บทที่ 51 ทิศทาง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

‘เพิ่มโน้มน้าวหยินหยางถึงระดับหนึ่ง’ ลู่เซิ่งคิดในใจ

ทันใดนั้นเครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหว กรอบโน้มนำหยินหยางพร่ามัวเล็กน้อย เปลี่ยนจากไม่เริ่มต้นสู่เบื้องต้น ก่อนเปลี่ยนเป็นระดับหนึ่ง

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าลมปราณสายหนึ่งที่ท้องน้อยนั้นแจ่มชัดขึ้นมาก ร่างกายไม่มีความผิดปกติอะไรอีก แล้วนึกต่อ ‘เพิ่มโน้มนำหยินหยางถึงระดับสองสูงสุด!’

เครื่องมือปรับเปลี่ยนกะพริบ จากนั้นติดๆ กันตัวเลือกโน้มนำหยินหยางก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เปลี่ยนจากระดับหนึ่งเป็นระดับสองซึ่งเป็นระดับสูงสุดโดยตรง

ในพริบตาที่สถานะบังเกิดการเปลี่ยนแปลง ลู่เซิ่งรู้สึกว่าวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกในร่างเสียปราณภายในไปมากกว่าครึ่ง

ลมปราณที่สงบอ่อนโยนสายหนึ่งเริ่มไหลวนอย่างช้าๆ ตามเส้นทางสายที่สามภายในกาย

วิชากำลังภายในสามวิชา ปราณภายในสามสาย อยู่ในสภาพตัดกันเป็นลูกทรงกลม มีเร็วมีช้า ไหลเวียนต่อเนื่อง

พอโน้มนำหยินหยางสำเร็จ เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม

ในลำคอและในดวงตาซึ่งปกติมีความแห้งผากมาโดยตลอด หายไปเป็นปลิดทิ้ง หัวใจเดิมทีที่ร้อนรุ่มเล็กน้อย เวลานี้กลับไม่ร้อนรุ่มโดยสิ้นเชิง

รู้สึกว่าตัวคนกลับมาสมบูรณ์และสมดุลมากขึ้นกว่าเดิม

‘ดูเหมือนโน้มนำหยินหยางจะขจัดผลข้างเคียงของวิชาทมิฬพิฆาตได้ ขอบเขตการตั้งจิตของวิชากำลังภายในนี้สูงส่งมาก…’ ลู่เซิ่งหยีตา ในใจมีความคิดส่วนหนึ่ง ‘อาจใช้โน้มนำหยินหยางเป็นวิชาหลักในการเรียนรู้ต่อ โดยใช้วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกเป็นตัวเสริมได้’

คิดได้ดังนั้นแล้วจึงรีบทำ เขาสงบจิตใจ อาศัยปราณหยินที่มากพอในตอนนี้ การยกระดับโน้มนำหยินหยางคล้ายมีภาระต่อร่างกายไม่มาก

‘เรียนรู้โน้มนำหยินหยางไประดับต่อไป’ เขานึก

ทันใดนั้นอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนกะพริบอย่างรุนแรง พร่ามัวขึ้นมา

อย่างรวดเร็ว หลังจากหายใจสองสามครั้ง อินเตอร์เฟซก็ชัดเจนขึ้น สถานะที่โน้มนำหยินหยางแสดงให้เห็นได้เปลี่ยนจากระดับสองเป็นระดับสามแล้ว

เข้าสู่โน้มนำหยินหยางระดับสาม ลู่เซิ่งถึงขั้นรู้สึกว่าความเร็วการไหลของวิชาทมิฬพิฆาตในตัวค่อยๆ ช้าลง ปราณภายในที่ก่อนหน้านี้เหมือนกับสายอัคคีที่ร้อนลวกตอนนี้เริ่มอุ่นลง ความเร็วในการหมุนช้าลงส่วนหนึ่ง กลายเป็นไม่เร็วไม่ช้า

