บทที่ 47

ไม่ว่าหัวหน้ากองของกองพันทหารที่ 2 จะยอมรับความคิดของถังหยินหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครอยากจะต้องโทษหนีทัพอยู่แล้ว ดังนั้นแล้วการฝึกทหารจึงเป็นไปอย่างโหดร้ายไร้ปรานี

ในตอนเช้ามีการฝึกพละกำลังและทักษะการต่อสู้ ในตอนเที่ยงก็ต้องฝึกการขี่ม้าและยิงธนู แถมตอนเย็นก็ต้องมาฝึกแปรรูปขบวนอีก

เพียง 3 วัน ราว ๆ 4 ใน 10 ของทหารหน้าใหม่ก็ได้หนีทัพไปกันหมด มีเหลือแค่เพียง 6 พันนายเท่านั้นที่ยังอยู่ ในเมื่อคนพวกนั้นไม่สามารถฝึกได้ ถ้างั้นพวกเขาก็จะไม่ยื้อคนพวกนั้นเอาไว้ ยังไงเสียก็มีแต่ผู้ที่อดทนผ่านมันไปได้เท่านั้นที่จะเหมาะกับกองพันทหารราบที่ 2 ของถังหยิน !

เมื่อทราบเรื่องจำนวนทหารที่เหลืออยู่ ชายหนุ่มจึงไปหาอู่เหมยและขอทหารเพิ่มเติม ซึ่งมันก็เป็นไปได้ด้วยดี

หลังจากนำทหารเพิ่มเข้ามาใหม่ เวลา 3 วันก็ได้ผ่านไปอีกครั้ง คราวนี้มีทหารเหลือเพียงแค่ 2 พันนายเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ถังหยินต้องกลับไปขอทหารเพิ่มอีกรอบ หากแต่คราวนี้อู่เหมยเองก็เริ่มสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงต้องการทหารมากมายขนาดนี้กัน ?

อย่างไรก็ตาม นางนั้นเข้าใจความต้องการของถังหยินดี และเลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไป หญิงสาวทำเพียงจัดส่งทหารไปให้อีกครั้ง แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถังหยินก็มาอีกครั้งพร้อมกับร้องขอทหารเพิ่มอีก 8 พันนาย

เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เสียจนกระทั่งอู่เหมยแทบจะเป็นบ้า แต่ตราบใดที่เขายังมาหา นางก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม

สถานการณ์เป็นไปแบบนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งเดือน

ถังหยินเริ่มพึงพอใจกับผลที่ออกมาในครึ่งเดือนนี้ เขาใช้เวลาทั้งวันในการดูแลเหล่าทหารหน้าใหม่ แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็จดจำทุกรายละเอียดได้เป็นอย่างดี

ในเย็นวันนั้น เขาได้เรียกหัวหน้ากองทั้ง 10 เข้ามาพบเพื่อบอกว่าเขาภูมิใจกับสิ่งที่คนเหล่านี้ทำไว้ ก่อนจะบอกให้พวกเขาร้องขอสิ่งใดก็ได้

“ในสมรภูมิความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ กองทหารของเราเป็นทหารราบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ยาวไกลหรือการซุ่มโจมตี พวกเราก็ต้องพึ่งกำลังจาก 2 ขาเป็นหลัก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพละกำลังถึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นแล้วการฝึกพละกำลังในช่วงเช้าถึงได้เหนื่อยอ่อนกันแบบนี้” เขามองไปทางชิวเจิ้น “ข้าเห็นว่ามีภูเขาทางทิศเหนือด้วย มันเรียกว่าอะไร?”

“ภูเขาห้าตะวัน มันอยู่ห่างจากค่ายเราไป 30 ลี้”

“นั่นแหละ!” ถังหยินพยักหน้า “ในอนาคต พวกเราจะต้องฝึกให้พวกทหารวิ่งขึ้นเขา ทั้งยังต้องให้พวกเขากลับมาให้ทันภายในครึ่งชั่วยาม นอกจากนี้ยังต้องใส่ชุดเกราะและพกพาอาวุธไปด้วยระหว่างวิ่งเพื่อความสมจริง ! ”

“หา!” หัวหน้ากองทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะกระอักเลือดออกมา การวิ่งขึ้นลงภูเขาให้ทันภายในครึ่งชั่วยามว่ายากแล้ว นี่ยังต้องมาใส่ชุดเกราะแบกอาวุธกันอีกเหรอแบบนี้อย่าว่าแต่พวกหน้าใหม่เลย พวกผู้ฝึกยุทธ์เองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

“มันออกจะเกินไปหน่อยหรือเปล่าท่านแม่ทัพ” ทั้งสองแทบจะไม่กล้าพูด พวกเขามองหน้าชิวเจิ้นที่สนิทกับถังหยินมากที่สุดเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยพูด ซึ่งเด็กหนุ่มก็เข้าใจถึงท่าทีดังกล่าว เขาจึงก้มลงไป ทำท่าจะบอกบางอย่างกับถังหยิน

ทว่าถังหยินชิงกล่าวขึ้นมาก่อน “ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี ใครก็ตามที่ทำได้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่” เขาหยุดเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าหากอยากให้กองพันที่ 2 กลายเป็นกองพันที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นเฟิง การที่พวกเจ้านั่งอยู่บ้านวัน ๆ มันจะทำให้ความต้องการดั่งกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้หรือ ?”

