บทที่ 48

หลังจากพักทานข้าวเที่ยง ทั้ง 4 ก็นั่งคุยกัน ถังหยินถามเด็กหนุ่ม “เจ้าได้ยินเรื่องที่ประตูหน้าด่านตงบ้างไหม?”

“พวกหนิงตั้งทัพอยู่ด้านนอกเมือง ส่วนเหลียงฉีก็ตั้งกองทหาร 20 หน่วยให้คอยป้องกันเมืองไว้ จึงทำให้พวกมันไม่กล้าจะบุกเข้ามาตรง ๆ ส่วนทางเราเองก็ไม่กล้าโจมตีสวนกลับ นี่จึงทำให้ค้างเติ่งกันอยู่แบบนั้น แต่ข้ามั่นใจเลยว่าพวกหนิงต้องทนไม่ไหวก่อนแน่ !”

“แปลกมาก!” กู่เยว่ขัดบท “ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่เหลียงฉีไปยังประตูตงแล้ว เขาก็อยากจะพุ่งออกจากเมืองจนสายตัวแทบขาด แล้วพอมาตอนนี้กลับอยากป้องกันเมืองเนี่ยนะ”

“มันไม่แปลกหรอก” ชิวเจิ้นยิ้มออกมา “ถ้าเทียบกับพวกหนิงแล้ว ต่อให้พวกเขารบชนะก็ยังคงต้องสูญเสียมากกว่าอยู่ดี ซึ่งมันอาจทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเหลียงต้องเสื่อมเสียไปด้วย อย่างไรเสียการที่เลือกป้องกันเมืองแบบนี้ก็เป็นประโยชน์กับพวกเหลียงฉีมากกว่า พวกเขาดูซิ ทั้ง ๆ พวกเหลียงมีอำนาจควบคุมในกองทัพเพียงแค่ 10 กองเท่านั้น แต่มาตอนนี้พวกเขากลับมีมากถึง 20 กอง บอกได้เลยว่านี่น่ะเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและชื่อเสียงชัด ๆ !”

“อย่างนี้นี่เอง!” กู่เยว่พยักหน้า “เขาช่างเป็นคนที่หลักแหลมเสียจริง”

ชิวเจิ้นโบกมือให้ “นี่อาจไม่ใช่ความคิดของเหลียงฉี ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะแค่เพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ส่วนอำนาจและการวางแผน ข้าเชื่อว่าพ่อของเขาน่าจะเป็นคนจัดการทั้งหมด”

“ดูเหมือนว่าในอนาคตพวกเหลียงจะต้องยิ่งใหญ่เป็นแน่ ! ” กู่เยว่พึมพำ

“ใครจะไปรู้ล่ะ!” ระหว่างที่เขาพูด ชิวเจิ้นก็มองไปทางถังหยิน ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ดื่มชาเงียบ ๆ ราวกับว่าไม่ได้สนใจอะไร

หลีเทียนที่เงียบอยู่ตลอดก็ได้พูดขึ้น “ถ้าหากพวกเหลียงขยายอำนาจได้ขนาดนี้ แล้วพวก 3 ตระกูลใหญ่ที่เหลือล่ะ พวกเราเองก็ด้วย จะเป็นยังไงต่อ?”

ชิวเจิ้นพยักหน้า “ไม่ต้องเป็นกังวลไป ท่านอ๋องยังไงก็คงให้ความสำคัญกับตระกูลอู่มากกว่าอยู่แล้ว”

ระหว่างที่พวกเขาพูดกัน มันก็ได้มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก ก่อนจะตามมาด้วยนายทหารคนหนึ่งที่รีบเข้ามารายงานบางสิ่ง “แม่ทัพถัง หัวหน้ากองเติงขอเข้าพบขอรับ!”

เติงหมิงหยาง? เขาต้องการอะไร? ถังหยินเงยหน้าขึ้น “ให้เขาเข้ามา”

“ขอรับ!” นายทหารคนนั้นตอบกลับและรีบวิ่งออกไปทันที

ไม่นานนักเจ้าตัวก็เข้ามา วันนี้เขาแต่งตัวตามปกติ แต่เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย ทั้ง 4 ก็เกือบจะหัวเราะออกมา

เติงหมิงหยางในตอนนี้นั้นผมกระเซิงไปหมด ดวงตาสีดำคล้ำ ทั้งยังมีแก้มที่ซูบผอม เสื้อของเขาเองก็ขาดวิ่นและเต็มไปด้วยฝุ่น เขาดูน่าสมเพชมาก ไม่ต่างอะไรจากขอทานเลยทีเดียว

ถังหยินหัวเราะออกมา “ข้าขอถามหน่อยเถอะท่านหัวหน้ากอง วันนี้เจ้าจะมาแสดงอะไรให้ข้าดูกัน?”

