ตอนที่ 65 ชื่อจริงกับชื่อเล่น

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 65 ชื่อจริงกับชื่อเล่น

ในความเป็นจริงจี้เจี้ยนอวิ๋นได้คิดเอาไว้ในใจหลายชื่อแล้ว ลูกของเขากำลังจะคลอด เขาจะคิดชื่อลูกไม่ออกได้อย่างไร? นี่คือลูกคนแรกของเขาเลยนะ

แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็คิดว่าชื่อที่เขาจะตั้งนั้นฟังดูเชยเกินไป เพราะเขาต้องการจะตั้งชื่อลูกชายว่าเทียนฉี…จี้เทียนฉี

นี่คือบุตรชายที่เทพเจ้าประทานให้ เขาจึงคิดว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี แต่ในเมื่อภรรยาของเขาคิดชื่อไว้แล้วเหมือนกัน ดังนั้นก็ลองฟังชื่อที่ภรรยาตั้งก่อน

“ให้ชื่อจริงว่าจี้เหริงแล้วกันค่ะ” ซูตานหงยิ้มและพูดออกมา

“จี้เหรินเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “เหรินซื่อห่าว เหรินสือ เหรินอ้าย”

ซูตานหงพลันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ใช่เหรินค่ะ เป็นเหริง”

จากนั้นเธอก็เขียนอักษรลงบนฝ่ามือของเขา “เหริงที่มาจากตัวอักษรฝู ฝูที่แปลว่าโชคดี ชื่อลูกชายของเราจึงเป็นจี้เหริงค่ะ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นชะงักไป ก่อนหัวเราะออกมาในทันทีและเอ่ยขึ้น “ตกลง เราจะเรียกเขาว่าจี้เหริง แล้วชื่อเล่นล่ะครับ?”

“ให้ชื่อเล่นว่าเหรินเหรินแล้วกันค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

“มันจะไม่ฟังดูหน่อมแน้มไปหน่อยเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

แม้เขาจะรักลูกชายเหมือนกัน แต่ให้ชื่อเล่นว่าเหรินเหรินแล้ว มันก็ฟังดูไม่ค่อยจะสมชายเท่าไรนัก

“ชื่อเล่นนี้เรียกแค่ตอนเด็กเฉย ๆ ค่ะ พอเขาโตแล้วก็ค่อยเรียกชื่อจริง ไม่เกี่ยวว่าจะหน่อมแน้มหรือไม่หน่อมแน้มเลย” ซูตานหงกล่าวสรุป

เธอไม่ยอมรับนิสัยตั้งชื่อลูกแปลก ๆ อย่างเด็ดขาด แม้จะกล่าวกันว่าการตั้งชื่อแปลก ๆ จะทำให้เด็กแข็งแรงเลี้ยงง่าย* อย่างเช่นชื่ออย่าง โหวหวาจือ(ลูกลิงน้อย) ต้ายา เอ้อร์ยา อะไรทำนองนี้ เธอจะไม่ยอมให้ลูกชายหรือลูกสาวมีชื่อแบบนั้นแน่นอน

*อาจมาจากความเชื่อว่าถ้าตั้งชื่อแปลก ๆ ให้เด็กแล้วผีจะไม่มารังควาญให้เด็กเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต ทำนองเดียวกับการทักทารกว่าหน้าตาน่าเกลียดน่าชังเพื่อเป็นการหลอกผีไม่ให้ผีมาเอาตัวไป เพราะสมัยนั้นอัตราการรอดชีวิตของทารกค่อนข้างต่ำ

ดังนั้นชื่อจริงจึงเป็นจี้เหริง และมีชื่อเล่นว่าเหรินเหริน

วันต่อ ๆ มาเป็นการเริ่มต้นอยู่ไฟหลังคลอดของซูตานหง

ในชาติที่แล้วตอนที่มารดาของเธอเชิญท่านหมอหญิงมาสอนวิชาด้านสูตินรีเวชในจวน เธอก็ได้รับรู้ในศาสตร์การอยู่ไฟหลังคลอดด้วย ซึ่งการอยู่ไฟหลังคลอดนั้นไม่ง่ายและไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย

โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกที่มดลูกยังไม่เข้าอู่ อาหารการกินต่าง ๆ จึงต้องเป็นอาหารเบา ๆ และเพราะเป็นการมีลูกคนแรกนี่เอง น้ำนมในวันแรก ๆ จึงไหลออกมาไม่มากนัก ทำให้เหรินเหรินกินได้ไม่เต็มอิ่ม จนกระทั่งถึงวันที่ 3 แล้วเขาถึงจะได้ดื่มกินเต็มที่

การมีน้ำพุวิเศษทำให้ร่างกายของซูตานหงฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็วมาก และทำให้มดลูกเข้าอู่ภายใน 3 วัน อีกทั้งน้ำนมก็ไหลออกมามากด้วย เมื่อคุณแม่จี้เห็นดังนั้นแล้วจึงเริ่มตุ๋นไก่ให้กิน

แม้จะไม่ได้ใส่เกลือลงไป แต่น้ำแกงไก่ตุ๋นนี้ก็มีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก และเหรินเหรินเองก็กินจุไม่ใช่น้อยจนต้องให้นมกับเขาบ่อยครั้ง ดังนั้นต่อให้ซูตานหงจะกลัวอ้วน เธอก็ต้องบีบจมูกและฝืนกล้ำกลืนกินน้ำแกงเข้าไป

เป็นเพราะได้คุณแม่จี้มาดูแลอย่างใกล้ชิด ซูตานหงจึงมีน้ำนมมากพอให้ลูกกินเป็นพิเศษ

เรื่องที่ซูตานหงให้กำเนิดเด็กชายตัวอ้วนใหญ่เป็นที่รับรู้ไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานต่างก็มาดูเช่นกัน

โดยเฉพาะเฝิงฟางฟางที่เคยบอกว่าหล่อนจะมาอยู่ดูแลในช่วงอยู่ไฟหลังคลอดด้วย ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่จี้ก็ไม่ขัด ส่วนจี้มู่ตานนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่คุณแม่จี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรหล่อนเช่นกัน หล่อนจะมาหรือไม่มาก็เป็นเรื่องของหล่อน ซึ่งนางจะไม่บังคับ

เฝิงฟางฟางมาช่วยทำอาหารให้กินเป็นบางวัน จนโหวหวาจือกล่าวว่าถ้าได้มากินข้าวบ้านคุณอาสามทุกวันก็น่าจะดี

ที่บ้านคุณอาสามมีเนื้อให้กินทุกวัน ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับที่บ้านของเขา ที่ขอแค่มีเนื้อกินสักมื้อในหนึ่งสัปดาห์ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

ไม่ได้มีแค่โหวหวาจือที่คิดเช่นนี้ จี้เจี้ยนกั๋วก็ให้ท้ายเฝิงฟางฟางมาช่วยงานทางนี้ด้วย

หากว่าหล่อนจะสามารถนำอาหารจานเนื้อกับอาหารจานผักกลับมาได้อย่างละครึ่ง ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารสชาติจะโอชะขนาดไหน

หลังจากจี้มู่ตานรู้เรื่องนี้ หล่อนก็เข้ามาถามเฝิงฟางฟาง “พี่สะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไปคะ? ทำไมต้องไปช่วยดูแลหลังคลอดให้หล่อนด้วย? หล่อนกลายเป็นคุณนายไปแล้วหรืออย่างไรคะ?”

ตอนที่หล่อนคลอดบุตรนั้นหล่อนเพียงแต่ต้องพึ่งพาตัวเอง แม่สามีแค่นำไข่ตะกร้าหนึ่งกับแม่ไก่ 2 ตัวมาให้ ซึ่งทั้งหมดก็มีเท่านี้

เฝิงฟางฟางไม่สนใจหล่อนแม้แต่น้อย ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่าเป็นเรื่องดีกว่าหากได้ใกล้ชิดกับซูตานหง เพราะทั้งหล่อนกับซูตานหงต่างคลอดลูกชายเหมือนกัน ขณะที่จี้มู่ตานมีแต่ลูกสาว 2 คน แม้ลูกสาวทั้งสองจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ในชนบทแห่งนี้ก็ถือว่ายังด้อยกว่าลูกชายนัก

เฝิงฟางฟางจึงคิดว่าตนควรคุยกับซูตานหงดีกว่า หล่อนไม่มีอะไรต้องพูดกับจี้มู่ตานแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังระแวงว่าจี้มู่ตานจะแย่งงานนี้ไป ถ้าดูแลซูตานหง 1 เดือนก็หมายความว่าจะได้กินเนื้อทุกวัน แล้วโหวหวาจือก็จะได้กินไข่ลวกยางมะตูมทุกมื้อ ดังนั้นหล่อนต้องรับหน้าที่ดูแลนี้ไว้!

หลังตอบจี้มู่ตานไป 2-3 คำ เฝิงฟางฟางก็ทำงานของตนเองต่อ หล่อนหยิบผ้าอ้อมจากในเครื่องซักผ้าออกมาตาก ซึ่งสภาพของพวกมันล้วนชื้นหมาด ๆ ตากไม่นานนักก็แห้ง

จี้มู่ตานแค่นเสียงอย่างโกรธเคืองแล้วก็กลับไป

เฝิงฟางฟางเหลือบมองแผ่นหลังของหล่อนแล้วก็เบ้ปาก ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย

หล่อนสาบานไว้ในใจแล้วว่าในภายหน้าจะอยู่ห่าง ๆ จากจี้มู่ตาน

หลังตากผ้าอ้อมเสร็จแล้ว หล่อนก็ยกน้ำแกงขาหมูตุ๋นเข้ามา น้ำแกงข้นคลั่กนั้นล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด

ซูตานหงตักขาหมูออกมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขาหมูนี่ควรให้โหวหวาจือได้กินนะคะ เขาชอบกินมาก ครั้งที่แล้วที่มาหาฉันก็กินเข้าไปสองขา”

