ตอนที่ 60-1 การลอบสังหารในป่าไผ่

ชายาเคียงหทัย

“ความหมายของฝ่าบาทคือ ให้องค์หญิงซีสยาแต่งเข้าวัง ส่วนองค์หญิงหลิงอวิ๋นพระราชทานสมรสให้กับหลีอ๋อง” 

 

 

           เยี่ยหลีรีบหันไปมองเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ข้างกายม่อจิ่งหลี ก็เห็นนางกำลังจ้ององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยใบหน้าบึ้งตึงอยู่ ทางด้านแคว้นหนานจ้าว สีหน้าขององค์หญิงซีสยาก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ส่วนสีหน้าของม่อจิ่งหลีก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย จ้องมององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ดูน่าสงสารด้วยสีหน้านิ่งขรึม เยี่ยหลีมองไปทางม่อจิ่งฉีที่ดูจะพออกพอใจกับการจัดการของตนเองอย่างครุ่นคิด  นางไม่ค่อยเข้าใจนักว่าฮ่องเต้พระองค์นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ หรือจะเป็นเพียงเพราะองค์หญิงหลิงอวิ๋นทำให้พระองค์โกรธจึงได้พระราชทานนางให้สมรสกับหลีอ๋อง แต่องค์หญิงซีสยามาอยู่ที่ต้าฉู่ได้หลายเดือนแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่มีทางไม่ทราบข่าวลือในเมืองหลวงเรื่องม่อจิ่งหลีและองค์หญิงซีสยาแน่นอน 

 

 

           “ฝ่าบาทมิอาจให้จิ่งหลีมีความสัมพันธ์ใดๆ กับหนานจ้าวได้อีก ต่อให้ไม่มีองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็ไม่มีทางพระราชทานองค์หญิงซีสยาให้แต่งงานกับเขาเป็นอันขาด” ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเยี่ยหลีนึกสงสัยเรื่องอะไรอยู่ ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยให้นางฟังเรียบๆ “แคว้นหนานจ้าวเป็นพวกหยาบช้า บอกว่าแคว้นตนเองประชาชนอ่อนแอ แต่เอาเข้าจริงจิตใจห้าวหาญนัก ติดแค่มีจำนวนประชากรน้อย ทำให้ยากที่จะเป็นใหญ่ขึ้นมาได้”  

 

 

เยี่ยหลีกระซิบเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องการให้หลีอ๋องกับแคว้นหนานจ้าวสานสัมพันธ์กันหรือ แต่ดูเหมือนว่าแคว้นซีหลิงจะเข้มแข็งกว่าแคว้นหนานจ้าว”  

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “แคว้นซีหลิงกับต้าฉู่มีความแค้นกันมาแต่ไหนแต่ไร นอกเสียจากม่อจิ่งหลีจะคิดกบฎ มิเช่นนั้นแล้วแคว้นซีหลิงก็ไม่สามารถเอื้อประโยชน์อันใดให้แก่เขาได้ อีกอย่าง…ฝ่าบาทไม่ต้องการให้มีพระโอรสที่เป็นสายเลือดของพระองค์มีเชื้อสายแคว้นซีหลิงอยู่อย่างแน่นอน” 

 

 

           เยี่ยหลีเข้าใจในบัดดล มองม่อจิ่งหลีด้วยความเห็นใจ ดูท่าน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้คนนี้ คงทำให้พี่ชายผู้เป็นฮ่องเต้วางใจไม่ได้มากนักสินะ 

 

 

           ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “อาหลี เจ้าใจอ่อนเกินไป ในบรรดาเชื้อพระวงค์ไม่เคยมีใครที่ไม่ทะเยอทะยาน” 

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป ไตร่ตรองคำพูดของม่อซิวเหยาอย่างละเอียด สายตาที่มองไปทางม่อซิวเหยาดูใช้ความคิดอย่างหนัก เพียงแต่…ในหัวของม่อจิ่งหลีฉลาดพอที่จะคิดอะไรซับซ้อนเช่นนั้นเชียวหรือ หรือว่าเขาเล่นละครมาโดยตลอดกันแน่นะ 

 

 

           เมื่อกลับถึงตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อยู่ในวังแค่เพียงครึ่งวัน แต่กลับรู้สึกเหนื่อยกว่าทั้งเดือนรวมกันเสียอีก หลังจากแยกกับม่อซิวเหยาแล้ว เยี่ยหลีกลับเข้าเรือนของตน หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวก็พาคนออกมาต้อนรับทันที ดูท่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังเมื่อตอนบ่ายคงมาถึงในตำหนักแล้ว หมัวมัวทั้งสองสำรวจเยี่ยหลีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีจึงค่อยวางใจลง เยี่ยหลีร้องขอของว่างยามดึก หลินหมัวมัวจึงโบกมือให้คนนำอาหารเข้ามา เป็นโจ๊กไก่ที่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ก่อนแล้ว เยี่ยหลีมองโจ๊กไก่ตรงหน้าที่แทบจะพอกินได้สามคน “หมัวมัว ถึงแม้ข้าจะหิวมาก แต่ก็ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะกินจุถึงเพียงนี้หรอกนะ” 

 

 

           เว่ยหมัวมัวเหลือบมองนางด้วยความไม่พอใจ “พระชายา ท่านคิดว่ามีท่านคนเดียวหรือที่หิว” 

 

 

           เยี่ยหลีกะพริบตาอย่างงงงวย พวกชิงหลวนต่างก็ออกไปกินข้าวกันแล้วนี่นา 

 

 

           เว่ยหมัวมัวยัดถาดโจ๊กไก่ใส่มือเยี่ยหลีด้วยสีหน้าผิดหวังเป็นที่สุด “ท่านอ๋องเข้าห้องหนังสือไปแล้ว พระชายานำโจ๊กไปส่งแล้วอยู่กินกับท่านอ๋องเถิดเพคะ” 

 

 

           “เรื่องนี้…ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้ใครเอาไปส่งให้อาจิ่นก็พอ” 

 

 

           “พระชายา!” หลินหมัวมัวจ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเป็นภรรยาของท่านอ๋องนะเพคะ เรื่องส่งของว่างมื้อดึกเช่นนี้จะให้คนอื่นทำได้อย่างไร หรือว่าเมื่อตอนอยู่ที่บ้านตระกูลสวี ฮูหยินรองจะลืมสอนท่านเรื่องหน้าที่ของภรรยา” 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลินหมัวมัวเตรียมจะอบรมนางอีกชุดใหญ่ เยี่ยหลีจึงรีบยกถาดโจ๊กขึ้น “หมัวมัว ข้ารู้แล้ว ข้าจะนำไปให้ท่านอ๋องเดียวนี้” ไม่รอให้หลินหมัวมัวว่าอะไรอีก นางรีบยกถาดโจ๊กเดินตัวปลิวออกไปทันที เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนช่างน่าสงสารยิ่งนัก หมัวมัวทั้งสองเอาแต่พร่ำสอนนางไม่หยุด แต่เมื่อเทียบกับแม่นมแล้ว เยี่ยหลีนึกกลัวหลินหมัวมัวที่รับใช้ข้างกายท่านแม่มามากกว่า หากนางเริ่มเอ่ยปากเมื่อใด เป็นต้องได้อ้างคำสอนโน้นนี้ทั้งทฤษฎี ทั้งหลักการ จนทำให้นางได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด คนทั่วไปไม่มีทางรับการต่อว่าทั้งทางวาจาและจิตใจเช่นนี้ได้แน่นอน 

 

 

           นางได้แต่ยกของว่างมื้อดึกไปตามทางเดินของตำหนัก สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังต่างทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างรู้งาน ม่อซิวเหยายังคงพักอยู่เรือนเดิมที่เขาเคยอยู่ก่อนแต่งงาน ซี่งเป็นเรือนที่อยู่ติดกับเรือนของเยี่ยหลี ดังนั้นเยี่ยหลียังนึกบ่นไม่ทันเสร็จดีก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของม่อซิวเหยาแล้ว ในขณะที่กำลังจะเคาะประตูนั้น ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาลอยออกมาจากในห้องว่า “อาหลีหรือ เข้ามาสิ” 

 

 

           นางผลักประตูเข้าไป ม่อซิวเหยากำลังถือพู่กันเขียนอะไรอยู่ใต้แสงเทียน เมื่อเห็นเยี่ยหลีเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมอง “เหตุใดจึงมาที่นี่ เจ้าไม่พักผ่อนหรือ” 

 

 