ระหว่างที่พูดเขาก็ลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ “ยามเมื่อคนลุกขึ้นสู้มันก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไป พวกเขาต้องมีความพยายาม สหายทั้งหลาย ข้าหวังว่ากองพันของเราจะเป็นกองพันที่สุดยอดที่สุดในแคว้นเฟิง หรือแม้แต่ทั้งจักรวรรดินี้ ในเมื่อพวกเราเลือกที่จะเข้ากองทัพเพื่อถวายชีวิตแล้ว ถ้าหากพวกเราไม่มีแรงใจจะสู้ แล้วแบบนี้จะเข้าร่วมกองทัพไปทำไมกันเล่า ? ”

ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็เริ่มมองหน้ากันและกัน ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงแล้วพูดด้วยเสียงอันดังก้องออกมาว่า “พวกเราจะทำให้ดีที่สุด!”

ในตอนแรก พวก 4 ทหารผ่านศึกอาจมองถังหยินต่ำไปบ้าง แต่เมื่อผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน พวกเขาก็เริ่มเข้าใจในตัวถังหยิน อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนที่จะมากิน นอน และรอความตายในกองทัพ

“เยี่ยมมาก!” ถังหยินมองไปรอบ ๆ “ตราบเท่าที่พวกเราพยายามทำให้ดีที่สุด ต่อให้เราทำได้แย่แค่ไหน มันก็คุ้มค่า อย่างน้อยเราก็ได้เอาชนะความรู้สึกของตัวเอง ! ”

“ขอรับท่านแม่ทัพถัง!”

“พวกเจ้าพยายามอย่างหนักตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา พรุ่งนี้ก็จงไปพักผ่อนให้เต็มที่เสียเถอะ!”

นี่เป็นข่าวดีสำหรับทุกคน หลังจากการฝึกผ่านมาได้ครึ่งเดือน พวกทหารหน้าใหม่ต่างก็เหนื่อยล้ากันอย่างมาก การที่ได้วันพักผ่อนแบบนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ทำให้พวกเขามีบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเยอะทีเดียว

“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนกลับไปได้”

“ข้าน้อยขอตัวลา!”

ทุกคนพากันกลับบ้านไปด้วยความดีใจ หากแต่ชิวเจิ้น กลับไม่ได้ไปไหน เขาหันมองถังหยินด้วยสายตาประหลาดใจ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ามองอะไร? หน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ?”

“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกว่าทุกคนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เจ้าดีกว่าที่ข้าคิดไว้อีกนะเนี่ย” ชิวเจิ้นพูดความจริง

ถังหยินประหลาดใจ “นี่เจ้ากำลังชื่นชมข้าอยู่งั้นหรือ?”

“แน่นอน”

“แล้วข้าต้องทำบ้างหรือเปล่า?” ถังหยินมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “เจ้า… รองแม่ทัพ ดูเหมือนว่าเจ้าจะวางตัวดีนี่นา!”

ชิวเจิ้นที่ได้ยินแบบนี้ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขาโดนหลอก “ใช่ที่ไหนกันเล่า ? ข้ามีเรื่องต้องทำอีกเยอะแยะ คงต้องขอตัวลาก่อนละสหายถัง”

“หยุดเลย!” ถังหยินกลอกตา “ข้ามีเรื่องให้เจ้ารับไปดูแล ปัญหาทหารหนีทัพนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงแรกของการฝึก ถึงแม้ข้าจะเตรียมใจและคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ข้าก็คงไม่อาจแบกหน้าไปร้องขอทหารใหม่จากอู่เหมยได้อีก ดังนั้นข้าจึงขอส่งเรื่องการขอทหารใหม่จากอู่เหมยให้กับเจ้าก็แล้วกัน แล้วอย่าถามข้าถึงวิธีการด้วย”

“หา…” ชิวเจิ้นไม่รู้ว่าจะดีใจหรือร้องไห้ดี เขาได้แต่ส่ายหัวไปมา ก่อนจะเดินคอตกจากไป

หลังจากให้ลูกน้องได้พักผ่อน ถังหยินก็คิดว่าวันพรุ่งนี้น่าจะเป็นวันสบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องจัดการอีก ดังนั้นในเช้าวันถัดมา หลังจากที่ถังหยินตื่นขึ้น เขาจึงออกไปฝึกร่างกายตามปกติในสวน หลังจากฝึกฝนเสร็จ เขาก็ทานข้าวเช้าแล้วก็เริ่มอ่านหนังสือ