ลู่เซิ่งผ่อนลมหายใจเบา สายตาในที่สุดก็อยู่ที่วิชาทมิฬพิฆาต

‘มีปราณภายในของ วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกกับโน้มนำหยินหยางเป็นฐาน ครั้งนี้สมควรเรียนรู้วิชาทมิฬพิฆาตแล้ว…’

สายตาของเขาอยู่ด้านหลังตัวเลือกวิชาทมิฬพิฆาต กลับงงงวย ปุ่มเรียนรู้ได้ปุ่มนั้นถึงกับยังอยู่!

‘นี่เป็นเรื่องอะไรกัน’

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ มีความเข้าใจส่วนหนึ่งทันที

‘สมควรเป็นปราณหยินในปิ่นหยกเหนือกว่าผงก่อนหน้ามาก ดังนั้นหลังจากเรียนรู้วรยุทธ์ระดับต่ำทั่วไปปราณหยินจึงยังมีเหลืออยู่ มากพอจะเรียนรู้วรยุทธ์ชนิดที่สองได้ น่าจะเป็นเช่นนี้!’

หลังจากกระจ่างแล้ว ลู่เซิ่งเบิกบานใจยิ่ง ครั้งนี้แม้ผมจะโดนเผาไปหมด ทำถุงเงินหาย สูญเสียค่อนข้างมาก แต่เทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ไม่นับเป็นอันใดแล้ว

‘เริ่มเรียนรู้วิชาทมิฬพิฆาต!’

จิตสำนึกของเขากดเบาๆ บนปุ่มด้านหลังวิชาทมิฬพิฆาต

ซิ้ง…

เครื่องมือปรับเปลี่ยนกะพริบอีกครั้ง พร่ามัวขึ้นมา

ราวๆ สิบกว่าลมหายใจให้หลัง เครื่องมือปรับเปลี่ยนค่อยๆ แสดงผลอีกครั้ง สถานะของวิชาทมิฬพิฆาตเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เปลี่ยนจากระดับสามเป็นระดับสี่โดยตรง ข้อความที่แสดงก็กลายเป็น ‘วิชาพิษอัคคีปริศนา : ระดับสี่’

เปลวไฟสายหนึ่งพุ่งจากจุดฮุ่ยอินผ่านช่องท้อง ทรวงอก คอ เข้าสู่ใบหน้า หลังจากเข้าสู่ศีรษะก็พลันระเบิดออก กลายเป็นกระแสความอุ่นขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน กระจายทั่วส่วนศีรษะเหมือนลมวสันต์แปรเปลี่ยนเป็นฝน

อา…

ลู่เซิ่งเบิกบานจนอดส่งเสียงไม่ได้

เขาแบะอกเสื้อออกเบาๆ เห็นผิวระหว่างทรวงอกกับช่องท้องของตัวเอง ถึงกับมีเส้นสีแดงราวเลือดเส้นหนึ่งโผล่ขึ้น เหมือนกับแยกร่างกายจากหนึ่งเป็นสอง โดดเด่นสะดุดตา

‘นี่… หรือว่าเป็นผลพิเศษของวิชาทมิฬพิฆาตระดับสี่’

เขาสัมผัสเส้นทางเคล็ดวิชา ของวิชาทมิฬพิฆาตระดับสี่อย่างละเอียด

‘มีความรู้สึกถึงวิชาโน้มนำหยินหยาง ยังมีทักษะวิชาเดินลมปราณของฝ่ามือทำลายใจ วิชานี้สมควรไม่ใช่ต้นฉบับ… นี่คือดูดซับแก่นแท้ของวิชากำลังภายในอย่างอื่นมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เกิดขอบเขตวิชากำลังภายในชนิดใหม่ ไม่น่าเรียกวิชาทมิฬพิฆาตแล้ว เปลี่ยนชื่อเป็น…’

ขณะมองเส้นแนวตั้งสีแดงฉานเส้นหนึ่งบนร่าง ลู่เซิ่งใช้ความคิด

‘สีนี้แดงเหมือนเลือด บวกกับใช้วิชาทมิฬพิฆาตเป็นหลักจึงเรียนรู้ได้มา งั้นชื่อวิชาโลหิตพิฆาตก็แล้วกัน’

เขาพอแน่ใจ กรอบวิชาทมิฬพิฆาตในเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็เปลี่ยนชื่ออย่างรวดเร็ว กลายเป็นวิชาโลหิตพิฆาต

ลู่เซิ่งมองวรยุทธ์ที่เหลืออีกครั้ง ดูว่ายังจะเรียนรู้ได้อีกไหม ครั้งนี้กลับไม่มีปุ่มกดแล้ว แสดงว่าปราณหยินก่อนหน้านี้ใช้หมดสิ้นแล้ว

‘ทดลองอานุภาพดู’

ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปพร้อมกับโคจรปราณ ปราณภายในวิชาโลหิตพิฆาตไหลเข้าสู่ฝ่ามือขวาด้วยความเร็วสูง ตบใส่ต้นไม้ข้างขวาอย่างแผ่วเบา

ซี่…

ทันใดนั้นมีควันขาวหลายสายลอยขึ้นมาจากลำต้น เสียงและกลิ่นที่ไม้ถูกเผาเกรียมลอยออกมา ต้นไม้ต้นนั้นถึงกับถูกลู่เซิ่งเผาด้วยฝ่ามือ ปรากฏรอยฝ่ามือสีดำยุบลงไป!

เขาสะดุ้งเพราะอานุภาพของฝ่ามือของตัวเองเช่นกัน

‘นี่ไม่นับว่าอยู่ในขอบเขตวรยุทธ์แล้วกระมัง!?’ ลู่เซิ่งอุทานในใจ ‘ต่อให้ออกแรงมากกว่านี้ คิดปะทะกับฝ่ามือที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ นั่นมิใช่ถูกลวกสุกกลายเป็นแผลพุพองทุกวินาทีหรอกหรือ มือนี้ไม่ต่างอะไรกับเครื่องหลอมเหล็ก’

เขาชักนำปราณภายในกลับมา พิจารณารอยฝ่ามือบนต้นไม้ พบว่ารอยฝ่ามือสีดำเกรียมนี้คล้ายไม่ใช่อาศัยความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ว่าส่วนใหญ่อาศัยพิษบางชนิด ใช้การกัดกร่อนเผาลำต้นไม้ จึงก่อเกิดผลเช่นนี้

ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็สุดยอดมากแล้ว

‘ไม่รู้ว่าพลังของเราในตอนนี้เทียบกับคนมีชื่อเสียงเหล่านั้นแล้วเป็นอย่างไร’ ลู่เซิ่งพึงพอใจ แต่ไม่มีตัวเปรียบเทียบอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่ทราบว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหน

‘นอกจากนี้ในบ้านก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรแล้ว เพิ่งขอเงินกับทางบ้านไปไม่น้อย ตอนนี้อยู่ในช่วงโยกย้าย ไม่อาจเพิ่มภาระแก่ท่านพ่อ เราคิดหาวิธีเองดีกว่า’

ลู่เซิ่งครุ่นคิด รวมกับสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ กลับทำให้เขาคิดหาวิธีดีๆ ออกจริงๆ แต่ว่าวิธีนี้ต้องรอหลังจากการทดสอบประจำปีก่อนถึงจะกระทำได้

การทดสอบประจำปีคืออีกสามวันให้หลัง

‘สามวันให้หลังจะเป็นการทดสอบประจำปี หลังจากสอบผ่านแล้ว ค่อยเริ่มทำให้ความคิดก่อนหน้ากลายเป็นจริง ไม่อย่างนั้นที่บ้านขาดเงิน แม้แต่ยาบำรุงก็ไม่อาจรับประกัน’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าช่วงนี้ยาบำรุงมีไม่เพียงพอบ้างแล้ว ถึงมีปราณภายในหล่อเลี้ยงชีวิตเก็บสำรองไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการฟื้นฟูของปราณภายในหล่อเลี้ยงชีวิตช้าลง ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะส่งผลต่อการฝึกวรยุทธ์

‘ยังมีปราณหยิน… หรือว่าทุกครั้งเราต้องเจอเรื่องยุ่งยากสักครั้งถึงจะหาเจอ’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงหยกแขวนบนตัวเฉินเจียวหรง ในใจมีความคิดบางประการ

‘ช่างเถอะ กลับไปทบทวนดูก่อน ผ่านการทดสอบประจำปีค่อยว่ากัน’ ถึงจะไม่สนใจการเป็นขุนนาง แต่อย่างไรก็เป็นความคาดหวังของท่านพ่อกับมารดารอง’

สามวันให้หลัง สถานศึกษาเขาบูรพา

ขอบฟ้าขาวดั่งท้องปลา นักศึกษากลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่รออยู่ที่ประตูสถานศึกษา

นักศึกษาจำนวนมากสวมเสื้อยาวสีขาวเทา บาคนสวมเสื้อยาวสีขาวหรือไม่ก็เสื้อสีเขียว ทั้งหมดมารวมตัวกันที่หน้าประตูใหญ่ของสถานศึกษา สนทนาโหวกเหวกกันถึงเนื้อหาหัวข้อที่อาจเปิดสอบ

กลางกลุ่มคน รถม้าจำนวนไม่น้อยจอดกระจายกันอยู่ข้างทางและหัวมุม ม่านรถม้าเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่บ้างหนุ่มบ้างแก่

พวกเขาบางคนเป็นครอบครัวที่มารอผู้เข้าสอบ ทว่าส่วนใหญ่เป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่บ้านร่ำรวยสูงศักดิ์ ไม่อยากยืนกับนักศึกษายากจนธรรมดาด้านนอก จึงสงบใจพักผ่อนอ่านหนังสืออยู่ในรถ

ลู่เซิ่งใส่เสื้อคลุมสีขาวนวล ศีรษะสวมหมวกทรงสูงสีดำเหมือนองครักษ์เสื้อแพรใบหนึ่ง คลุมส่วนหัวทั้งหมด มีแต่มองออกรางๆ จากจอนของเขาว่าเขาไม่มีเส้นผมแล้ว

เขาพิงอยู่ในร่มเงาคนเดียวข้างประตูสถานศึกษา ไม่พูดไม่จา หลับตาทำสมาธิรอคอยการเปิดสอบอย่างสงบ

ไม่ทันไรรถม้าสีขาวคันหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามา มีสองคนลงจากตัวรถ คนหนึ่งเป็นคนอ้วนอาภรณ์เหลืองพุงโต อีกคนเป็นสตรีงดงามที่ร่างกายอ้อนแอ้น

ทั้งสองคนลงจากรถ ก็กวาดตามองหาคนคุ้นเคยไปทั่ว

คนอ้วนผู้นั้นกวาดตามองรอบหนึ่ง ก็เห็นลู่เซิ่งที่อยู่ในมุม ตาเป็นประกาย

“พี่เซิ่ง!” คนอ้วนยกมือตะโกน วิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้น

“เจิ้งเสี่ยนกุ้ย…” ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นอย่างจนใจและระอา มองคนอ้วนที่รีบวิ่งเข้าใกล้ “กลางสายตาคนหมู่มาก เบาเสียงรักษาความเหมาะสมหน่อยได้หรือไม่”

“เหมาะสมหรือ ผายลม ข้านายท่านอ้วนมีนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว ใครรู้สึกขัดนัยน์ตาก็เข้ามา!” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่เจอกันพักหนึ่งเขากลับเริ่มเรียกตัวเองว่านายท่านอ้วนแล้ว

