ความอึดอัดนี้ก็เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ไม่นานจ้าวเซี่ยวก็ปล่อยวางความรู้สึกเหล่านั้น
ท่านหญิงเจียหนานจะท่าทางน่าเกรงขามแค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่เคยผ่านความยากลำบาก หากก้าวออกจากวังหลวงและจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว นางก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
จ้าวเซี่ยวเริ่มคิดทบทวนอีกเรื่องหนึ่ง
หากเฉาไทเฮาไม่สามารถบดขยี้วังฉือหนิงได้อย่างที่พวกเขาคิด อย่างนั้นก็หมายความว่าเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่ได้ถูกเฉาไทเฮาควบคุมใช่หรือไม่?
ฮ่องเต้มีส่วนร่วมอะไรในนั้นด้วยหรือไม่?
ท่านหญิงเจียหนานไม่ยอมแต่งงานกับเฉาเซวียน เป็นเพราะตระกูลเจียงกับฮ่องเต้แอบตกลงอะไรกันหรือเปล่า?
จ้าวเซี่ยวยิ้มอย่างสุภาพ เขาตามหลังเจียงเซี่ยนอย่างสงบเยือกเย็น ท่าทีราวกับจะไปตำหนักอี๋เล่ออยู่แล้ว จึงบังเอิญไปทางเดียวกับเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนปล่อยให้เขาตามไป และเข้าไปในตำหนักอี๋เล่อ
โรงละครจัดเรียบร้อยแล้ว แขวนม่านและตั้งโต๊ะเก้าอี้แล้ว อู่เซิง[1]ตีลังกาอยู่บนเวที ชิงอี[2]ร้องงิ้วอยู่ข้างๆ อาจารย์ที่สอนการร้องงิ้วส่งสัญญาณให้อาจารย์ที่สีหูฉินหยุด แก้ไขบทงิ้วของชิงอีอยู่ก็หงุดหงิดที่พวกนักแสดงงิ้วหยอกเล่นกันไปมา จึงหันไปตวาดด่าสองสามคำ คนงานที่แบกอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ข้างๆ เหมือนไม่ได้ยิน และเดินผ่านตรงกลางไป ทว่าชั่วขณะที่เห็นเจียงเซี่ยนกลับทำหน้าตกใจกันเป็นอย่างมาก และคุกเข่าลงอย่างลนลาน ด้วยไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไร จึงเรียก ‘เหนียงเหนียง’ กันอย่างวุ่นวาย
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
ในบทงิ้วมักจะเขียนถึงฮ่องเต้และอำนาจของฮ่องเต้ ราวกับคำพูดประโยคเดียวของฮ่องเต้ก็สามารถทำให้น้ำทะเลไหลทวนกลับได้ ความจริงแล้วฮ่องเต้เป็นตำแหน่งที่อาภัพ ทำได้ไม่ดี ไม่นำภัยมาสู่ลูกหลานก็นำภัยมาสู่ตนเอง
ทุกครั้งที่นางดูงิ้วก็รู้สึกว่าคนที่เขียนบทงิ้วเหล่านี้ต้องเป็นบัณฑิตตกอับอย่างแน่นอน จึงไม่รู้อะไรทั้งนั้น และอาศัยแต่ความคิดฟุ้งซ่านส่วนตัว
เจียงเซี่ยนเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ
เสียงเครื่องเป่าในตำหนักใหญ่ทุกชิ้นหยุดลงจนเงียบสนิท
เจียงเซี่ยนกำลังอยากถามอะไรเล็กน้อย ก็มีผู้ชายที่แต่งหน้าได้ครึ่งหนึ่งและสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบผ้าไหมหังสีน้ำเงินอมเขียวพุ่งออกมาจากด้านหลัง และเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่เห็นเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ เขาก็มองเจียงเซี่ยนอย่างตกใจครั้งหนึ่ง และหลุบตาลงในทันที เขาก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวและคุกเข่าลงหน้าทุกคน พลางเอ่ยด้วยเสียงประหม่าเล็กน้อยว่า “ข้าน้อยตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูคารวะเหนียงเหนียงขอรับ”
‘เหนียงเหนียง’ เป็นคำเรียกสนมของฮ่องเต้
หลิวตงเยว่ขมวดคิ้ว และตวาดว่า “นี่คือท่านหญิงของพวกเรา”
ตู้ฮุ่ยจวินรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูคารวะท่านหญิงขอรับ”
คิดไม่ถึงว่าจ้าวเซี่ยวจะพูดถูกแล้ว คนที่ร้อง ‘เฉินเซียงช่วยแม่’ คือท่านตู้แห่งคณะเหลียนจูจริงๆ เสียด้วย
หรือว่าจ้าวเซี่ยวชอบดูงิ้วหรือ?
