม่าซังก็ยังด่าข้าแทบเป็นแทบตาย! ไม่รู้ล่ะ ข้าหาใครไม่ได้แล้ว ถึงได้แต่มาขอคำอธิบายจากคุณหนูอวิ๋นนี่!”
ว่าแล้วหานเจียวก็โมโห ล้วงกระปุกผ้าแพรทรงกลมลายกิ่งไม้เกี่ยวกระหวัดใบเล็กออกมา แล้วทิ้งลงบนพื้น กระปุกกลิ้งเป็นวงกลมอยู่สองรอบ ค่อยหยุดลง
“นี่มันตลกมากจริงๆ ไม่มีใครบังคับให้เจ้าใช้สักหน่อย! อย่าว่าแต่ของชิ้นนี้คุณหนูเราก็มิได้เป็นคนให้เจ้า หรือต่อให้ใช่ ใครจะไปรู้ว่า อาจเป็นคนที่เจ้าไปล่วงเกินไว้ก็เป็นได้ เขาคิดทำร้ายเจ้า ก็เลยใส่ยาพิษลงไปในครีม เจ้าจะมาหาแต่คนที่ทำครีมไม่ได้หรอก!” เมี่ยวเอ๋อร์โมโหแล้ว
จื่อเหินยิ้มเย็นชา “เจ้านึกว่าเราโง่กว่าเจ้าหรือไง พอใบหน้าของพี่หานเจียวมีปัญหา เราก็รีบนำครีมนี่ไปป้อนให้นกที่บ้านกิน แต่นกกลับไม่เป็นไรเลยสักนิด แล้วเรายังเอาไปให้หมอที่คุ้นเคยดูอีก หมอก็ตรวจดูแล้ว บอกว่าครีมนี่ไม่มีพิษ แบบนี้ ก็ต้องเป็นคุณภาพของครีมนี่ล่ะที่มีปัญหา! ข้าว่านะ ถ้าไม่เก่งจริง ก็อย่าฝืนทำออกมาขายเลย ทำของแบบนี้ออกมาน่ะ ทำร้ายคนดีๆ นี่เอง!”
เมี่ยวเอ๋อร์คิดจะโต้กลับอีก แต่พอชูซย่าเห็นท่าทางของอวิ๋นหว่านชิ่น ก็รีบดึงนางไว้ แล้วลากกลับไป