ได้ยินแบบนี้ ทั้ง 3 คนที่เหลือก็พากันหัวเราะออกมา

“แม่ทัพถัง!” เติงหมิงหยางคุกเข่าลงและพูด “พวกเรากำลังต่อสู้กับกองพันที่ 8 และ 9 ส่วนอัยเจียก็ถูกจับตัวไป!”

ถังหยินตะลึงในคำพูดนี้ทันที “ลุกขึ้นแล้วรีบอธิบายมา!”

“มันเป็นอย่างนี้… วันนี้ตอนเที่ยง พวกหัวหน้ากองไปดื่มกันในโรงเตี๊ยม ที่แห่งนั้นพวกเราได้เจอกับพวกกองพันที่ 8 และ 9 ในตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่จากนั้นพวกมันก็ได้เข้าท้าทายต่อยตี จนกระทั่งเริ่มมีปากเสียงและปะทะกันในท้ายที่สุด สุดท้ายแล้วข้า… ก็โดนอัดจนน่วม คนอื่น ๆ ต่างก็โดนทำร้าย ส่วนอัยเจียนั้นโดนจับตัวไป นางเป็นสตรี ข้าคิดว่านางคง…”

โดยไม่รีรอ ถังหยินรีบลุกขึ้นและมองชิวเจิ้น “ใครคือแม่ทัพของกองพันที่ 8 และ 9 กัน ? ”

“ถ้าข้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเหลียงหยวนและอู่หลีเซียง” หลังจากพูดจบ เขาก็พูดเสริม “ทั้งสองคือทหารภายใต้คำบัญชาของตระกูลเหลียง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ง่ายที่จะต่อกรแน่”

พวกเหลียงงั้นเหรอ? ถังหยินขมวดคิ้ว

เติงหมิงหยางกลัวว่าถังหยินจะไม่กล้ามาช่วยเขาแน่ ๆ จึงได้พูดใส่ไฟเพิ่มเติม “นอกจากนี้พวกมันยังดูหมิ่นท่านแม่ทัพถังด้วยว่าการที่ท่านมาเป็นแม่ทัพได้เพราะการแต่งตั้งของท่านแม่ทัพอู่เท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจแต่เป็นเพราะหน้าตาต่างหาก พวกเราก็เลยทนไม่ไหว…”

ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งเสียงเบาลงเพราะสีหน้าของถังหยินเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

แม้จะรู้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้โกรธเขา แต่เติงหมิงหยางเองก็ยังกลัวสายตาแบบนั้นจนขาสั่นอยู่ดี ถังหยินไม่ได้ปล่อยปราณกดดันออกมา แต่เขาปล่อยแรงกดดันออกมาด้วยตัวเอง

“พวกมันอยู่ที่ไหน?” เพียงครู่เดียวสีหน้าของถังหยินก็กลับเป็นปกติพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

“น่าจะ… อยู่ที่โรงเตี๊ยม!”

“พาข้าไปที่นั่น!” ถังหยินจับไหล่เขาแล้วลากไปด้วยในทันที

เขาไม่คาดหวังกับอัยเจียก็จริง แต่ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นลูกน้องของเขา ถ้าหากอัยเจียเกิดเหตุอะไรขึ้น เขาก็ต้องไปช่วยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีเขาเป็นต้นเหตุด้วย แล้วแบบนี้จะให้เมินได้ยังไงกัน ?

ทางด้านหลีเทียนเองก็รีบตามไปส่วนชิวเจิ้นไป ก่อนที่จะนึกขึ้นได้และบอกคนข้าง ๆ ว่า “พวกเจ้าสองคนไปรายงานแม่ทัพอู่ก่อนเถอะ ข้ากลัวว่าด้วยอารมณ์ของสหายถังมันจะทำให้ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก!”

“เข้าใจแล้ว ! ” กู่เยว่ดูเหมือนจะเข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงรีบถามสหายของเขาว่า “โรงเตี๊ยมนั้นชื่ออะไร?”

“ศาลาพักใจ!”

ถังหยินเดินออกไปจากเรือนที่พักในทันที ซึ่งมันก็ได้มีข้ารับใช้เตรียมม้ารอไว้แล้ว หลังจากที่ขึ้นม้าเรียบร้อย ชิวเจิ้นกับ เติงหมิงหยางก็ขี่ม้าพาพวกเขาตรงไปยังโรงเตี๊ยมในทันที

ระหว่างทางชิวเจิ้นยังคงไม่ลืมที่จะเตือนสหายของเขาให้จัดการเรื่องนี้ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถังหยินยิ้มและพยักหน้าให้ แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงมีรัศมีน่ากลัวแผ่ออกมาอยู่ดี