คณะเหลียนจูนี้ตอนที่เจียงเซี่ยนเป็นไทเฮาก็เคยได้ยินเช่นกัน
ทว่าเวลานั้นนางครอบครองตำแหน่งสูงศักดิ์ ความชอบส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองได้ง่าย แม้จะดูงิ้วก็ไม่ถึงกับย้ายคณะงิ้วคณะหนึ่งจากทางใต้เข้าเมืองหลวง
จะเห็นได้ว่าถึงจะได้เป็นไทเฮาแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้อยู่ดี แถมยังอาจจะไม่มีวาสนาเท่าพวกฮูหยินเฒ่าของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยด้วย
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางให้ตู้ฮุ่ยจวินลุกขึ้นยืน และสังเกตเขาอย่างละเอียด
เพราะแต่งหน้าปิดไว้ จึงดูอายุและหน้าตาไม่ออก รูปร่างปานกลาง ดูท่าทางผอมมากทีเดียว ถึงแม้จะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตื่นตระหนก ทว่ากลับพยายามวางตัวให้ถูกกาลเทศะอย่างสุดกำลังเช่นกัน
เจียงเซี่ยนถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “มีแต่คณะงิ้วของพวกเจ้าที่อยู่ที่นี่หรือ?”
ตู้ฮุ่ยจวินตอบอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้มีการซ้อมของคณะงิ้วสามคณะ ตอนเช้าเป็นคณะสือซาน ตอนบ่ายเป็นพวกเรา ตอนเย็นเป็นคณะสื่อเจียขอรับ”
เจียงเซี่ยนเห็นเขาพูดจาคล่องแคล่วและฉะฉาน จึงถามเพิ่มอีกสองสามอย่าง
ตู้ฮุ่ยจวินรู้สึกได้ว่าเจียงเซี่ยนจิตใจดี จึงค่อยๆ กลัวน้อยลงเช่นกัน
ทว่ากลับอดที่จะพึมพำในใจไม่ได้
ไม่ใช่ว่าชายหญิงพูดคุยกันโดยตรงไม่ได้และอายุเจ็ดปีขึ้นไปก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้วหรือ? ทำไมท่านหญิงคนนี้กลับกล้าคุยกับเขาเช่นนี้?
บางทีอาจจะเหมือนอย่างที่อาจารย์ของเขากล่าว คนยืนอยู่จุดสูงสุดแล้ว ไม่มีกฎใดผูกมัดเขาได้ทั้งนั้น
จ้าวเซี่ยวที่ฟังอยู่ข้างๆ ฝืนอดทนไว้ถึงจะไม่เผยสีหน้าแปลกใจออกมา
ท่านหญิงเจียหนานผู้นี้…เป็นเพียงท่านหญิงเท่านั้นหรือ?
มีท่านหญิงที่ใจกล้าขนาดนี้หรือ
นางเป็นคนอย่างไรกันแน่?
ต่อให้นางเป็นฮองเฮา ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรตามใจตนเองอย่างไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้
ตระกูลเจียงกับฮ่องเต้แอบตกลงกัน?
จ้าวเซี่ยวรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาในทันใด
เขาหาโอกาสชวนเจียงเซี่ยนคุย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิง ถึงคณะเหลียนจูจะเป็นคนใต้ แต่กลับร้องงิ้วภาคเหนือ คณะสื่อเจียก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ‘สะพานขาด’ ‘กุ้ยเฟยเมาสุรา’ ‘ฉีซวงฮุ่ย’ ล้วนเป็นงิ้วเรื่องที่พวกเขาถนัด มีแต่คณะสือซานที่ร้องงิ้วภาคใต้ แถมท่วงทำนองยังแตกต่างจากของคุนซานและของอวี๋เหยาด้วย คนเหนือร้องเป็นภาษากวางตุ้งหาได้ยาก น่าฟังทีเดียว”
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องที่จ้าวเซี่ยว เหมือนเพิ่งเห็นว่ามีคนๆ นี้อยู่ข้างเจียงเซี่ยนด้วยก็ตอนนี้
ตู้ฮุ่ยจวินยิ่งเอ่ยด้วยสีหน้างุนงงว่า “มิทราบว่าใต้เท้า…”
เดิมทีเพราะคณะเหลียนจูเล่นงิ้วล่วงเกินชนชั้นสูงในเมืองหลวง อยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้แล้วถึงได้ไปเจียงหนาน ผ่านไปสองสามรุ่นก็ไม่กล้ากลับเมืองหลวง ถึงแม้ก่อนเข้าเมืองหลวงจะเคยสอบถามลูกหลานของบรรดาตระกูลที่ครอบครองตำแหน่งสูงและมีอำนาจในเมืองหลวงมามาก แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ในความทรงจำของเขา ไม่มีซื่อจื่อตระกูลไหนเชี่ยวชาญเรื่องงิ้ว
เขามองเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
เจียงเซี่ยนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจ้าวเซี่ยวจะเชี่ยวชาญเรื่องคณะงิ้วเช่นนี้ สงสัยจ้าวเซี่ยวจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลในการดูงิ้ว
ทว่าชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินว่าจ้าวเซี่ยวสนใจเรื่องพวกนี้
จะเห็นได้ว่าพวกเขาต่างเป็นคนที่สวมหน้ากากใช้ชีวิต
หากจ้าวเซี่ยวรู้ว่าวันข้างหน้าตนเองจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในทางใต้ จะเสียใจที่วันนี้เผยมุมหนึ่งของหน้ากากออกมาต่อหน้านางหรือไม่?
เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มเล็กน้อยไม่ได้
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบังปาก และกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “จิ้งไห่โหว” และวางผ้าเช็ดหน้าลง
ฉิงเค่อที่อยู่ข้างๆ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเจียงเซี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้เจียงเซี่ยนเคยให้นางท่องรายชื่อของคนที่มาอวยพรวันเกิดที่ภูเขาวั่นโซ่ว
นางได้ยินก็เข้าใจทันที จึงยิ้มพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และเอ่ยกับตู้ฮุ่ยจวินว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อจิ้งไห่โหว”
จ้าวเซี่ยวแปลกใจเล็กน้อย
แต่ตู้ฮุ่ยจวินกลับเบิกตาโต และเผลอร้องออกมาว่า “ที่แท้ก็ท่านไต้ซานนี่เอง”
จ้าวเซี่ยวตกใจ นึกถึงท่าทางของเจียงเซี่ยน และคิดว่าเจียงเซี่ยนก็อยู่ข้างกาย เขารู้สึกเหมือนกลัวโดนจับได้อย่างบอกไม่ถูก จึงปรายตามองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง
เจียงเซี่ยนอยากจะหัวเราะเสียงดังสักสามครั้ง
ซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ดูงิ้วจนติด แถมยังดูจนถึงขั้นมีนามแฝงด้วย…
ไม่รู้ว่าบิดาของเขารู้หรือไม่?
“ที่แท้ซื่อจื่อก็เป็นนักแสดงงิ้วสมัครเล่นหรือ!” เจียงเซี่ยนพูดไป เสียงก็ยิ่งฟังดูอ่อนโยนและสนิทสนมมากขึ้น “เช่นนี้ก็ดีเลย เดิมทีข้าอยากมาดูว่าทุกคนกำลังซ้อมงิ้วเรื่องอะไรกันอยู่บ้าง ก็กลัวว่าจะทำให้เสียเวลาการแสดงของวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่ว่ามีคำพูดที่กล่าวว่า ‘ดนตรีอันไพเราะแสวงหาคนที่รู้ใจ’ หรือ? ตอนนี้มีซื่อจื่ออยู่ที่นี่แล้วก็แลกเปลี่ยนความรู้กับท่านตู้ได้พอดี ข้าดูอยู่ข้างๆ ก็ถือว่าไม่ทำให้เสียเวลาในการซ้อมและร้องงิ้วแล้วเช่นกัน”
องครักษ์ของจ้าวเซี่ยวเผยสีหน้าโกรธออกมาทันที
ซื่อจื่อของพวกเขาเป็นถึงผู้สืบทอดจิ้งไห่โหว ไม่ใช่นักแสดงงิ้วชื่อดังและดนตรีอันไพเราะแสวงหาคนที่รู้ใจอะไรเสียหน่อย นี่กำลังด่าว่าซื่อจื่อของพวกเขาเป็นนักแสดงงิ้วไม่ใช่หรือ?
จ้าวเซี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตู้ฮุ่ยจวินคุกเข่าลงไปอีกครั้ง และเหงื่อตกเต็มหน้า มุมปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบอย่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี
————————————-
[1] อู่เซิง ตัวละครชายที่เล่นบทบู๊
[2] ชิงอี ตัวละครหญิงที่เล่นบทหญิงสาวหรือหญิงวัยกลางคนที่เคร่งขรึม