ภาคที่ 2 บทที่ 66 ดูงิ้ว

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนเห็นก็ไม่ค่อยพอใจ

นางสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย และมองตู้ฮุ่ยจวินที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พลางเอ่ยว่า “ทำไม? นี่ข้าพูดอะไรผิดหรือ?”

“ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ!” ตู้ฮุ่ยจวินยิ่งเหงื่อออกมากขึ้น เขาพยายามคิดทุกวิถีทาง และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อฐานะสูงศักดิ์ คนเช่นข้าเทียบได้ที่ไหนกัน! ข้ามิกล้าอวดดีให้คำแนะนำ ได้ฟังพวกเราร้องงิ้วก็ถือว่าบรรพบุรุษทำความดีไว้ ลูกหลานจึงได้รับผลกรรมดี แล้ว…”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วถามจ้าวเซี่ยว “ซื่อจื่อก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”

จ้าวเซี่ยวชอบดูงิ้วมากเหมือนมารดาของเขา และเขาเข้าใจงิ้วจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ดูถูกนักแสดงงิ้วของคณะเหล่านี้ และหากนักแสดงงิ้วของคณะเหล่านี้ได้รับคำแนะนำจากจ้าวเซี่ยวก็จะเป็นผลดีต่อทั้งศิลปะในการขับร้องงิ้วและบทงิ้ว กระทั่งจุดประกายความคิด และแทรกตัวอยู่ในอันดับนักแสดงงิ้วชั้นหนึ่ง ดังนั้นคนของคณะงิ้วจึงต่างรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้รับคำวิจารณ์จากจ้าวเซี่ยว และเรียกเขาอย่างเคารพว่า ‘ท่าน’

ทว่าถึงอย่างไรการร้องงิ้วก็เป็นเรื่องของคนที่ทำอาชีพต่ำต้อย ในสายตาของคนทั่วไป การเรียกแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่เป็นเกียรติ ทว่ากลับเป็นสิ่งที่แสดงถึงพฤติกรรมที่แย่ลงและมั่วโลกีย์…

จ้าวเซี่ยวเป็นซื่อจื่อแห่งจวนจิ้งไห่โหว เป็นจิ้งไห่โหวในภายภาคหน้า แน่นอนว่าไม่อาจทิ้งชื่อเสียงแบบนี้เอาไว้ได้

ดังนั้นสองปีนี้เขาจึงเชิญนักแสดงเข้ามาแสดงในบ้านเนื่องในโอกาสที่มีเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองและออกไปดูงิ้วน้อยมาก แต่เลี้ยงคณะงิ้วไว้ในบ้านคณะหนึ่ง

พอได้ยินเจียงเซี่ยนถามเขาเช่นนี้  เขาก็อดที่จะฝืนยิ้มไม่ได้

หากเขาตอบ ‘ใช่’ จะทิ้งความรู้สึกจอมปลอมและเสแสร้งไว้ให้เจียงเซี่ยน หากเขาตอบ ‘ไม่ใช่’ หรือว่าจะยอมรับคำพูดของเจียงเซี่ยนเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ?

จ้าวเซี่ยวลังเลเล็กน้อย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิงพูดเกินไปแล้ว เป็นเกียรติของข้าที่ได้มาดูท่านตู้จากคณะเหลียนจูซ้อมงิ้วที่ตำหนักอี๋เล่อเป็นเพื่อนท่านหญิง”

พอเขาพูดจบ ตู้ฮุ่ยจวินก็ได้สติกลับมาเช่นกัน

นั่นสิ! นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แล้วทำไมเขาจะต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ทั้งคุกเข่าทั้งขอร้อง เหมือนซื่อจื่อมีเรื่องอะไรที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้…นี่เขาทำให้ซื่อจื่อเดือดร้อนใช่หรือไม่?

ตู้ฮุ่ยจวินรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิง งิ้วที่พวกเราน้อมถวายในครั้งนี้คือ ‘เฉินเซียงช่วยแม่’ ก่อนเข้าวังก็ซ้อมหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้หลักๆ คือมาซ้อมบนเวทีให้คุ้นชินกับตำแหน่งก่อนที่จะแสดงอย่างเป็นทางการ เกรงว่าถึงเวลานั้นไม่คุ้นเคยกับสถานที่จะเกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น อันที่จริง ‘ซื่อหลางเยี่ยมแม่’ ‘ตำหนักท้าวมหาพรหม’ ล้วนเป็นงิ้วเรื่องที่คณะของเราถนัด หากท่านหญิงกับซื่อจื่อสนใจ ข้าก็สามารถร้องให้ท่านหญิงกับซื่อจื่อฟังได้สักองก์สององก์เช่นกัน”

ไม่ต้องสนใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เขาควรจะวางตัวแบบนี้ต่างหาก!

เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยกับจ้าวเซี่ยวว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน! ซื่อจื่อกลับไปแล้วยังต้องคบค้าสมาคมกับเพื่อนขุนนาง จะได้ไม่ถูกคนเห็นแล้วนินทาลับหลัง ซื่อจื่อไม่อยู่เมืองหลวงมานาน อาจไม่รู้ถึงความร้ายกาจเหล่านี้ในเมืองหลวงตอนนี้ เมื่อก่อนมีแต่ผู้หญิงในตลาดที่ชอบวิจารณ์มั่วซั่ว เวลานี้แม้แต่ขุนนางที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินจากสำนักราชเลขาธิการก็ชอบวิจารณ์และนินทาเช่นกัน…”

ประกายแสงเหมือนปลายเข็มฉายวาบผ่านไปในดวงตาของจ้าวเซี่ยว

นี่ท่านหญิงเจียหนาน…กำลังบอกว่านางรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา

เช่นนั้นจุดประสงค์ของนางคืออะไร?

จ้าวเซี่ยวครุ่นคิดในใจ

เจียงเซี่ยนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วว่า “ซื่อจื่อชอบฟังเรื่องไหน? ข้าชอบองก์ ‘ในวัง’ ในเรื่อง ‘ซื่อหลางเยี่ยมแม่’”

เหมือนคำพูดเมื่อครู่แค่พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไรเท่านั้น

จ้าวเซี่ยวมีเรื่องในใจมากมาย ทว่ากลับไม่อาจพูดกับคนที่อยู่ตรงหน้าได้แม้แต่คำเดียว

เขาเปิดปากพูดเพียงเล็กน้อย นางพูดออกมาหมดแล้ว เขายังจะโต้แย้งอะไรได้อีก

“ข้าก็ชอบองก์นี้เหมือนกัน” จ้าวเซี่ยวตอบไป “ก็รบกวนท่านตู้ร้ององก์นี้ให้พวกเราฟังเถอะ!”

ตู้ฮุ่ยจวินโล่งอก เขายิ้มพลางลุกขึ้นยืน แล้วเชิญเจียงเซี่ยนและจ้าวเซี่ยวไปที่ตำหนักข้างๆ

ที่นั่นว่างเปล่า แค่วางเก้าอี้ไท่ซือไว้ไม่กี่ตัวตามหน้าต่างที่สลักลาย กระเบื้องปูพื้นหินขัดเป็นเงาแวววับ ดูท่าทางหนาวเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนนั่งกินชากับของว่างไปพลางดูงิ้วไปพลางอยู่ตรงนั้น

หลิวเสี่ยวหม่านเข้ามาแล้ว

บางทีอาจจะเป็นเพราะรีบเดิน เหงื่อจึงยังคงผุดพรายบนหน้าผากเขา

พอเห็นจ้าวเซี่ยวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเจียงเซี่ยน เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย และเข้าไปคารวะเจียงเซี่ยน คิดแล้วถึงจะคารวะจ้าวเซี่ยว “หลิวเสี่ยวหม่านขันทีวังฉือหนิง คารวะซื่อจื่อจิ้งไห่โหวขอรับ!”

เขารู้จักซื่อจื่อจากตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบและชนชั้นสูงทุกคนในเมืองหลวง คนที่ไม่รู้จักและสามารถสวมหมวกเจ็ดแถบและปรากฏตัวที่ภูเขาวั่นโซ่วได้ ก็มีเพียงแต่จ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหว

จ้าวเซี่ยวไม่รู้จักหลิวเสี่ยวหม่าน แต่เคยได้ยินชื่อของหลิวเสี่ยวหม่าน

เขารีบลุกขึ้นปฏิเสธหลิวเสี่ยวหม่านอย่างถ่อมตัว โดยยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขันทีหลิวให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องมากพิธี!”

หลิวเสี่ยวหม่านระมัดระวังมาโดยตลอด ตลอดหลายปีนี้ที่รับใช้วังฉือหนิงมาก็ไม่เคยให้ใครจับจุดอ่อนได้

เขาคุกเข่าคำนับจ้าวเซี่ยวอย่างนอบน้อม แล้วถึงลุกขึ้นเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ท่านหญิง คนส่งสารเทียบท่าแล้ว ได้ยินคนที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาบอกว่าอีกครึ่งชั่วยามขบวนเสด็จของไทเฮาก็จะถึงแล้ว ท่านจะไปตำหนักเหรินโซ่วหรือไม่ขอรับ”

จะได้ไปต้อนรับเฉาไทเฮาพร้อมกับฮ่องเต้

เจียงเซี่ยนรู้สึกหมดสนุกเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทล่ะ? ยังต้อนรับเหล่าขุนนางอยู่หรือ?”

หลิวเสี่ยวหม่านพยักหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาททราบว่าคืนนี้ท่านจะพักที่ภูเขาวั่นโซ่ว จึงให้ข้ามาแจ้งท่านว่า ตอนค่ำให้ท่านรอรับประทานอาหารค่ำพร้อมกับฝ่าบาทขอรับ”

เขาไม่อยู่เป็นเพื่อนเฉาไทเฮาหรือ?

เจียงเซี่ยนไม่ค่อยแน่ใจว่าจ้าวอี้พูดด้วยความเกรงใจหรือว่ามีแผนการอื่น

นางพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน และเอ่ยว่า “ยังอีกชั่วโมงกว่าไม่ใช่หรือ? ดูงิ้วองก์นี้จบแล้วค่อยว่ากัน”

หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มพลางตอบว่า “ขอรับ” และคอยรินชาให้เจียงเซี่ยน

จ้าวเซี่ยวคิดทบทวนในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าเจียงเซี่ยนทะนงตนมาก นางเพิกเฉยต่อเฉาไทเฮา แถมยังไม่แสดงอาการเกรงกลัวใดๆ ออกมา

เขาจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าการอยู่กับเจียงเซี่ยนตอนนี้เป็นการล่วงเกินไทเฮา

ตู้ฮุ่ยจวินร้องอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น

ถึงแม้ท่านหญิงเจียหนานจะไม่ค่อยสนใจเฉาไทเฮา ทว่าเฉาไทเฮาเป็นแม่แท้ๆ ของฮ่องเต้ ความอาวุโสของนาง…ชนชั้นสูงแย่งชิงอำนาจกัน คนที่รับเคราะห์คงจะไม่พ้นพวกชนชั้นล่าง

บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนไปในทันที

เจียงเซี่ยนก็ไม่สนุกแล้วเช่นกัน จึงขัดจังหวะงิ้วของตู้ฮุ่ยจวิน และชมเขาสองสามคำ แล้วลุกขึ้นบอกลา

จ้าวเซี่ยวโล่งอก

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกว่าจ้าวเซี่ยวเทียบกับหลี่เขียนแล้วยังขาดความกล้าไปหน่อย

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหลี่เชียนไม่มีอะไรเลย แต่จ้าวเซี่ยวมีทุกอย่างกระมัง?

นางไม่สนใจจ้าวเซี่ยว และค่อยๆ ไปตำหนักชิ่งซั่นพร้อมกับหลิวเสี่ยวหม่าน

จ้าวเซี่ยวยืนหน้าประตูตำหนักอี๋เล่อ อยากคุยกับเจียงเซี่ยนอีกเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าตนเองควรจะกลับตำหนักหยวนหล่างเร็วหน่อย ไว้เฉาไทเฮามาถึงแล้วจะได้ไปคารวะ

เพียงแค่ลังเลน้อยนิด เงาของเจียงเซี่ยนก็หายไปท่ามกลางป่าไม้สีเขียวแล้ว

เขายืนอยู่ครู่หนึ่งก็กลับตำหนักหยวนหล่าง

หลังจากเจียงเซี่ยนกลับไป ฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยก็ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า

จนนางเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแล้วนั่งดื่มชาร้อนอยู่บนเตียงอุ่นใกล้หน้าต่างอย่างสบาย จู่ๆ ซ่งเสียนอี๋ที่นำชาและของว่างมาให้นางก็คุกเข่าลงแทบเท้าเจียงเซี่ยน “ท่านหญิง ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”

ในที่สุดก็ได้เวลาแล้ว!

เจียงเซี่ยนแอบพยักหน้าอย่างพอใจอยู่ในใจ แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าเลย และเอ่ยว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”

ซ่งเสียนอี๋ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยนหลายครั้ง

นางในในวังนั้นอยู่ต่อหน้าเจ้านายต้องสดใส ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกมีความสุข การทำหน้าเป็นทุกข์ขอความเมตตาเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีแต่พวกนางในและขันทีน้อยที่ไม่มีระดับเท่านั้นที่จะทำได้

ซ่งเสียนอี๋เป็นนางในอาวุโสของวังเฉียนชิง ไม่ควรจะทำพลาดเช่นนี้

ฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง และเข้าไปดึงซ่งเสียนอี๋

ซ่งเสียนอี๋ไม่ยอมลุกขึ้น นางพยายามคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยน และขอร้องเบาๆ “ท่านหญิง ได้โปรดช่วยข้าด้วย”

—————————-