“เด็กคนนั้นก็แค่เด็กตะกละกินไม่เลือกคนหนึ่ง ตานหง อย่าไปสนใจเขาเลยจ้ะ เธอกินไปเถอะ เธอยังต้องให้นมลูกอยู่นะ” เฝิงฟางฟางเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“ฉันกินน้ำแกงเข้าไปทุกวัน แต่ยังมีน้ำนมไม่พออีกเหรอคะ? นมผงที่เจี้ยนอวิ๋นซื้อมากลายเป็นของเปล่าประโยชน์เสียแล้ว” ซูตานหงยิ้ม

เฝิงฟางฟางพยักหน้า “ตอนนี้เธอนั่งอยู่ไฟหลังคลอดอยู่ เลือกอะไรไม่ได้หรอกจ้ะ ตอนที่พี่นั่งอยู่ไฟหลังคลอด พี่ไม่มีโอกาสเหมือนอย่างเธอหรอก พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ไม่ได้มีทักษะปักผ้าเหมือนอย่างเธอด้วยซ้ำ”

คำพูดของหล่อนเปิดเผยและจริงใจ แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน

ทำไมซูตานหงถึงมีชีวิตน้อย ๆ ที่ดีในตอนนี้น่ะหรือ? ก็เพราะว่าเธอสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ ต่อให้เป็นชายหนุ่มบางคนออกไปทำงาน พวกเขายังหาเงินได้ไม่เท่าเธอคนเดียวเสียด้วยซ้ำ

ไม่ว่าเธอจะมีความสามารถแบบไหน หรือว่าเธอจะกินอะไรนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอิจฉาเลย

ยิ่งกว่านั้นเฝิงฟางฟางยังไม่ว่าอะไรเมื่อเห็นคุณแม่จี้ที่มาดูแลการอยู่ไฟหลังคลอดให้ซูตานหงบ่อย ๆ เพราะในปีที่แล้วซูตานหงกระทำความดีต่อผู้เฒ่าทั้งสองอย่างไม่อาจลืมได้ แม้หล่อนจะไม่พูดอะไรแต่หล่อนก็ได้เห็นกับตา การกระทำอันน่าเคารพแบบนี้จะไม่ทำให้คุณแม่จี้มาช่วยดูแลเธอตอนอยู่ไฟหลังคลอดได้อย่างไร?

ใครจะกล้าพูดคำว่าไม่กับสะใภ้สามกันล่ะ? ไม่อย่างนั้นคุณแม่จี้ได้จัดการสั่งสอนอย่างแน่นอน เพียงเอ่ยแค่ประโยคเดียวก็หยุดพวกหล่อนได้สนิทแล้ว มีใครบ้างล่ะที่อยู่ฝั่งตานหง? มีใครบ้าง?

ตอนนี้หล่อนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าบ้านรองอยากให้บ้านสามเป็นคนดูแลคนชราทั้งสอง ซึ่งนั่นนับว่าดีกว่า เดิมทีเฝิงฟางฟางที่อยู่ในฐานะสะใภ้ใหญ่คิดจะดูแลสองคนชราในบ้านครอบครัวใหญ่ของพวกเขาเอง แต่ในเมื่อบ้านรองมีเจตนาเช่นนี้แล้ว เฝิงฟางฟางก็มีความสุขที่จะเป็นฝ่ายเสนอตัวช้ากว่า

ได้ยินคำพูดของหล่อนแล้ว ซูตานหงทำเพียงยิ้มและไม่เอ่ยอะไร หลังดื่มน้ำแกงขาหมูตุ๋นเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่าหน้าอกของเธอเริ่มคัด

ผลที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเห็นได้ชัดขนาดนี้

หลังอุ้มเหรินเหรินขึ้นมาแล้ว ก็ได้เวลากินของเหรินเหรินพอดี เขาจึงดื่มกินในส่วนของเขา

หลายวันที่ผ่านมานี้เด็กชายตัวน้อยทั้งดูขาวและบอบบาง บวกกับเสื้อผ้าที่ซูตานหงให้เขาใส่แล้ว เขาก็ดูราวกับเด็กทารกในปฏิทินปีใหม่ ช่างหายากยิ่งนัก

ต่อให้เฝิงฟางฟางจะให้กำเนิดลูกชายเหมือนกัน หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “วิธีเลี้ยงเหรินเหรินของเธอช่างดีจริง ๆ!”

พูดไม่ทันขาดคำ ซูตานหงก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่กระทบอ้อมแขน จากนั้นก็ทำสีหน้าจนใจเมื่อเห็นว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้ปัสสาวะอีกแล้ว

“แม่บอกตั้งนานแล้วว่าเวลาจะฉี่ก็ให้บอกกันก่อน ทำไมทุกครั้งถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ อยากเรียกร้องความสนใจงั้นเหรอ?” ซูตานหงเอ่ยกับลูกชาย

เด็กชายไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากจะกินนม หลังกินเสร็จ เฝิงฟางฟางก็มาเปลี่ยนผ้าอ้อม พอเขากินอิ่มแล้วเขาก็นอนหลับไป

………………………………………