บทที่ 52 ทิศทาง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ขณะคุยกัน ลู่เซิ่งแนะนำเจิ้งเสี่ยนกุ้ยแก่เฉินเจียวหรง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจตระกูลเจิ้งอย่างชัดเจน

สำหรับเขาแล้ว บุตรชายของเจ้าเมืองชนบทที่เป็นเมืองเล็กๆ ชายแดนคนหนึ่ง แม้แต่คุณสมบัติเข้ากลุ่มของเขาก็ยังไม่มี

ต่อให้เป็นลู่เซิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวของเขาพูดชมเชยอยู่ข้างหูทุกวี่วัน เขาก็ไม่จดจำคนผู้นี้ใส่ใจจริงๆ แน่นอนว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ลู่เซิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง หลังจบเรื่องเขาก็ไปถามไถ่ไม่น้อย ต่างบอกกันว่าเรือสำราญลำนั้นเกิดไฟไหม้ อยู่ห่างสิบกว่าลี้ยังเห็นแสงไฟได้

หลังเขารู้เบื้องหลังก็เหงื่อกาฬหลั่งไหล จนถึงตอนนี้ยังไม่กล้าขึ้นเรือสำราญลำใด ในใจมีปมแล้ว

หลังจากเจิ้งเสี่ยนกุ้ยทราบสถานะของอีกฝ่าย ก็ทำท่ากระตือรือร้น ต้องการประจบประแจง ทำให้เจิ้งอวี่เอ๋อร์กับลู่เซิ่งทนมองไม่ไหว แต่ก็ทราบว่าเขาเป็นคนแบบนี้ ตามคำพูดของเขาเอง หดได้ยืดได้จึงเป็นลูกผู้ชาย

ขณะคุยกัน ลู่เซิ่งค่อยๆ ฟังเป็นหลัก บางครั้งจึงขานรับ ทุกคนต่างทราบนิสัยของเขาจึงไม่ถือสา

ลู่เซิ่งทางหนึ่งฟังทางหนึ่งกวาดตามองกลุ่มคน อยู่ๆ สายตาก็หยุดนิ่ง เห็นขอทานเฒ่าคนหนึ่งที่ขดตัวอยู่ในหัวมุม

ขอทานเฒ่าผู้นี้แตกต่างจากคนธรรมดาอยู่บ้าง แม้ตอนนี้เป็นหน้าร้อน แต่ว่าที่นี่คือสถานศึกษาเขาบูรพา อยู่ใต้ตีนเขาบูรพา ปกติเย็นเยียบชื้นแฉะ ต่อให้เป็นหน้าร้อนพื้นก็เย็นเฉียบ มีความชื้นมาก

ทว่าขอทานเฒ่าผู้นี้กลับต่างจากคนอื่น ด้านข้างเขาวางเสื้อนวมขาดผืนหนึ่ง แต่บนตัวเขากลับสวมเสื้อบางมีรูผืนหนึ่ง พื้นเย็นแบบนี้ กลับวางผ้านวมไว้ด้านข้างไม่สวมใส่

หนำซ้ำด้วยสายตาของลู่เซิ่ง สามารถมองเห็นขอทานผู้นี้เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ปากพึมพำ ไม่ทราบว่ากำลังพูดอะไร สองตาซึมเซา

ลู่เซิ่งเพ่งพินิจขอทานผู้นี้ พลันเกิดความรู้สึกประหลาด… เหมือนกับ… เหมือนกับขอทานคนนี้คล้ายกับเขายิ่ง

‘อายุของเขาอาจหกเจ็ดสิบแล้ว รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับเราโดยสิ้นเชิง ทำไมจึงมีความรู้สึกคล้ายกัน’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย อาศัยเวลาตอนเฉินเจียวหรงเกิดความสนใจในตัวเจิ้งอวี่เอ๋อร์ เริ่มสนทนากับนาง เขาก็เดินไปหาขอทานเฒ่าผู้นั้น

ตรึกตรองว่าทำตามพฤติการณ์ที่แล้วมาของเขา ไม่ลีลาท่าเยอะแม้แต่น้อย

เดินมาถึงหน้าขอทานเฒ่า เงาบนร่างลู่เซิ่งบังร่างคนผู้นี้มากกว่าครึ่ง

“ท่านผู้เฒ่าที่นี่เย็นขนาดนี้ ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ท่านร้อนมากหรือ”

ขอทานเฒ่าผู้นั้นเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ในดวงตาฟ้าฟางขุ่นมัว

“ร้อน… ร้อน… ไม่ร้อนหรือ ร้อนไหม ไม่ร้อนหรือ ร้อนไหม…” เขาเริ่มพึมพำ ดูเหมือนสติไม่สมประกอบแล้ว

ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ส่ายศีรษะกำลังจะเดินจากไป

“ท่านเคยเจอผีมา!” ทันใดนั้นขอทานเฒ่าผู้นั้นพูดเสียงดัง “ร่างกึ่งหยิน ร่างกึ่งหยิน… ข้าเองก็เป็นร่างกึ่งหยิน เจอผีมามาก ทั้งเคยโดนสิง… ท่านเหมือนกับข้า เหมือนกับข้า… ฮ่า… ฮ่าๆๆ…” ขอทานเฒ่าพูดไปพูดมาก็หัวเราะอย่างโง่งม

‘ร่างกึ่งหยินหรือ’ ลู่เซิ่งพลันงงงัน หยุดเท้าพิจารณาขอทานเฒ่าอย่างละเอียด

มองออกว่าเครื่องแต่งกายบนตัวคนผู้นี้เมื่อก่อนเคยไม่เลวยิ่ง ไม่นับเป็นเศรษฐีก็เป็นตระกูลระดับกลาง เหตุใดจึงตกต่ำถึงขั้นนี้

“อะไรคือร่างกึ่งหยิน” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม สนใจบ้างแล้ว

ขอทานเฒ่าผู้นี้หยุดครู่หนึ่ง ปากก็เริ่มบ่นไปเรื่อย สักพักหนึ่งความขุ่นมัวในดวงตาของเขาหายไปเล็กน้อย คล้ายกับได้สติขึ้นบ้าง พินิจดูลู่เซิ่งอย่างละเอียด กล่าวขาดๆ ไม่ปะติดปะต่อ

“ท่านเหมือนข้า… ต่างเป็นร่างกึ่งหยิน…. คนที่ถูกผีสิงตอนเป็นเด็ก เจอผีมามากมาย เพราะคุณสมบัติร่างนี้… จะตาย… จะดึงดูดผีมาหา… จะตาย…”

ลู่เซิ่งรับฟังจนงุนงง แต่ขณะมองขอทานเฒ่าผู้นี้มักเกิดความรู้สึกว่าเขาเหมือนกับตนยิ่ง ความรู้สึกนี้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาหากเป็นบางอย่างด้านในคล้ายคลึงกันมาก

หรือว่านี่เป็นคุณสมบัติของร่างที่ขอทานผู้นี้พูดถึง คุณสมบัติร่างกึ่งหยินหรือ

เขากังขาขึ้นมา

“เหอะๆๆ…” ครั้งนี้ขอทานเฒ่าผู้นั้นหัวเราะอย่างโง่งม ชี้ลู่เซิ่งหัวเราะร่า “กึ่งหยิน ดึงดูดผีมาหา… กึ่งหยิน… กึ่งหยิน…” เขาเริ่มทวนสองคำนี้ไม่หยุด

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมองเขา ถามอีกหลายคำถาม ขอทานเฒ่าเพียงพูดซ้ำคำว่ากึ่งหยิน ภายหลังก็ไม่พูดอะไรแล้ว

เต๊ง…!

สนามทดสอบเริ่มแล้ว

ลู่เซิ่งจนปัญญา ได้แต่หมุนตัวเดินไปยังประตูใหญ่สถานศึกษา

การทดสอบประจำปีเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว

การสอบประจำปีแบ่งเป็นสามสนาม กินดื่มขับถ่ายล้วนทำในสนามสอบ ไม่อนุญาตให้ออกด้านนอก รอจนลู่เซิ่งสอบเสร็จออกมา ก็เป็นบ่ายวันที่สองแล้ว

ผู้เข้าร่วมสอบหลายกลุ่มเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ เดินออกจากประตูสถานศึกษา

ลู่เซิ่งกลับดูเหมือนสติครบถ้วน ในฐานะยอดฝีมือที่ฝึกกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกัน การสิ้นเปลืองพลังแค่นี้ย่อมไม่ส่งผลต่อเขาแม้แต่น้อย

พอออกมา เขาก็มองไปตำแหน่งที่ขอทานเฒ่านั้นอยู่ ไม่เห็นคนอย่างที่คิดไว้

‘ร่างกึ่งหยิน…’ คำคำนี้สะท้อนในใจเขาต่อเนื่อง ‘ถ้าเป็นไปตามที่ขอทานเฒ่าคนนั้นพูด ร่างกึ่งหยินก็คือคนที่เจอผีมาเยอะ อย่างนั้นเรานับว่ามีคุณสมบัติร่างชนิดนี้จริงๆ’

ใคร่ครวญดู เรื่องนี้อาจต้องหาคนถามไถ่จริงๆ แล้ว

‘คนที่เจอผีมามาก คนแบบไหนมีความเป็นไปได้มากที่สุด’ ลู่เซิ่งครุ่นคิด ไม่ทันไรก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง

ครั้งนี้พวกเจิ้งเสี่ยนกุ้ยออกมาแล้ว ต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด ขุ่นข้องแค้นใจ เห็นได้ชัดว่าโจทย์ข้อสอบครั้งนี้ยากยิ่ง

เฉินเจียวหรงก็เป็นเหมือนกับ นิ่วหน้าเดินออกมา คนที่มากับเขายังมีเฉินอวิ๋นซี นางมองลู่เซิ่ง หลบอยู่หลังพี่ชายด้วยสีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง คล้ายรู้สึกละอายเล็กน้อย

ลู่เซิ่งลูบขนคิ้วที่โดนเผาจนหมดของตัวเอง ยิ้มเฝื่อนอยู่บ้าง เขากลับหวังให้เฉินอวิ๋นซีทิ้งตัวเองไปเพราะตนขนคิ้วโดนเผา

ภายหลังซ่งเจิ้นกั๋วก็ออกมา ลู่เซิ่งสนทนากับเฉินเจียวหรงสองพี่น้องสองสามประโยค หลังจากส่งพวกเขา ก็ไปหาร้านอาหารในเมือง กินอาหารเย็นกับพี่น้องตระกูลเจิ้งรวมถึงซ่งเจิ้นกั๋ว

กินถึงตอนค่ำ ลู่เซิ่งแยกย้ายกับพวกเขา มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ภูเขานอกเมือง

ฝั่งซ้ายด้านนอกเมืองเลียบคีรีเป็นแนวเขาขนาดมหึมาที่ยืดยาวสูงต่ำ ถูกเรียกว่าภูผาเขากวาง ได้ชื่อนี้เพราะรูปร่างเหมือนเขากวาง

ใต้ภูผาเขากวางเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่สุดรอบๆ คูเมือง เรียกว่าสวนหมื่นอุดม

ลู่เซิ่งอาศัยเวลาตอนเพิ่งค่ำไปยังสวนหมื่นอุดม เจอสัปเหร่อเฝ้าสวนคนหนึ่งที่ประตูใหญ่

สัปเหร่อเป็นคนแก่ขาเป๋ สวมเสื้อเรียบร้อยแต่เก่าขาด ใบหน้าเป็นสีเขียวจางๆ อยู่ตลอด ไม่ทราบว่าปกติไม่เห็นแสงอาทิตย์ หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอย่างอื่น

“ร่างกึ่งหยินหรือ” ได้ยินคำถามของลู่เซิ่ง ตาเฒ่าก็เขย่าถุงสุราที่ถือไว้ มองลู่เซิ่งขึ้นๆ ลงๆ กะน้ำหนักเหรียญเงินที่ได้มาในมือ

“น้องชายไปเจอสิ่งไม่สะอาดเข้ากระมัง มีเรื่องเล่าเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่ปกติไม่เรียกร่างกึ่งหยิน พวกเราเรียกคนที่เจอผีมามากว่า ถุงห่อหยาง”

“ถุงห่อหยาง” ลู่เซิ่งทวน คิ้วขมวด “มีสถานการณ์แบบนี้จริงๆ หรือ”

ตาเฒ่ามองลู่เซิ่งจุ๊ปากประหลาดใจ

“ย่อมมี กล่าวตามจริง ข้าอยู่มานานหลายปี เจอคนมาไม่รู้กี่คน ถุงห่อหยางก็เห็นมามากมาย แต่อยู่ไม่นานก็ตายจากสภาพคุณชายท่าน สมควรเพิ่งกลายเป็นถุงห่อหยาง เวลาไม่นานเท่าไหร่ แถมก่อนหน้านี้เพิ่งเจอสิ่งไม่สะอาดกระมัง”

ลู่เซิ่งงุนงง คิดไม่ถึงสัปเหร่อถึงกับทราบไม่น้อย พยักหน้าตอบ “ใช่ ก่อนหน้านี้เจอสิ่งไม่สะอาด นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ขอถามท่านผู้เฒ่า ถุงห่อหยางมีปัญหาอันใดหรือ”

“ไม่ทราบ แต่ว่ากันว่าถุงห่อหยางจะดึงดูดผีมาหา ดังนั้นอายุไม่ยืน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเล่า ท่านฟังหูไว้หู อย่าได้ยึดถือเป็นจริง สมควรใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น” ชายชราโบกมือเอ่ย “อีกเดี๋ยวไปนิมนต์พระเชิญนักพรตมาทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย สมควรมีประโยชน์”

นิมนต์พระหรือ ลู่เซิ่งส่ายหน้าในใจ หากเขาไปหาพระสงฆ์ในวัดจำนวนหนึ่งรอบๆ ต่างเป็นแค่พวกตุ้มตุ๋น ไม่มีความสามารถแท้จริงอันใด

ถ้าหากพระสงฆ์พวกนั้นจับผีได้ เช่นนั้นเขาใช้ฝ่ามือเดียวก็ตบภูตผีนับไม่ถ้วนจนตายได้แล้ว

“ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีวิธีการอย่างอื่นอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถามต่อ เขาอยากรู้ว่าคนธรรมดาในสถานการณ์ที่ไม่มีพลังยุทธ์เหมือนเขา จะหาหนทางใดมาป้องกันตัวเอง

สัปเหร่อผู้นี้หัวเราะเหอะๆ มองลู่เซิ่งอย่างเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง

“วิธีหรือ… ไม่ใช่ไม่มี เห็นแก่ที่คุณชายให้เงินข้ามากขนาดนี้ ข้าจะชี้แนะทางสว่างให้แก่ท่าน”

“ทางสว่างอะไร”

สัปเหร่อหัวเราะ เงยหน้าขึ้นดื่มสุราชั้นเลว พ่นกลิ่นสุราเต็มปากออกมา

“เมืองเลียบคีรีมีหนึ่งพรรคสองชุมนุมสามสำนัก ข้ามีหลานคนหนึ่ง เคยเข้าพรรคหนึ่งในนี้ เป็นพรรควาฬแดง น่าเสียดายภายหลังเกิดความขัดแย้งจึงตายไปแล้ว แต่ว่าเส้นทางนี้กลับเหลือไว้”

เขาพูดจบก็มองลู่เซิ่งด้วยใบหน้าคาดหวัง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเขาแสดงท่าที

ลู่เซิ่งมาเมืองเลียบคีรีนานขนาดนี้ เพิ่งได้ยินถึงหนึ่งพรรคสองชุมนุมสามสำนักเป็นครั้งแรก แต่พอได้ยินชื่อพรรควาฬแดงก็ฉุกใจ นี่ไม่ใช่พรรควาฬแดงที่ตวนมู่หว่านเคยพูดถึงหรอกหรือ

ตวนมู่หว่านลี้ลับยากหยั่งคาด ในเมื่อนางบอกว่าวิชาของพรรควาฬแดงแข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ นั่นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ผิดพลาด สิ่งที่เขายังขาดในตอนนี้ไม่ใช่วิชาธรรมดา หากต้องเป็นวิชาที่ร้ายกาจมากพอ วิทยายุทธ์วิชากำลังภายในทั่วไปสำหรับเขาในตอนนี้ ไม่มีส่วนช่วยเท่าไหร่แล้ว

มาถึงระดับของเขาในปัจจุบัน มีเพียงหาวิชาที่แข็งแกร่ง ทางที่ดีที่สุดสามารถแทนที่วิชาทมิฬพิฆาตได้ เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่ต้องใช้ปราณหยิน ก็ยกระดับขอบเขต เพิ่มขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องได้โดยตรง

ถึงอย่างไรวิชาทมิฬพิฆาตมีแค่ไม่กี่ระดับ ของอย่างปราณหยินก็… ดูเหมือนว่าดูดซับมากไปก็มีผลข้างเคียง

“แต่ท่านผู้เฒ่า ข้ามาเมืองเลียบคีรีนานขนาดนี้ เหตุใดไม่เคยได้ยินชื่อพรรควาฬแดง ท่านไม่ใช่กำลังข่มขู่ข้ากระมัง” ลู่เซิ่งถามกลับ

สัปเหร่อยิ้มเจ้าเล่ห์

“พวกเขาต่างเป็นกลุ่มลับ กลุ่มลับคืออะไรหรือ คือที่ที่คนธรรมดาไม่เห็น เรียกว่าที่ลับ โรงพนัน หอคณิกา ตลาดมืด ตลาดผี ถนนทุกสาย อาณาเขตทุกอาณาเขตในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ ต่างมีเงาของพวกเขา คุณชายท่านเพียงมองก็รู้ว่าไม่ใช่คนขาดเงินทอง ยามปกติอาจไม่เคยสังเกต แต่คนทั่วไปแตกต่างแล้ว โจร การปล้นชิง การปล่อยกู้ การเก็บค่าคุ้มครอง คดีร้ายแรง การหลอกลวง เรื่องชั่วๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา”

ลู่เซิ่งพอฟังก็กระจ่าง พรรควาฬแดงนี้ความจริงคือกลุ่มลับพรรคลับ เพียงแต่ลึกลับไปบ้างเท่านั้น

เขาครุ่นคิด ล้วงเศษเงินหนึ่งตำลึงมาให้ตาเฒ่า นับเป็นของขวัญขอบคุณ

“คุณชายท่านนี้คุยรู้เรื่อง!” ชายชราพลันยิ้มหน้าบาน “ในพรรควาฬแดงนี้มีคนแกร่งไม่น้อย ว่ากันว่ายังเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ช่วยทางการดูแล รักษาความปลอดภัยของเมืองเลียบคีรี คิดว่าด้านในจะต้องมีคนและมีวิธีการที่ช่วยจัดการคุณสมบัติในร่างของคุณชายได้”

ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่เขานึกถึงคือวิชาที่แกร่งกว่า ถ้าปะปนเข้าพรรควาฬแดงได้ อาจจะได้วิชาที่ร้ายกาจกว่าวิชาทมิฬพิฆาตมา

………………………………………….