           เยี่ยหลีเดินเข้าไปก่อนวางของลงที่ฟากหนึ่ง “รบกวนท่านหรือเปล่า” 

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า มองของที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เจ้านำมื้อดึกมาให้ข้าหรือ” 

 

 

           ไม่รู้ทำไมเยี่ยหลีจึงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา พยายามบังคับน้ำเสียงที่เอ่ยถามให้เป็นปกติ “ทำไม ข้ามาส่งมือดึกให้ท่านไม่ได้หรือ” 

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า วางพู่กันในมือลง “ข้าเพียงแค่ประหลาดใจว่าเหตุใดอาหลีถึงได้มาส่งมื้อดึกให้ข้าด้วยตนเองเช่นนี้ อืม…มิน่าข้ากลับมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใครนำอาหารมาให้ข้าเลย ที่แท้ พอแต่งพระชายาเข้ามา คนอื่นก็ขี้เกียจจะใส่ใจข้าเสียแล้ว”  

 

 

เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาใส่เขา “ท่านจะกินหรือไม่กิน”  

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พระชายานำมาให้ด้วยตนเองเช่นนี้จะไม่กินได้อย่างไร” 

 

 

           ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ เยี่ยหลีหยิบชามมาสองใบ ก่อนตักโจ๊กชามหนึ่งส่งให้ม่อซิวเหยา ถึงแม้หลายวันนี้ทั้งสองคนจะกินข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน แต่การกินมื้อดึกด้วยกันเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรก ระหว่างที่กินโจ๊ก ม่อซิวเหยาก็คิดอะไรไปด้วย “พรุ่งนี้หากไม่มีเรื่องอะไร ไปพบพี่สะใภ้ใหญ่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”  

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ถึงเวลาควรไปคารวะพี่สะใภ้ใหญ่เสียที หวังว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ถือโทษข้านะ”  

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” 

 

 

           “แล้วข้าต้องเตรียมอะไรหรือไม่” เยี่ยหลีถาม 

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกเราแค่ไปพบพี่สะใภ้ใหญ่ก็พอแล้ว” 

 

 

           เมื่อนึกถึงพี่สะใภ้ใหญ่ผู้เก็บตัวแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกถอนใจ สตรีคนหนึ่งทำให้ตนเองต้องใช้ชีวิตอย่างแห้งเ**่ยวในช่วงอายุที่งดงามที่สุดเช่นนั้น ทำให้นางอดรู้สึกเสียดายไม่ได้จริงๆ 

 

 

           “นางกำนัลเมื่อคืนนี้ท่านจัดการอย่างไรหรือ” เยี่ยหลีถามถึงนางกำนัลที่เข้ามาขวางทางนางคนนั้น  

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่นางกำนัลของวังหลวง” 

 

 

           “ไม่ใช่หรือ” เยี่ยหลีตกใจ วังหลวงกลายเป็นสถานที่ที่ให้คนนอกเข้าออกได้ตามใจตั้งแต่เมื่อไรกัน ตอนกลางคืนฮ่องเต้นอนหลับสนิทได้หรือ  

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ไม่ใช่นางกำนัลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีนางกำนัล แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่คนของวังหลวง คนในวังที่พอมีความสามารถมักมีไพ่ตายในมือที่ไม่ให้คนอื่นรู้” 

 

 

           “แต่ว่า นางกำนัลคนนั้นไม่ได้ดูพิเศษที่ตรงไหนเลยนะ” 

 

 

           ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “บางครั้งคนที่ดูไม่พิเศษเอาเสียเลยนี่ละจึงจะเป็นนักฆ่ามือฉมัง” 

 

 

           “ไม่ยอมบอกว่าเป็นคนของใครหรือ” 

 

 

           “เป็นพวกยอมพลีชีพ” ม่อซิวเหยากล่าว เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ หากปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จคนพวกนี้ก็จะต้องตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่ยอมตอบอะไรออกมาเป็นแน่ 

 

 

           “เพียงแต่ คนในวังที่จะมีพวกยอมพลีชีพเช่นนี้ไม่มากนัก ดังนั้นอาหลี…อีกหน่อยหากมีความจำเป็นต้องเข้าวัง เจ้าต้องระวังให้มาก” 

 

 

           “ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้า นางก็ไม่ใช่พวกชอบหาเรื่องให้ตัวเองอยู่แล้ว