เหตุที่ชายหนุ่มอ่านหนังสือ มันก็เพราะในโลกนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขายังไม่รู้ ส่วนความรู้ที่ชายหนุ่มได้จากความทรงจำของหยานหลี่มันก็จำกัดเกินไป ในเมื่อตอนนี้เขาเข้าร่วมกองทัพแล้ว ถ้างั้นก็ต้องทำตัวให้คุ้นชินกับแผนการรบในยุคนี้เข้าไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตำราพิชัยสงคราม แม้ถังหยินจะคิดว่าทุกอย่างในหนังสือนี้มันจะไร้ค่า แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องเข้าใจมันไว้บ้าง

ช่วงกลางวัน ชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียนเข้ามาหาเขา

ตอนนี้พวกเขามีเรือนพักเป็นของตัวเองแล้ว และไม่ต้องพึ่งพาเรือนของถังหยินอีก อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่มีเวลา พวกเขาก็มักจะแวะเวียนมายังเรือนของถังหยินเสมอ

ชิวเจิ้นมาเพื่ออยากพูดคุยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปหรือเรื่องในกองทัพ เขาไม่มีเพื่อนหรือใครในเมืองหลวงเลย ดังนั้นคนที่จะคุยด้วยได้จึงมีแค่ถังหยินเท่านั้น และถึงแม้พวกนักปราชญ์อาจจะคุยด้วยได้กว่าก็ตาม หากแต่มันก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าตาชิวเจิ้น

ส่วนกู่เยว่กับหลีเทียนมาเพราะเรื่องอื่น

ทั้งสองมาเพื่อดูถังหยินฝึกวิชาของเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นก็ทำให้พวกเขาพากันประหลาดใจ แต่หลังจากที่สอดส่องไปนานเข้า พวกเขาก็เริ่มรับรู้ได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในกระบวนท่าเหล่านั้น ทั้งสองหวังว่าจะได้เรียนรู้เทคนิคหรือวิชาลับจากถังหยินบ้าง เพื่อเอาไปฝึกใช้เอง ไม่ก็ใช้ฝึกทหารภายใต้บัญชาการของพวกเขา

ถังหยินไม่เคยเปิดเผยความสามารถของเขาให้ใครดูทั้งนั้น แต่ทว่าเขาก็ไม่คิดจะซ่อนมันด้วยเช่นกัน กู่เยว่กับหลีเทียนมีฐานพลังปราณและร่างกายที่แข็งแกร่งอยู่ ดังนั้นจึงทำให้ถังหยินสามารถถ่ายทอดวิชาได้ง่ายขึ้น

พวกเขาใช้การต่อสู้เป็นการฝึกสอน

และถึงแม้ถังหยินจะเก่งกาจขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาทั้งคู่ช่วยกันสู้ ผลลัพธ์มันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ! วันนี้เองก็ไม่เว้นเช่นเคย พวกเขาทั้ง 2 คนเข้าปะทะกับถังหยินพร้อมกัน ในขณะที่ชิวเจิ้นมองดูอยู่ข้าง ๆ

ชายหนุ่มทำจิตให้ปลอดโปร่งแล้วเอามือไพล่หลังไว้ ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวหลบไปทางซ้ายและขวาจนทำให้ทั้งสองเหนื่อยล้า

หลังจากสู้มาตั้งนาน ทั้งสองก็ยังคงไม่อาจแตะตัวถังหยินได้เลย กู่เยว่และหลีเทียนได้แต่ยอมแพ้แล้วนั่งหอบหายใจที่สวนหย่อม

เมื่อเห็นว่าถังหยินดูไม่เหนื่อยอ่อนเลย กู่เยว่จึงอดถามไม่ได้ว่า “สหายถัง เจ้าทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

เขาเริ่มสนิทกับถังหยินมากขึ้น จึงทำให้ในตอนนี้มีกู่เยว่ หลีเทียน และชิวเจิ้นที่เรียกเขาว่าสหายถัง ส่วนทางด้านถังหยิน เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำเรียกนี่เท่าไหร่นัก

“มันยากมากทีเดียว” ถังหยินยักไหล่และหัวเราะ

“หา?” กู่เยว่และหลีเทียนไม่เข้าใจ

ชายหนุ่มนั่งลงและพูดขึ้น “เมื่อยังเด็ก ข้าอาศัยอยู่ในป่าลึกบนภูเขา ทำให้ต้องไปเก็บฝืนบนยอดเขานั่นทุกวัน แต่ทว่าบนนั้นก็มีกิ่งไม้มากมายจนทำให้เสื้อข้าขาดวิ่น ดังนั้นจึงทำให้เชี่ยวชาญการหลบหลีกเป็นอย่างมาก”

“อย่างนี้นี่เอง!” ทั้งสองตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าถังหยินจะมีประวัติที่โหดร้ายเช่นนี้

ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าถังหยินมีอาจารย์ และเจ็บหนักมากกว่าแค่เสื้อขาดวิ่นละก็ พวกเขาคงก็จะยิ่งตะลึงมากกว่านี้อีก

ชีวิตในวัยเด็กของถังหยินทำให้เขากลายเป็นคนที่บิดเบี้ยว ทว่าในตอนที่เขามายังโลกนี้ ชายหนุ่มก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีขึ้น เขาไม่เหมือนกับเครื่องจักรสังหารที่เลือดเย็นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว