ตอนที่ 60-3 การลอบสังหารในป่าไผ่

ชายาเคียงหทัย

ชาติที่แล้วเยี่ยหลีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ มามากมาย ตั้งแต่เล็กๆ ก็ได้เรียนวิชาต่อสู้ ทั้งเทควันโด ยูโด และแน่นอนว่ามีประสบการณ์การต่อสู้กับพี่ๆ น้องๆ ทั้งหญิงและชายมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อได้เข้ากองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เข้าร่วมกับหน่วยพิเศษ การเรียนที่ว่าก็เปลี่ยนจากการล้มคู่ต่อสู้เป็นสังหารคู่ต่อสู้แทน พละกำลังของผู้หญิงถึงอย่างไรก็สู้ของผู้ชายไม่ได้ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงถนัดการใช้เทคนิคและความเร็วในการต่อสู้มาโดยตลอด การสังหารด้วยหนึ่งกระบวนท่าเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่ผู้ชายในหน่วยก็ยังมีไม่กี่คนที่กล้าประมือกับนาง ในตอนแรกนางยังจัดการได้ไม่ค่อยถนัดมือนัก แต่เมื่อล้มอีกฝ่ายไปได้สองคน ความรู้สึกเก่าๆ ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะกลับมา ผลจากความมุ่งมั่นฝึกฝนร่างกายมาหลายปีนี้ มีโอกาสได้แสดงออกมาให้เห็นแล้ว มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เยี่ยหลีผ่านประสบการณ์การสู้รบมาเพียงไร มีฝีมือแค่ไหน แต่หากร่างกายไม่เอื้ออำนวย ก็เปล่าประโยชน์

 

 

           “พระ…พระชายา…” อาจิ่นที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาอย่างจงรักภักดี เมื่อเห็นสถานการณ์ของอีกฟากหนึ่งแล้วก็ได้แต่ตื่นตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออก หญิงที่เพียงยกเท้าถีบก็สามารถทำให้นักฆ่าที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขากระอักเลือดได้คนนั้น คือพระชายาที่แสนจะสุภาพบอบบางท่านนั้นหรือ จู่ๆ อาจิ่นก็นึกถึงคืนนั้นที่เขาเหมือนเห็นกับตาว่าพระชายาใช้วิธีการอะไรสักอย่างทำให้หลีอ๋องสลบไป เขาคิดมาตลอดว่าพระชายาคงใช้อาวุธลับอะไรสักอย่าง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว นางดูจะใช้กำลังจัดการเสียมากกว่าละมัง

 

 

           “อาหลี!” เสียงม่อซิวเหยาดังขึ้นทางด้านหลัง ในตอนนั้นเองก็มีกระบี่พุ่งตรงมาจากทางด้านหลัง เยี่ยหลีรีบเอนตัวไปทางด้านหลังหลบปลายกระบี่ของนักฆ่าที่พุ่งมาที่นาง พร้อมใช้กริชที่ไม่รู้อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร ฟันเข้าที่ข้อมือที่จับกระบี่อยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับมือนั้นไว้มั่นก่อนอาศัยตัวเขาที่ยืนอยู่เป็นหลักแล้วจับบิดไปทางด้านหลัง จนแขนเกิดเสียงดังกร๊อบ ชายคนนั้นก็ตาเหลือกลงไปกองกับพื้นทันที เยี่ยหลีก้มลงมองด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าตรงหน้าอกชายผู้นั้นมีมีดเล่มเล็กปักอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ปลายมีดแทงทะลุเข้าไปที่เนื้อ เหลือเพียงส่วนด้ามจับที่โผล่พ้นออกมา เห็นชัดว่าเขาถูกแทงตายโดยทันที

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รีบพุ่งตัวผ่านนักฆ่าทั้งหลายที่รายล้อมเข้ามาไปอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ให้เจ้าหนีไปก่อนหรือ”

 

 

           ระหว่างที่เยี่ยหลีกำลังส่งสายตาเตือนนักฆ่าที่ล้อมอยู่กับอาจิ่นนั้น ก็เอ่ยตอบเขาว่า “หากออกไปเจอคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าจะทำอย่างไร ฟากพี่สะใภ้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”

 

 

           “มีคนไปคอยคุ้มกันพี่สะใภ้แล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ในสำนักซีอู๋เย่ว์มีค่ายกลอยู่มาก หากคนพวกนั้นบุกเข้าไปที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก่อน พวกเราคงรู้ตัวนานแล้ว”

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง นักฆ่ายี่สิบกว่าคนก็ถูกจัดการไปได้แล้วกว่าครึ่ง ชายคนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ผู้นั้นหัวเราะอย่างเย้ยหยันว่า “องครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องนี่ไม่เสียชื่อจริงๆ น่าเสียดายที่คนน้อยไปหน่อย!” ชายผู้นั้นพุ่งรี่เข้ามา พร้อมกระบี่ในมือที่เล็งตรงมายังม่อซิวเหยา อาจิ่นรีบกระชับกระบี่ในมือเข้าไปขวางเขาไว้ ทั้งสองคนประมือกันไปสิบกว่ากระบวนท่า แต่ถึงอย่างไรอาจิ่นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียวก็ถูกปลายกระบี่ของชายผู้นั้นเล่นงานจนเสียหลักไป ซ้ำแขวนขวายังมีรอยเลือดทะลักออกมาอีกด้วย ชายผู้นั้นไม่ได้สนใจอาจิ่น เมื่อกันเขาออกไปได้แล้ว จึงพุ่งกระบี่เข้าใส่ม่อซิวเหยาอีกครั้ง อาจิ่นร้องด้วยความตกใจ คิดอยากจะลุกเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ถูกนักฆ่าอีกสองคนเข้ามาขวางไว้จนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้

 

 

           “อาหลี หลบไป” ม่อซิวเหยาผลักอาหลีให้หลบไป พร้อมเลื่อนเก้าอี้รถเข็นให้ถอยไปทางด้านหลัง เมื่อหลบกระบี่ไปได้ทีหนึ่ง ทีที่สองก็ตามเข้ามาซ้ำอย่างรุนแรงกว่าเดิม คนที่นั่งขยับไปไหนไม่ได้อยู่บนรถเข็น ย่อมมีความคล่องตัวสู้คนที่ยืนอยู่ไม่ได้ ม่อซิวเหยาเอนตัวหลบทำให้ปลายกระบี่พุ่งเข้าที่พนักพิงของเก้าอี้รถเข็น ม่อซิวเหยายื่นมือไปจับปลายกระบี่ไว้ ขยับแขนเสื้อเพียงเล็กน้อยก็มีอาวุธลับพุ่งตรงไปยังร่างชายผู้นั้นทันที ชายผู้นั้นตกใจรีบชักกระบี่ออกก่อนพุ่งตัวถอยห่างออกไป จึงหลบอาวุธลับที่พุ่งตรงเข้าใส่ได้ ชายหนุ่มยิ้มเย็น ก่อนกระโดดขึ้นไปอยู่ด้านบน ดูเหมือนเขาจะมองออกแล้วว่า จุดอ่อนที่สุดของม่อซิวเหยาก็คือการที่ขยับไปไหนไม่ได้ ต่อให้เขามีความสามารถมากเพียงใด อาวุธลับเยอะแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีวันใช้หมด ม่อซิวเหยาเองก็ไม่หลบหลีกอีกต่อไป เขาสะบัดแส้เส้นยาวขึ้นไปในอากาศเสียงดังฟึ่บ ระยะห่างของทั้งสองไกลขึ้น และทันใดนั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเริ่มลงมือก่อน

 

 

           เยี่ยหลีที่ยืนอยู่อีกด้านก็ไม่รีบร้อน ระหว่างที่ช่วยจัดการคนที่ลอบจะเข้าทำร้ายม่อซิวเหยาที่ถูกล้อมอยู่ ก็จ้องมองชายผู้นั้นเพื่อหาจุดอ่อนของเขาไปด้วย

 

 

           สุดท้าย เมื่อแส้ของม่อซิวเหยาพันเข้าที่ปลายกระบี่ของชายผู้นั้น เยี่ยหลียิ้มก่อนที่จะดึงเอาปิ่นทองบนศีรษะออกมาขว้างใส่ข้อมือของเขา จนดาบหลุดจากมือไป ทันใดนั้นเยี่ยหลีก็พุ่งกริชเข้าใส่อย่างมุ่งทำร้าย กระบวนท่าของเยี่ยหลีถ้าเทียบกับตำราลับของการต่อสู้เล่มไหนๆ แล้ว ถึงแม้จะไม่เรียกว่าดุดัน แต่เพียงสามกระบวนท่า ห้ากระบวนท่า ก็ทำให้ไหล่ขวาและแขนซ้ายของเขาเกิดเป็นรอยแผลได้ เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะด้วยความไม่พอใจ ก่อนเสี่ยงอันตรายพุ่งปลายกริชเข้าใส่หน้าอกของชายผู้นั้นโดยไม่สนว่ามือขวาของเขากำลังพุ่งเข้าใส่ตน สีหน้าชายผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที ใช้มือขวาตบเข้าที่เยี่ยหลีอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตอนนี้เยี่ยหลีจะถอยก็ถอยไม่ทันเสียแล้ว ทันใดนั้น ก็มีปลายแส้เรียวเล็กพุ่งมาพันเข้าที่เอวของเยี่ยหลี ก่อนมีแรงดึงเยี่ยหลีออกไปทางด้านหลัง เยี่ยหลีหลบฝ่ามือของชายผู้นั้นออกมาได้อย่างปลอดภัย ก่อนมาหยุดยืนนิ่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา

 

 

           ชายผู้นั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลสีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดไปทันที เขากัดฟันแน่น แผลบริเวณหน้าอกมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ตอนที่แส้ของม่อซิวเหยามาพาเอาตัวเยี่ยหลีออกไปนั้น เยี่ยหลีบิดกริชที่แทงอยู่ที่หน้าอกเขา กริชที่แหลมคมดูจะบิดเนื้อหน้าอกเขาไปครึ่งรอบก่อนถูกดึงออกไป ตอนนี้หน้าอกเขาจึงมีเลือดไหลออกจากปากแผลฉกรรจ์ เอามือกดอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้วก้มมองกริชในมืออย่างไม่พอใจ กริชประเภทนี้เมื่อเทียบกับดาบยาวที่เยี่ยหลีชอบแล้ว สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นขยะชัดๆ

 

 

           “แค่กๆ… กับแค่พระชายาติ้งอ๋อง ไม่คิดว่าจะมีความร้ายกาจซ่อนอยู่” ชายผู้นั้นยกมือกดปากแผลที่หน้าอกไว้ กระแอมไอก่อนเอ่ยขึ้น

 

 

           “หากคนอื่นไม่ทำข้า ข้าก็จะไม่ทำใคร” เยี่ยหลีจ้องเขาพร้อมเอ่ยเสียงเย็น

 

 

           “วันนี้ข้าจะพอแค่นี้ก่อน ม่อซิวเหยา วันนี้ถือว่าเจ้าดวงดีที่ได้แต่งงานกับพระชายาที่มีฝืมือร้ายกาจ” ชายผู้นั้นเหลือบมองลูกน้องที่ถูกจัดการจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน รู้ดีว่าการลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวเสียแล้ว ถึงจะเหลือลูกน้องอยู่อีกเจ็ดแปดคน แต่หากมีจำนวนเท่ากันแล้ว ลูกน้องของเขาคงไม่สามารถจัดการกับองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องได้ “แต่ต่อให้เจ้ารอดไปได้ครั้งหรือสองครั้ง แต่หากแปดครั้งหรือสิบครั้ง เจ้าก็รอดไปไม่ได้ตลอดหรอก ม่อซิวเหยา เจ้าคงรู้ดีว่ามีอีกกี่คนที่คิดอยากเอาชีวิตเจ้า ฮ่าๆ…ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่ใต้ดิน!” พูดจบ ชายผู้นั้นก็ได้ทิ้งม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไว้ ก่อนพูดเสียงดุดันว่า “ล้มเลิกภารกิจ แยกย้าย!” จากนั้นนักฆ่าในชุดดำก็ค่อยๆ ล่าถอยพร้อมกับขวางทางองครักษ์ที่ตามมาจัดการพวกตนไว้ ก่อนจะถูกกระบี่แทงเข้าไปคนละทีจนสิ้นใจตาย

 

 

           “ตาม!”

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกมันหมดทางแล้ว ไม่ต้องตามหรอก กลับกันก่อนเถิด”

 

 

           องครักษ์ที่คิดจะตามไป จึงหยุดลงทันที อาจิ่นโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาตรวจตรานักฆ่าที่นอนอยู่ที่พื้นทันที

 

 

           อาจิ่นไม่ได้สนใจแผนบนไหล่ขวาของตน เขากระชับกระบี่ของตนในมือ “พระชายา…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก”

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้า “เพียงแค่โชคช่วยน่ะ” เมื่อสักครู่ดูเหมือนจะชนะได้ง่ายๆ แต่หากไม่มีม่อซิวเหยาคอยช่วย ต่อให้สามารถทำให้นักฆ่าคนนั้นบาดเจ็บได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องเจ็บหนักอยู่ดี เพราะไม่ว่าเรื่องพละกำลังหรือความเร็วนางล้วนมีไม่เพียงพอ มีหลายครั้งที่นางทำร้ายอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ด้วยเพราะกำลังไม่พอ ทำให้ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บหนักได้ อีกอย่างคือต่อให้หาจุดอ่อนของอีกฝ่ายพบ แต่ด้วยเพราะตนมีความเร็วไม่พอทำให้ไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ

 

 

           “ท่านเก่งกาจมาก อาจิ่นเอาชนะเขาไมได้” อาจิ่นเอ่ยยืนยันอีกครั้ง

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “หากข้าจัดการเขาไม่ได้ภายในหนึ่งเค่อ คนที่ตายคงเป็นข้า”

 

 

           “พระชายาเก่งกาจเหลือเกิน อาจิ่นขอเรียนวิชาต่อสู้กับพระชายาได้หรือไม่” อาจิ่นเป็นเด็กมีความดันทุรังคนหนึ่ง จึงจ้องมองเยี่ยหลีอย่างไม่ลดละ หากเขาเก่งกาจได้อย่างพระชายา เมื่อสักครู่คงไม่ต้องถึงมือท่านอ๋อง

 

 

           ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าสับสน “ข้าคิดว่าอาหลีเป็นเพียงวิชาป้องกันตัวเท่านั้น ตอนนี้ดูท่าข้าจะเข้าใจผิดไปเสียแล้ว อาหลีมักทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ” ที่เยี่ยหลีจัดการศัตรูเมื่อสักครู่ เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง แววตากับการโจมตีโดยไม่ลังเลเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปมีแน่นอน ต่อให้ในหมู่องครักษ์เองก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เด็ดเดี่ยวและดุดันเท่านาง เขากล้าพูดได้เลยว่า ต่อให้มีองครักษ์สามคนรุมโจมตีนางพร้อมๆ กัน คนที่แพ้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอาหลี แค่เพียงม่อซิวเหยาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เยี่ยหลีที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างลูกคุณหนูตั้งแต่เด็กๆ เหตุใดจึงมีฝีมือเช่นนี้ได้ ใครไม่รู้คงคิดว่านางเป็นคนที่เกิดและเติบโตในสนามรบ คุ้นเคยกับการเกิดและการตาย ไม่ใช่คุณหนูลูกผู้ดีที่เกิดในตระกูลใหญ่

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ไม่รีบร้อนที่จะอธิบายตัวเอง “ขอเพียงท่านอ๋องไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจก็พอแล้ว”

 

 

           ม่อซิวเหยามองนางอยู่เป็นนาน ในที่สุดจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วถามว่า “อาหลี เจ้าคือคุณหนูสามตระกูลเยี่ย และเป็นหลานสาวของตระกูลสวีจริงๆ หรือ”

 

 

           เยี่ยหลีตอบว่า “แน่นอนสิ”

 

 

           “เช่นนั้น…ไว้รอเจ้าอยากเล่าก่อนค่อยเล่าให้ข้าฟังก็แล้วกัน”

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป มองม่อซิวเหยาอยู่นานโดยไม่ได้พูดอะไร ด้วยสถานการณ์ของม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋อง การที่สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงได้เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะบอกทุกเรื่องให้ท่านฟังไม่ได้ แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่าข้าคือเยี่ยหลี อีกอย่าง การที่ข้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นอื่น”

 

 

           “ข้าเชื่อเจ้า พวกเราเป็นสามีภรรายากันมิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาพูดเสียงเบา

 

 

           “ขอบคุณมาก” เยี่ยหลีพูดเสียงเบา รู้สึกโล่งใจขึ้น นางไม่ใช่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า หากถูกจับได้ว่านางไม่เหมือนกับคนอื่นจะทำอย่างไร เดิมทีเคยนางคิดจะให้ม่อซิวเหยาช่วยหาอาจารย์มาฝึกวิชาการต่อสู้ให้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มชิน แต่อันที่จริงวิธีการนี้ก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร อย่างน้อยนางก็ไม่มั่นใจว่าจะปิดม่อซิวเหยาได้ หากเกิดไปทำให้ม่อซิวเหยานึกสงสัยเข้าจะยิ่งลำบาก ตอนนี้ถือว่าประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็ยินดีที่จะเชื่อใจนาง ไม่ว่าจะเชื่อมากเชื่อน้อย แต่ก็มากกว่าที่นางเคยคาดคิดไว้มากแล้ว