“เป็นอย่างไร มั่นใจหรือไม่” ลู่เซิ่งถาม

“ยังดีๆ…” พอพูดถึงเรื่องนี้ เจิ้งเสี่ยนกุ้ยพลันหัวเราะเจื่อนสองคำ เขากระเถิบเข้าใกล้ มองซ้ายมองขวา ลดเสียงลงราวกับเป็นโจร “ครั้งนี้อยู่ที่น้องของข้า ข้านายท่านอ้วนไม่ไหว…”

“สวัสดีพี่เซิ่ง” เจิ้งอวี่เอ๋อร์น้องสาวของเจิ้งเสี่ยนกุ้ยเข้ามาทักทายอย่างรู้ความ นางสวมเสื้อตัวยาวแบบสตรี ในความงามแฝงความมีมารยาทและการศึกษา

“ทดสอบสามวิชา เนื้อหาคำคัมภีร์ การถกกลยุทธ์ การทหาร เจ้ามั่นใจวิชาไหน” ลู่เซิ่งถามอย่างหมดคำพูด

“ตอนเด็กยังจดจำได้นิดหน่อย ตอนนี้หรือ… แหะๆ ลืมไปหมดแล้ว…” เจ้าอ้วนหัวเราะแห้ง

ลู่เซิ่งเอือมระอา สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรนอกจากท่องจุดสำคัญในแบบเรียนทั้งหมด ทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง จากนั้นเพิ่มแนวคิดของตัวเอง เมื่อทำถึงขั้นนี้ได้ การผ่านขั้นพื้นฐานไม่มีปัญหา เพียงแต่หากอยากได้อันดับแรกก็ยากยิ่งแล้ว กระนั้นอย่างไรเขาก็เพียงคิดหลอกลวงที่บ้าน ผ่านได้ก็ดี

“ดูเหมือนพี่เซิ่งมีไผ่สำเร็จในใจแล้ว” เจิ้งอวี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เช่นนั้นท่านพาพี่ข้าไปด้วย ดูสภาพเขาไม่น่าผ่านแล้ว”

“ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ไม่มีปรารถนา สนามสอบคราวนี้เลือกสถานศึกษาเขาบูรพาของพวกเรา แม้แต่ประตูก็ไม่ต้องออก การเปิดสอบที่สถานศึกษานี้ กลับสะดวกสบายมาก” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย

“พี่ลู่ไม่เจอกันนาน” เฉินเจียวหรงเดินลงจากรถม้าหรูหราคันหนึ่ง เห็นคนทางด้านนี้ จึงเข้ามาทักทาย

“ครั้งก่อนทั้งหมดพึ่งพาท่านแล้ว ไม่งั้นข้าคงรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ไม่ได้จริงๆ” เขายิ้มฝาดเฝื่อน

“สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำบ่อยๆ หรอก” ลู่เซิ่งโบกมือ “จะว่าไปการทดสอบประจำปีครั้งนี้เหตุใดไม่เห็นพี่เจิ้นกั๋ว”

“เขาหรือ” เฉินเจียวหรงส่ายหน้า “ถูกเลือกออกไปตรวจสอบ เข้าไปนานแล้ว ช่วงนี้ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใด หมอนั่นเหมือนได้รับการกระตุ้นสักอย่าง คล้ายกับเปิดจุดทวาร เนื้อหาคำภีร์ การถกกลยุทธ์ยิ่งมายิ่งแม่นยำช่ำชอง ครั้งนี้เกรงว่าจะสอบได้”

“จริงหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย นึกว่าหลังจากซ่งเจิ้นกั๋วเจอเรื่องของจวินเอ๋อร์จะโศกเศร้าผิดหวัง คิดไม่ถึงว่าฮึดสู้ขึ้นมาแล้ว

………………………………………….