ศาลาพักใจเป็นตึก 2 ชั้นที่มีขนาดใหญ่ มันมีชื่อเสียงในเมืองหยานมากพอควร

เมื่อถังหยินกับพรรคพวกมาถึง ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลงจากม้า มันก็ได้มีผู้คนมากมายเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้

คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ผมยุ่งและชุดขาดวิ่น แถมยังมีสีเปื้อนที่ใบหน้าอีกด้วย ถังหยินก้มหน้าลงมามองชัด ๆ แท้ที่จริงแล้วคนพวกนี้ก็คือคนใต้บัญชาของเขาทั้งนั้น หลีเหว่ย หลิวซงเจิ้ง เฉินฟาง ฉางจิว และก็คนอื่น ๆ

“แม่ทัพถัง ในที่สุดท่านก็มา!”

“พวกเขาอยู่ในโรงเตี๊ยม!”

“อัยเจียถูกพวกมันจับอยู่ ท่านต้องช่วยนางนะ!”

ถังหยินลงจากม้า เขามองทุกคน จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีความสามารถก็อย่าก่อปัญหาสิ น่าอับอายเสียจริง!”

“ถ้าพวกเราใช้พลังปราณได้ก็คงไม่แพ้หรอก…” จางชิวพูดยังไม่ทันจบก็โดนขัดคอเสียก่อนไว้

กฎในกองทัพไม่ได้ห้ามการต่อสู้แบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าใครใช้พลังปราณในการต่อสู้จะถือว่าเป็นโทษหนักและต้องได้รับทัณฑ์บน แม้ว่าจะมีการทะเลาะกันในหมู่ทหารเฟิงบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าใช้พลังปราณในการต่อสู้เลย เพราะมันคือกฎของกองทัพเฟิง

แม้ว่าพวกเติงหมิงหยางจะเสียเปรียบในการปะทะกัน แต่พวกเขาก็มีรอยแผลนิดหน่อยเท่านั้นไม่ถึงขั้นรุนแรง ทว่าสิ่งที่เสียไปก็คือหน้าตาและชื่อเสียงของทั้งกองพัน !

การทะเลาะที่เกิดขึ้น ทำให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกอยู่ในสภาพเละเทะ ถ้วยเหล้ามากมายเต็มพื้นและแขกคนอื่นเองก็หนีไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่พวกที่ทะเลาะกัน ซึ่งอัยเจียเองก็อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น

ด้านหลังหญิงสาวคือชายร่างใหญ่ที่ใช้ฝ่ามือวางบนไหล่จนทำให้นางขยับไปไหนไม่ได้ ส่วนคนที่นั่งทางขวามือคือชายวัย 30 ที่มานั่งคุยกับนาง มือไม้ของเขาอยู่ไม่สุขและพยายามลูบไล้นางไปทั่ว แม้ว่าสีหน้าของอัยเจียจะพยายามไม่แสดงออกมา แต่มันก็คงยากที่จะทนได้

“ทุกคนดื่มกันไปเถอะ แต่ถ้าอยากหาสตรีละก็ไม่ลองไปหาแถวย่านนารีดูเล่า อย่ายุ่มย่ามกับลูกน้องข้าเลย” ถังหยินหัวเราะแล้วเดินเข้ามา

ชายตัวใหญ่และพรรคพวกกว่า 20 คนหันมามองตามต้นเสียงในทันที พวกเขาเห็นชายวัย 20 ที่มาพร้อมกับคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ด้านหลัง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้ตัวตนของชายคนนี้ได้เลยโดยที่ไม่ต้องถาม

ชายที่อยู่ข้างอัยเจียหัวเราะแล้วจงใจถาม “เจ้าเป็นใคร?”

“ถังหยิน!” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าคือถังหยินนี่เอง!” เขาแกล้งทำเป็นรู้เรื่องและหัวเราะออกมา “ข้ารู้จักเจ้า เจ้าหนุ่มที่มีความสัมพันธ์กับอู่เหมยใช่ไหมล่ะ?”

“ฮ่าๆ…”

ทุกคนหัวเราะกันออกมาทันที

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกถังหยินต่างก็บิดเบี้ยวอย่างมาก การที่โดนยั่วยุในที่สาธารณะแบบนี้มันน่าอับอายยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก

ทว่าถังหยินกลับยังคงสีหน้าเช่นเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินเข้าใกล้ชายร่างใหญ่ด้วยรอยยิ้ม และเมื่อไปถึง ชาย 2 คนที่อยู่ด้านหลังชายร่างใหญ่ก็ได้ลุกขึ้นจ้องมองเขากลับ

“ข้าไม่เป็นไร!” ชายร่างใหญ่โบกมือและหัวเราะ “มันก็เป็นแค่พ่อหนุ่มรูปหล่อธรรมดา ๆ พวกเจ้าจะกังวลอะไรกัน?”