ตอนที่ 60-2 การลอบสังหารในป่าไผ่

ชายาเคียงหทัย

เวินซื่อ ชายาติ้งอ๋องคนก่อนไม่ได้อาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง ปีต่อมาหลังจากที่ม่อซิวเหวินเสียชีวิต เวินซื่อที่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ได้ย้ายไปถือศีลอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ที่นอกเมือง คนที่ติดตามนางไปยังมีภรรยารองของม่อซิวเหวินอีกสองคน นับตั้งแต่ย้ายไปอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ นอกจากวันครบรอบวันตายของม่อซิวเหวินแล้ว เวินซื่อก็ไม่ได้กลับตำหนักติ้งอ๋องอีกเลย หลายปีก่อน ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ม่อซิวเหยาปิดประตูไม่ยอมออกไปไหน ดังนั้นถึงแม้เขาจะให้ความเคารพพี่สะใภ้คนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่คุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ด้วยเยี่ยหลีได้รับความเห็นชอบจากม่อซิวเหยา นางจึงตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาฝึกฝนร่างกายอย่างเปิดเผย จากนั้นจึงไปกินข้าวเช้าพร้อมกับม่อซิวเหยา แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางด้วยรถม้าไปยังสำนักชีอู๋เย่ว์ที่นอกเมือง

 

 

           สำนักชีอู๋เย่ว์ตั้งอยู่บนเขาลูกเล็กที่มีทัศนียภาพงดงามด้านนอกเมืองหลวง และยังเป็นวัดประจำตระกูลของตำหนักติ้งอ๋องอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีแขกหรือคนผ่านไปมามาจุดธูปไหว้พระ ตลอดทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสงบอันน่ารื่นรมย์ เมื่อเข้าไปยังสำนักชีก็ได้กลิ่นหอมของธูปลอยอยู่ในอากาศ เยี่ยหลีย่นจมูกอย่างไม่คุ้นเคย ม่อซิวเหยาหันหน้ามามองนาง “เป็นอันใดไป”

 

 

           เยี่ยหลีตอบเสียงเบาอย่างอายๆ “ข้าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ” อีกเดี๋ยวเข้าไปข้างในแล้วนางยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไหว้หรือไม่ คนที่ไม่ได้นับถือแต่ต้องไปกราบไว้ต่อหน้าพระพุทธรูป ดูจะไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไร แต่หากคนอื่นมองมาแล้วคงไม่ถือว่ามีมารยาทสักเท่าไรกระมัง

 

 

           ม่อซิวเหยาหัวเราะน้อยๆ “มิน่า ถึงไม่เคยเห็นอาหลีเข้าเมืองไปจุดธูปไหว้พระเลย”

 

 

ในเมืองหลวงของต้าฉู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้ดีจากตระกูลใหญ่หรือคุณหนูทั่วไป ต่างชอบไปตามวัดใหญ่ๆ หรือสำนักชีในเมือง บ้างจุดธูปไหว้พระ บ้างเสี่ยงเซียมซี บ้างขอให้ทุกอย่างราบรื่น บางคนขอให้ได้คู่ที่สมใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไปเข้าวัดเพื่อเสี่ยงเซียมซีหรือจุดธูปไหว้พระมาก่อนเลย

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ในเมื่อข้าไม่เชื่อในพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะกล้าไปขอให้ท่านช่วยคุ้มครองอย่างไรได้ แต่หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง แล้วทุกวันมีพุทธศาสนิกชนมากราบไหว้เช่นนี้ ท่านจะช่วยไหวได้อย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเยี่ยหลียิ้มๆ “ดังนั้น อาหลีจึงเชื่อในตนเองมากกว่าหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ยิ้มกว้าง “หากแม้แต่ตนเองยังไม่เชื่อแล้ว ในโลกนี้ยังจะมีอะไรให้เชื่ออีกหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้าเห็นด้วย “พอดีเลย ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน แล้วแต่อาหลีเลย”

 

 

           ไม่นาน ก็มีแม่ชีเดินออกมานำทั้งสองเข้าไปด้านใน เวินซื่อเป็นสตรีที่สุภาพนุ่มนวลมาก ถึงแม้รูปลักษณ์จะไม่ได้งดงามโดดเด่น แต่ความสงบและเรียบนิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหว่างคิ้วทำให้รูปลักษณ์นางดูพิเศษขึ้นหลายส่วน ถึงแม้จะอยู่ในชุดนางชีสีเทา แต่ก็ไม่สามารถบดบังความสุภาพอ่อนโยนอย่างผู้มีการศึกษาได้ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา แววตาอันนิ่งสงบของนางไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางนิ่งเรียบดุจสายน้ำไปเสียแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า จิตใจนางแห้งแล้งไปเสียแล้ว

 

 

           “ซิวเหยาคารวะพี่สะใภ้” ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีให้เดินขึ้นมาพร้อมพูดกับเวินซื่อว่า “พี่สะใภ้ นี่คืออาหลี”

 

 

           เยี่ยหลีก้าวขึ้นไปคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะพี่สะใภ้”

 

 

           สายตาของเวินซื่อมองใบหน้าและเก้าอี้รถเข็นของม่อซิวเหยา ก่อนหันไปมองเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ในดวงตาที่สงบนิ่งมีแววของความเสียใจ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้าเข้ามานั่งสิ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณ ก่อนเดินไปนั่งลงข้างเวินซื่อ เวินซื่อดึงนางเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจ ก่อนหยิบกล่องผ้าไหมที่ดูค่อนข้างเก่าจากด้านข้างมาส่งให้นาง “ข้าถือว่าไม่ได้อยู่ในทางโลกแล้ว จึงไม่มีของขวัญแรกพบหน้าอะไรให้เจ้า นี่เป็นของที่เมื่อตอนข้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ท่านอ๋อง…พี่ใหญ่ของเจ้าให้ข้าไว้ บอกว่าเป็นของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ เจ้ารับไว้เถิด”

 

 

           “นี่…” ถึงแม้กล่องผ้าไหมนี้ดูจะเป็นของเก่า แต่ร่องรอยภายนอกมีความมันวาวอยู่มาก ดูออกว่ามีคนคอยนำออกมาเช็ดถูอยู่บ่อยๆ นี่คงเป็นของที่เวินซื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เวินซื่อยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหัว “รับไว้เถิด ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้ใช้ของพวกนี้แล้ว”

 

 

เยี่ยหลีจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก รับกล่องผ้าไหมไว้แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้มากเจ้าค่ะ”

 

 

           เวินซื่อจับมือและมองหน้าเยี่ยหลี “พี่ใหญ่ของเจ้าก็มีน้องรองเป็นน้องชายเพียงคนเดียว ข้าที่เป็นพี่สะใภ้…ก็ไม่ได้ความเอาเสียเลยจริงๆ อีกหน่อยน้องสะใภ้กับน้องรองต้องคอยช่วยเหลือกันให้ดี ใช้ชีวิตให้ดีเถิดนะ”

 

 

เยี่ยหลีเข้าใจดีว่าที่เวินซื่อพูดถึง คือสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในตำหนักติ้งอ๋อง นางกลับไม่ได้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องเพื่อคอยช่วยม่อซิวเหยาจัดการงานต่างๆ ภายในตำหนัก แต่กลับทอดทิ้งม่อซิวเหยาที่บาดเจ็บสาหัสและพิการมาถือศีล เรื่องนี้เยี่ยหลีกลับไม่คิดว่าเป็นความผิดของเวินซื่อ ตอนนั้นนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยังไม่ยี่สิบปีดี ทั้งยังไม่ใช่หญิงสาวที่ได้รับการอบรมมาจากบ้านที่เป็นตระกูลใหญ่ การที่อยู่ดีๆ สามีมาเสียชีวิตลง ทายาทเพียงคนเดียวของตำหนักก็บาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นคนพิการ สำหรับหญิงสาวที่ไม่เข้มแข็งพอ ก็ถือเป็นการยากที่จะประคับประคองตำหนักติ้งอ๋องไว้ได้

 

 

           “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่สั่งสอนเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้า เหลือบมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อข้าแต่งงานกับท่านอ๋องแล้ว ต่อไปย่อมพร้อมร่วมรับการสรรเสริญและการดูหมิ่นด้วยกันเจ้าค่ะ”

 

 

           “ดี เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” เวินซื่อพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “พี่สะใภ้อยู่ที่นี่คนเดียวไม่เหงาหรือเจ้าคะ ไม่สู้กลับตำหนัก…พี่สะใภ้กลับไปถือศีลที่ตำหนักก็ยังได้นะเจ้าคะ”

 

 

           เวินซื่อส่ายหน้า “ข้าชินกับความสงบที่นี่เสียแล้ว หากกลับไปสิกลับจะไม่ชิน” เยี่ยหลีเอ่ยโน้มน้าวอีกหลายครั้ง แต่เวินซื่อก็ยังไม่ยอมจึงยอมแพ้ และคุยกันอีกพักใหญ่ เวินซื่อรั้งทั้งสองไว้ให้กินข้าวกลางวันด้วยกัน จากนั้นจึงได้บอกว่าตนยังต้องคัดลอกพระคัมภีร์ ให้ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีออกไปเดินดูรอบๆ

 

 

           สำนักชีอู๋เย่ว์ถึงจะเป็นเพียงวัดประจำตระกูล แต่กลับมีพื้นที่ไม่น้อยเลย เยี่ยหลีเข็นม่อซิวเหยาเดินไปทางด้านหลังของสำนักชีที่เป็นป่าไผ่ ด้วยเพราะเรื่องของเวินซื่อทำให้จิตใจของเยี่ยหลีรู้สึกหนักหน่วงยิ่งนัก

 

 

           “อาหลี หากเป็นเจ้าคงไม่เป็นเช่นพี่สะใภ้หรอก ใช่หรือไม่” ครู่ใหญ่ จึงได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า เมื่อนึกขึ้นได้ว่าม่อซิวเหยามองไม่เห็นท่าทางของนาง จึงได้พูดขึ้นว่า “ไม่หรอก ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี”

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม “แบบนี้สิดี พี่สะใภ้…อันที่จริงไม่เหมาะที่จะเป็นชายาของตำหนักติ้งอ๋อง เป็นตระกูลม่อของเราเองที่ผิดต่อนาง” หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ต้องการที่จะขจัดความเคลือบแคลงใจของม่อจิ่งฉี คงไม่เลือกเวินซื่อที่เป็นลูกสาวของบ้านบัณฑิตธรรมดาๆ คนหนึ่ง

 

 

เยี่ยหลีนิ่งคิด “บางทีพี่สะใภ้อาจไม่นึกเสียใจ” ทุกครั้งที่ได้ยินเวินซื่อพูดถึงผู้เป็นสามี เยี่ยหลีเห็นแววอ่อนโยนและความคิดถึงในดวงตาที่นิ่งสงบคู่นั้น ม่อซิวเหวินอาจเลือกนางเพราะเห็นแก่ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ความรู้สึกที่เวินซื่อมีต่อม่อซิวเหวิน หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ม่อซิวเหวินมีต่อเวินซื่อ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีความรักร่วมอยู่ด้วย

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม “ตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยให้โอกาสนางได้รู้สึกเสียใจ” ต้าฉู่เพียงห้ามไม่ให้หญิงสาวที่บิดาเสียชีวิตแล้วแต่งงานใหม่ แต่การเป็นแม่หม้ายของตำหนักติ้งอ๋อง การแต่งงานใหม่ก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เวินซื่อที่ไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะสู้หน้าผู้คน และไม่สามารถแม้แต่คิดสิ่งที่จะทำให้ตนเองเสียใจทีหลัง

 

 

“เพียงแต่…อาหลี ข้าอนุญาตให้เจ้าเสียใจทีหลังได้”

 

 

           “ท่านอ๋องกำลังบอกข้าว่า หากท่านตายไปข้าสามารถแต่งงานใหม่ได้หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม

 

 

           ม่อซิวเหยาไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้า “อืม ข้าหมายความเช่นนั้น”

 

 

           เยี่ยหลีเหลือบมองขึ้นฟ้า แอบกลอกตาบนในขณะที่ม่อซิวเหยามองไม่เห็น ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหนทำให้นางต้องหัวเราะเยาะออกมา “เช่นนั้น…ท่านอ๋องคิดอยากจะตายเร็วดีหรือว่าอยากจะหาเรื่องตายเร็วดีหรือ”

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังคำถามประหลาดๆ ของนาง ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้าว่าข้าจะพยายามตายเมื่อตอนอายุมากแล้วดีกว่า”

 

 

           “อะไรนะ นี่ไม่ใช่ข่าวดีเอาเสียเลย…”

 

 

           “หลบไป!” เยี่ยหลียังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ม่อซิวเหยาก็หมุนตัวมาผลักเยี่ยหลีให้หลบไปทันที

 

 

           “สวบ! สวบ! สวบ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศพุ่งตรงเข้ามา ต้นไผ่ข้างกายเยี่ยหลีมีประกายเย็นวาบของดาวกระจายทรงข้าวหลามตัดสามดอกปักอยู่

 

 

           “ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ออกมาพบหน้ากันเล่า” ม่อซิวเหยาหลุบตาลง จ้องมองมือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้รถเข็นพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

           “ฮ่าๆ…ม่อซิวเหยา ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาจากตำหนักติ้งอ๋องแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่กล้าออกมาพบเจอผู้คนแล้วเสียอีก” เสียงหัวเราะอย่างหยิ่งผยองดังขึ้น พร้อมกับเงาของร่างที่สูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในป่าไผ่ จากนั้นก็มีกลุ่มชายชุดดำเข้ามาล้อมปิดไว้ โดยมีสามคนล้อมไว้ตรงกลาง

 

 

           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าเย็นเยียบประหนึ่งหิมะ “เจ้าพูดเช่นนี้…กล้าที่จะเปิดหน้าแล้วพูดอีกครั้งหรือไม่”

 

 

           เสียงหัวเราะของผู้มาใหม่หยุดลงทันที ดวงตามีประกายดุดัน เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปยังเยี่ยหลี “ท่านนี้…คือพระชายาติ้งอ๋องหรือ”

 

 

           “ถูกต้อง ข้า…ยังไม่ได้ขอคำชี้แนะเลย” เยี่ยหลีผงกศีรษะให้

 

 

           “ใจกล้าดีนี่” ชายหนุ่มเอ่ยชื่นชม มองเยี่ยหลีด้วยความเสียดาย “ช่างน่าเสียดาย…”

 

 

           “ม่อซิวเหยา มีสาวงามเช่นนี้ฝังคู่ไปกับเจ้า เจ้าก็คงไม่มีอะไรต้องนึกเสียใจอีกแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้นั้นไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาขมวดคิ้วแล้วหันไปโบกมืออีกทีหนึ่ง ชายชุดดำก็ล้อมใกล้เข้ามาทันที

 

 

           “พาตัวพระชายาไปก่อน” ม่อซิวเหยาเอ่ยสั่งการเรียบๆ มีเงาสามสี่ร่างพุ่งเข้ามารวมในกลุ่มอย่างรวดเร็ว อาจิ่นกระโดดลงตรงหน้าม่อซิวเหยาพร้อมกระบี่ยาวในมือ เล็งกระบี่ไปยังกลุ่มชายชุดดำที่ล้อมอยู่ด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นมีคนสองคนกระโดดลงข้างกายเยี่ยหลีซ้ายคนขวาคน เตรียมที่จะพาตัวเยี่ยหลีออกไป ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็เริ่มเข้าต่อสู้กับชายชุดดำทันที เยี่ยหลีมองไปรอบๆ เห็นว่าคนที่อาจิ่นพามามีเพียงเจ็ดหรือแปดคน หากต้องให้คนพานางไปสองคน ก็จะเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น แต่ชายชุดดำที่ล้อมอยู่นี้อย่างน้อยๆ ก็มีถึงยี่สิบถึงสามสิบคนได้ ไม่มีเวลาให้คิดนาน เยี่ยหลีรีบสะบัดมือองครักษ์ออก “อยู่ช่วยที่นี่”

 

 

           “พระชายา…” องครักษ์อึ้งไป อยากจะพูดขัด แต่เยี่ยหลีกลับผลักร่างนั้นออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันไปจัดการชายชุดดำที่หมายจะลอบทำร้าย “ไม่ต้องพูดไร้สาระ จัดการคนพวกนี้ก่อนค่อยว่ากัน” ระหว่างพูดก็ได้หมุนตัวกลับไปเตะนักฆ่าที่จะเข้ามาลงมือ เท้ากระทืบลงไปยังนักฆ่าที่เมื่อครู่นางเพิ่งจัดการจนล้มไปแล้วเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นมาใหม่ นักฆ่าคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะแน่นิ่งไป

 

 

           องครักษ์ทั้งสองหันมาสบตากัน พร้อมตัดสินใจว่าจะทำตามคำสั่งของพระชายา จัดการนักฆ่าพวกนี้ก่อนค่อยว่ากัน ถึงแม้จะเป็นองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาก็ยังดูไม่ออกว่าพระชายาใช้กระบวนท่าอะไรในการจัดการ แต่ไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขาเห็นว่าพระชายาใช้เพียงสองกระบวนท่าในการป้องกันนักฆ่าคนหนึ่งพร้อมกระทืบนักฆ่าอีกคนหนึ่งจนสลบไป เจ้าคนดวงซวยที่สลบเหมือดอยู่ที่พื้นนั้น ถ้าโชคดีหน่อยคงได้นอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างน้อยก็สามหรือห้าเดือน แต่หากโชคไม่ดีก็คงได้เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต

 

 

เยี่ยหลีต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว จิตใจเยือกเย็น ถึงแม้จะมั่นใจในฝีมือของตนพอสมควร แต่เอาเข้าจริงเยี่ยหลีกลับเข้าไม่ถึงความลึกซึ้งของศิลปะการต่อสู้ของคนยุคโบราณสักเท่าไร และนางก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องลงมือจริงๆ จังๆ มาก่อน หากมีวิชาตัวเบาอย่างของคุณชายเฟิงเย่ว์แล้วละก็ คงรับมือได้ไม่ง่ายนัก ด้วยเพราะคนยุคปัจจุบันต่อให้เก่งเพียงใดก็ยังไม่ถึงขั้นบินไปบินมาได้ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีวิชาตัวเบาที่สามารถบินไปบินมาได้อย่างคุณชายเฟิงเย่ว์ หากเป็นการต่อสู้ระยะใกล้แล้ว เยี่ยหลีคิดว่าตนเองมีฝีมือมากพอที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือได้

 

 

           นักฆ่าเหล่านี้ดูจะไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายาติ้งอ๋องที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้จะสามารถล้มพวกของตนได้ง่ายๆ พอตั้งสติได้ก็มีอีกคนที่ถูกเยี่ยหลีซัดลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว